ปะหน้าลีเซียนหลุง ฟังเขาปกป้องเทมาเส็กยังไงๆ ก็ฟังไม่ขึ้น... 9 ตุลาคม 2549 17:56 น.
ผมถามนายกฯ สิงคโปร์ ลีเซียนหลุง ปลายสัปดาห์ก่อน ว่า เห็นบอกว่าได้ส่งสารแสดงความยินดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ ของไทยแล้วใช่หรือไม่?
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้นำสิงคโปร์บอกว่าใช่ ได้ส่งสารไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เกือบจะทันทีที่มีพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ของไทย
ผมถามว่า "ทำไมส่งสารแสดงความยินดีให้นายกฯ ไทยคนใหม่เร็วอย่างนั้น?"
ลีเซียนหลุง ยิ้มแล้วหันมาตอบว่า "ถ้าผมส่งไปช้ากว่านั้น คุณก็คงจะถามว่าทำไมเพิ่งส่งไป?"
ผมถามต่อว่า เคยเจอ พล.อ.สุรยุทธ์หรือเปล่า ลีเซียนหลุง บอกว่า จำได้ว่าเคยเจอกันครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ถามว่า คิดอย่างไรกับผู้นำใหม่ของไทย นายกฯ สิงคโปร์ตอบอย่างคล่องแคล่ว ว่า "ผมเชื่อว่าท่านมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบใหม่ของท่านได้..."
เป็นคำตอบที่ว่าตามมารยาทการเมืองในฐานะผู้นำของเพื่อนบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คำถามใหญ่ที่นายกฯ สิงคโปร์ ไม่ได้ตอบตรงๆ คือคำถามที่ว่า
"
รัฐบาลสิงคโปร์รู้สึกมีความรับผิดชอบทางจริยธรรมและศีลธรรมในกรณีที่เทมาเส็กซื้อหุ้นชินคอร์ปจากครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนนำไปสู่วิกฤติการเมืองและการปฏิวัติ ที่ผู้นำสิงคโปร์เองเรียกว่า Setback หรือไม่?"
คณะ บก. จากเครือเดอะเนชั่นไม่ต้องตั้งคำถามนี้ด้วยซ้ำ เพราะมีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ยุโรปที่มาร่วมการประชุมของบรรณาธิการเอเชียและยุโรปหลายชาติไปที่สิงคโปร์ระหว่างวันที่ 5-8 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นคนยกประเด็นนี้ถามต่อหน้าอย่างตรงไปตรงมา
ในคำปราศรัยที่ ลีเซียนหลุง เตรียมมาล่วงหน้านั้น เขาใช้คำว่า "Setback" (ก้าวถอยหลัง) เมื่อกล่าวถึง การปฏิวัติในไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน และยังบอกว่าไทยได้ประสบกับการปฏิวัติมา 17 ครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1932
สังเกตว่านายกฯ สิงคโปร์ไม่ได้พูดถึงคอร์รัปชันของรัฐบาลทักษิณ ไม่พูดถึงความไม่พอใจของคนไทยต่อการขาดจริยธรรมของผู้นำ และเมื่อถูกถามถึงเรื่อง "ความรับผิดชอบทางศีลธรรม" ของเทมาเส็ก (ที่ภรรยาของเขาที่ชื่อโฮชิง เป็นผู้บริหารสูงสุด) ลีเซียนหลุง บอกว่า
"เรื่องซื้อขายหุ้นระหว่างเทมาเส็กกับชินคอร์ป เป็นเรื่องธุรกิจของสองกลุ่ม และที่เราลงทุนไปนั้น เพราะมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย..."
ฟังดูดีใช่ไหม? แต่คำถามที่ต้องตามมาเมื่อผู้นำสิงคโปร์อ้างอย่างนี้ ก็คือว่าตอนที่เขาลงทุนเกือบ 1 แสนล้านบาทซื้อหุ้นชินคอร์ปนั้น เขาเชื่อมั่นในประเทศไทย
หรือเพราะเชื่อว่าทักษิณจะอยู่ในอำนาจไปอีกนาน พอที่เขาจะทำกำไรอย่างงามจากอำนาจทางการเมืองกันแน่?ความผิดพลาดของเทมาเส็กครั้งนี้ มีผลทางการเมืองกว้างไกลในประเทศ แม้ว่าจะไม่มีนักธุรกิจหรือนักวิชาการของสิงคโปร์ออกมาพูดในที่แจ้งในเรื่องนี้ แต่พอลับหลังนายกฯ นักวิชาการ, นักหนังสือพิมพ์ และนักธุรกิจของสิงคโปร์ ก็กระซิบบอกผมว่า นี่เป็นความล้มเหลวครั้งสำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่เอาตัวเองกระโดดร่วมหอลงโรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร้สำนึก และไร้ความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง
ในอินเทอร์เน็ต ก็มี Blogs มากมายที่คนสิงคโปร์ใช้วิจารณ์รัฐบาล, นายกฯ และเมียนายกฯ ในเรื่องเทมาเส็กกับชินคอร์ปครั้งนี้
มืออาชีพการลงทุนของเทมาเส็กหายไปไหนหมดในกรณีนี้? เพราะขาดการ "ประเมินความเสี่ยงทางด้านการเมือง" ของการลงทุนโดยสิ้นเชิง
เพราะแม้ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นใหญ่อยู่ในการเมืองไทย นักลงทุนที่จะทุ่มเงินเป็นแสนล้านบาทเองก็จะต้องรู้ว่าชินคอร์ปเป็น "หุ้นการเมือง" ที่มีความเสี่ยงสูงยิ่ง
เทมาเส็กยังไม่สามารถตอบคำถามของคนสิงคโปร์ได้เลยว่า การที่เข้าไปทุ่มสุดตัวกับหุ้นชินคอร์ป ทั้งๆ ที่ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และความไม่ชอบมาพากลทางการเมืองมากมายหลายด้านนั้น มีเหตุผลอ้างอิงอย่างไร? ใครเป็นคนตัดสิน?
ที่รัฐบาลสิงคโปร์ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ก็เพราะนายกฯ ลีเซียนหลุง เป็นรัฐมนตรีคลังด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง (ที่เป็นเจ้าของกองทุนเทมาเส็กเต็มร้อย) และภรรยานายกฯ ที่ชื่อ โฮชิง ก็เป็น "ซีอีโอ" ของเทมาเส็กเสียอีกด้วย
"คุณเชื่อไหม ก่อนตัดสินใจเรื่องชินคอร์ป เทมาเส็กไม่ได้ตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศหรือสถานทูตของเขาที่กรุงเทพฯ หรือขอความเห็นเรื่องความเสี่ยงของการลงทุนจากกลุ่มคนที่เป็นกลางระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณกับฝ่ายต่อต้านเลยหรือ?" นักวิชาการสำคัญของสิงคโปร์คนหนึ่งกระซิบกับผม
เทมาเส็กไม่รู้ได้อย่างไรว่า นี่เป็นการซื้อหุ้นที่เกี่ยวกับสัมปทานรัฐว่าด้วยดาวเทียม, โทรศัพท์มือถือ, และสถานีโทรทัศน์? สิงคโปร์จะยอมให้ใครมาถือหุ้นในธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ และละเอียดอ่อนทางการเมืองอย่างนี้แม้แต่ 5 เปอร์เซ็นต์หรือไม่? ตอบว่า "ไม่มีทาง" เทมาเส็กจะหลีกเลี่ยง ไม่ตอบคำถามเหล่านี้ได้อีกนานเท่าไรไม่มีใครรู้ แต่เงินที่เสียหายจากการลงทุนในชินคอร์ปครั้งนี้ ย่อมกระทบชาวสิงคโปร์ทั้งในฐานะผู้เสียภาษี, ในฐานะที่ถูกหักรายได้ประจำไปเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสะสมกลาง ที่เรียกว่า Central Provident Fund ซึ่งชาวสิงคโปร์เองยังเข้าใจว่า เอาไปลงทุนในกองทุนของรัฐบาลต่างๆ (รัฐบาลอ้างว่าเทมาเส็กลงทุนด้วยเงินกองทุนสำรองของประเทศ ไม่ใช่ภาษีหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง....แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้ มีความสัมพันธ์กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการบริหารเงินลงทุน)
เทมาเส็กบอกว่า ตอนที่ลงนามซื้อหุ้นชินคอร์ปนั้น ไม่รู้ว่าตระกูลชินวัตรของนายกฯ ไทยหาวิธีต่างๆ ที่ไม่ต้องเสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว...
และไม่รู้ว่ามีวิธีการอันสลับซับซ้อนทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้ครอบครัวที่รวยที่สุดของประเทศไทย หลีกเลี่ยงการทำหน้าที่เสียภาษีที่พลเมืองไทยทุกคนต้องทำ เทมาเส็กไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้?..เทมาเส็กมีความสำนึกใน "ความรับผิดชอบทางศีลธรรมและจริยธรรม" ในการทำธุรกรรมในต่างประเทศหรือไม่? ถ้าสิงคโปร์อ้างว่ามีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์และรักษาธรรมาภิบาลในบ้านตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความศรัทธาของประชาชนที่เลือกเขามา ทำไมเวลาเทมาเส็ก (เป็นของกระทรวงการคลังร้อยเปอร์เซ็นต์ และมีนายกฯ เป็นรัฐมนตรีคลังด้วย) ทำธุรกรรมในต่างประเทศ จึงไม่ได้แสดงความสำนึกในเรื่องธรรมาภิบาลเช่นกัน
เทมาเส็กไม่กลัวว่าจะถูกประชาชนคนเสียภาษีของไทยทั้งประเทศกล่าวหาว่าไปร่วมมือกับคนปล้นทรัพยากรของประเทศมาขายให้เขาหรือ?สื่อมวลชนผู้รับผิดชอบของไทยเจอใครที่ต้องตอบคำถาม ก็จะถามกันตรงๆ อย่างนี้...เขาตอบหลบเลี่ยงไปอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ตัดสินเอาเอง...เพราะในโลกแห่งอินเทอร์เน็ตวันนี้ ผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จจะพยายามหลีกเลี่ยงคำถามอย่างไร ก็หลบไม่ได้ตลอดหรอกครับ... โปรดติดตามการสอบสวนของคณะกรรมการชุดต่างๆ ของไทยเราด้วยความระทึกต่อไป
สมบัติของชาติ ใครขโมยไปขายให้ใครที่ส่วนไหนของโลกก็ตาม เราก็จะต้องตามไปทวงกลับคืนมาให้ได้...หาไม่แล้ว ลูกหลานไทยจะสาปแช่งคนรุ่นนี้ไปอีกนานแสนนาน
http://www.bangkokbiznews.com/2006/10/10/u001_143987.php?news_id=143987 เนื้อหาของ"กาแฟดำ" ชัดเจน ไม่คลุมเครือเหมือน" ทนายหนึ่งวัน" ที่ทำหน้าที่อลัชชีกฏหมายให้ทักษิณและครอบครัว เพื่อหวังประโยชน์จากค่าสินน้ำใจต่างๆ.... ถ้าข้าราชการไทยและผู้มีหน้าที่ อำนาจตรวจสอบการคอร์รั่ปชั่น"เครือข่ายทักษิณ" จะปฏิบัติหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมและซื่อสัตย์ คนไทยจะได้เงิน ทรัพย์สินของชาติที่ถูกคดโกงไป ถูกฉ้อราษฎร์บังหลวงไป กลับคืนมาในที่สุด..... อดีตประธานาธิบดีหญิงต่อจากมาร์กอส และ ประธานาธิบดีรามอส ของฟิลิปปินส์ยังสามารถตามล่าทรัพย์สมบัติของชาติฟิลิปปินส์คืนมาได้ คณะปฎิรูปการปกครองฯ รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ คตส. จะทำไม่ได้หรือ