http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000124718ไพศาล พืชมงคล เผยรัฐบาลแผนสูง เตรียมขนม็อบชนพันธมิตรฯ ประกาศยึดอำนาจ พร้อมยกย่อง แม้ว เป็นวีรบุรุษ ระบุคณะปฏิรูปฯ ไฟเขียว เอเอสทีวี ชนสื่อต่างชาติ เชื่อเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ในของประเทศไทย ในสายตาของต่างประเทศจะย่ำแย่กว่านี้
รายการ คลุกวงในข่าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี คืนวันที่ 5 ต.ค.49 นายสำราญ รอดเพ็ชร ผู้ดำเนินรายการ ได้สนทนากับนายไพศาล พืชมงคล ถึงบทบาทและหน้าที่ภายหลังได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในการออกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) โดยนายไพศาล เริ่มประเด็นไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าไม่มีการยึดอำนาจในวันที่ 19 ก.ย.แล้วปล่อยให้มีการชุมนุมวันที่ 20 ก.ย.ประเทศไทยอาจจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด และมีการยึดอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ดังนั้นเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนไม่ให้บาดเจ็บล้มตายบนสงครามกลางเมือง ทหารจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยึดอำนาจ
จากฐานข่าวผมรู้ว่าจะมีการขนม็อบเข้ามาชนกันในกรุงเทพฯ และก็จะมีการก่อสถานการณ์ขึ้น แล้วก็จะมีการกวาดล้างปราบปรามครั้งใหญ่ โดยการประกาศสภาวะฉุกเฉิน จากนั้นก็จะมีคนกลับมาอย่างวีรบุรุษ ประกาศชัยชนะ นี่จึงเป็นที่มาของการยึดอำนาจในคืนวันที่ 19 ก.ย.และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีการเตรียมการการไว้ แต่ผู้ที่ติดตามการข่าวของเอเอสทีวีมาก่อนหน้านี้ 2-3 วัน ก็คงจะรู้แล้วว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นนายไพศาล กล่าว
เขายังกล่าวถึงบทวิเคราะห์ของ เซี่ยงเส้าหลง ที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน โดยมีประโยคหนึ่งหลุดออกมาจากคนในเครื่องแบบที่ติดตามอารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าต้องฆ่าให้มด นั้น ถือเป็นการประเมินจิตใจทหารผิด คิดว่าเมื่อได้ทำนุบำรุงให้รุ่นให้พวกได้ความก้าวหน้าในทางราชการเหนือกว่ารุ่นอื่นๆ แล้ว เขาจะยืนเคียงข้างตนเอง แต่ทหารทั้งชีวิตเขา เขาอยู่ใต้ร่มธงไชยเฉลิมพลมา ฝั่งจิตฝั่งใจในความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่มีอำนาจใดที่จะเปลี่ยนใจสิ่งนี้ได้เด็ดขาด ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคับขันแล้วทุกคนก็มายืนอยู่ใต้ธงไชยเฉลิมพลเหมือนกันหมด
ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตถึงความสับสนในคืนวันที่ 19 ก.ย.หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศสภาวะฉุกเฉิน นายไพศาล ตอบว่า ตนเชื่อว่า พล.อ.วินัย รู้เรื่องนี้ก่อน ทำให้คณะที่ยึดอำนาจสามารถกุมสภาพได้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถเตรียมการอะไรได้ทัน เพราะการประกาศสภาวะฉุกเฉินมีการเตรียมไว้ก่อน อีกทั้งเตรียมกองบัญชาการที่ 1 ที่ 2 ไว้
นายสำราญ ถามว่า ทำไม พล.อ.เรืองโรจน์ ถึงกลับจาก บก.ทหารสูงสุด มาร่วมมือกับฝ่ายยึดอำนาจ นายไพศาล ตอบว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ผู้ใหญ่คนหนึ่งได้คุยกับพล.อ.เรืองโรจน์ ว่า ถ้ามีอะไรขึ้นเอ็งยืนข้างไหน พล.อ.เรืองโรจน์ ก็ถามกลับไปว่า จะให้ผมยืนข้างไหน ผุ้ใหญ่ท่านนี้ก็บอกว่า ถ้าไอ้จ๊อด (พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์) ยังอยู่แล้วยืนข้างไหนมึงยืนข้างนั้นแล้วกัน ทั้งนี้ตนต้องขอชื่นชมและนับถือในน้ำใจจงรักภักดีเคารพต่อเจ้านายสุดชีวิตจิตใจ ที่สำคัญคืนวันนั้นก็มีผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งโทรไปย้ำอีก พล.อ.เรืองโรจน์ ก็หันกลับมาทางนี้ ซึ่งถ้าคืนวันนั้น พล.อ.เรืองโรจน์ ตัดสินใจสู้เหตุการณ์จะยุ่งกว่านี้
ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเอเอสทีวีจึงออกอากาศในคืนวันที่ทหารเข้ายึดอำนาจได้ นายไพศาล ตอบว่า ถ้าดูผิวเผินดูเหมือนมีอภิสิทธิ์ แต่ความจริงไม่ใช่ เนื่องจากมีการอนุญาตมาจากกองบัญชาการที่ยึดอำนาจ เพราะขณะนั้นตั้งเวลา 3 ทุ่ม สื่อต่างประเทศเสนอข่างเชิงลบต่อคณะปฏิรูปฯ ทั้งสิ้น ข่าวยืนไปทางอำนาจเก่า ที่นี้สื่อไหนละที่จะไปสู้ในต่างประเทศได้ ประเทศไทยมีสื่อเดียวก็คือ เอเอสทีวี ที่ถ่ายทอดไปทั่วโลก ทางกองบัญชาการจึงอนุญาตเป็นพิเศษ เป็นผลให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้สัมภาษณ์โต้ฝรั่ง คือ ฝ่ายพันธมิตรที่รู้เรื่องต่างออกมาโต้กันหมด ก็เป็นผลให้ข่าวสารตรงนี้ออกไปโต้ข่าวกับข่าวที่สื่อต่างประเทศเสนอ ซึ่งตนคิดว่า การที่กองบัญชาการคณะปฏิรูปฯ เห็นชอบให้ปล่อยอิสระในหลายช่วงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง มิเช่นสถานการณ์ในของประเทศไทย ในสายตาของต่างประเทศจะย่ำแย่กว่านี้มาก
ผู้ดำเนินรายการถามถึงบทบาทของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งการเข้าร่วมยึดอำนาจ กับการที่ไม่เร่งรัดคดีที่ตำรวจมีส่วนในการทำร้ายประชาชน ซึ่งนายไพศาล ตอบไว้อย่างน่าสนใจว่า การยึดอำนาจเสร็จสิ้นลงก่อนเวลา 4 ทุ่ม ตนไม่ทราบว่า พล.ต.อ.โกวิท อยู่ที่ไหน แต่เมื่อตนเข้าไปกองบัญชาการกองทัพบก และเมื่อคณะปฏิรูปฯ กลับมาจากเข้าเฝ้าฯ ผบ.เหล่าทัพเข้ามาหมด ยกเว้น ผบ.ตร.มีแต่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนั่งอยู่ท่านเดียว ตนจึงถามนายทหารท่านว่า ทำไมพล.ต.อ.โกวิท ไม่มา ซึ่งท่านก็ตอบว่า ผบ.ตร.ต้องไปจัดการกับตำรวจ ซึ่งหนักมาก เพราะตำรวจได้ถูกจัดวางไว้เป็นกองทัพตำรวจอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านั้น พ.ล.ต.อ.โกวิท ก็ยอมรับแล้วว่า ไม่มีอำนาจสมกับตำแหน่ง ซึ่งการไปแก้ปัญหาอย่างนั้นมีเหตุผลฟังได้
ส่วนประเด็นที่สองที่เกี่ยวกับคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตนอยากฝากความปารถนาดีไปยัง พล.ต.อ.โกวิท และตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ให้อำนวยความยุติธรรม เพราะถือเป็นหน้าที่พื้นฐานเบื้องต้นของตำรวจ ท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เคยกล่าวว่า ตำรวจเป็นต้นกระแสธารแห่งความยุติธรรม ถ้าต้นกระแสธารขุ่นมัวแล้ว กลางคืออัยการ และปลายคือศาล จะให้ใสสะอาดเป็นไปไม่ไม่ได้
เวลานี้คดีที่พันธมิตรฯ ถูกกล่าวหา ตำรวจจะดำเนินการฟ้องอุดตลุด คนละ 40 -50 คดี มากมายไปหมด แต่คดีที่ฝั่งพันธมิตรเผ้นผู้กล่าวหา ถูกเพิกเฉยมานานแล้ว แม้แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตำรวจก็ไม่ทำอะไรเลย พล.ต.อ.โกวิท อ้างแต่ถูกแรงกดดันทำให้ขยับไม่ได้ แต่วันนี้นับแต่วันปฏิรูปเป็นต้นมา ผบ.ตร.อ้างเหตุผลตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องทำหน้าที่นี้ให้สมบูรณ์ อย่าให้เสียแรงที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ผบ.ตร.น่าจะเข้าใจ และเพื่อให้เกิดความถูกต้องต่อบ้านเมืองต่อไป
นายสำราญ ถามว่า มีส่วนร่วมในการเขียนร่างประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 9 ที่เกี่ยวกับเรื่องนโยบายต่างประเทศหรือไม่ นายไพศาล ตอบว่า ประกาศฉบับนี้ตนมาทราบก็เช้าวันที่ 20 ก.ย.ตนไม่ได้เขียน เนื่องจากหลังเวลาตี 3 ของคืนวันที่ 19 ก.ย. หลังนายมีชัย ฤชุพันธ์ (อดีตประธานวุฒิสภา และ นักกฎหมายมืออันดับต้นๆของเมืองไทย )เดินทางกลับไปแล้ว ก็ไม่มีการเขียนประกาศที่เป็นกฎหมายอีก เขียนเฉพาะคำแถลงการณ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่จะกล่าวในวันรุ่นขึ้น เข้าใจว่า ร่างประกาศน่าจะมาจากคณะทำงานอีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็ส่งต่อมาที่ห้องตนเพื่อดูความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้นายมีชัยบ่น และเสนอให้ร่างประกาศทุกฉบับต้องออกมาจากจุดเดียวเท่านั้น
ร่างฉบับนี้ถ้าดูให้ดีจะพบว่า คณะทำงานที่ออกประกาศมา คงจะมีคู่มือประกาศคณะปฏิวัติสมัยก่อนอยู่ จึงหยิบเอาบางฉบับมาพูด ซึ่งข้อความเหมือนกับที่เคยมีในอดีต รวมทั้งฉบับที่ช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาด้วย ซึ่งเป็นความตั้งใจดี แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนไป การเขียนกฎหมายจะเอาแบบเดิมไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาเรื่อง การไปทำข้อตกลงที่ไม่ผ่านรัฐสภา มีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายบ้านเมืองและภาษีอากร ต้องถือเป็นสนธิสัญญาประเภทที่ต้องขออนุมัติต่อสภา แต่รัฐบาลที่แล้วไปให้ความเห็นว่า ไม่ต้องผ่านสภา รัฐบาลควรจะหยิบมาพิจารณาด้วยนายไพศาล กล่าว
นายสำราญ ถามถึงนานาประเทศคิด นายไพศาล ตอบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การยึดอำนาจในครั้งนี้ เป็นการเล่นเกมการเมืองระกว่างประเทศ เพื่อฉวยโอกาสของแต่ละประเทศ ประเทศไทยกับสหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน ไม่ว่าจะเป้นความสัมพันธ์ในระดับประมุข และประชาชน แต่ฝ่ายบริหารบางคนได้ฉวยโอกาสตรงนี้กดดันประเทศไทยมากเกินไป การตัดความช่วยเหลือทางการทหาร 24 ล้านเหรียญ การข่มขู่ของรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอย่างน่าเกลียด ดังนั้นจึงขอฝากไปถึงเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐ ให้ทำหน้าสมกับความเป็นราชทูต ควรแจ้งข่าวสารให้ถูกต้อง มันตรงกันข้ามกับประเทศจีนที่เข้าใจบทบาทและสถานการณ์ในประเทศไทยมาก
การเดินทางมาเยือนของท่านประธานเสนาธิการใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ รัฐบาลไทยและคณะมนตรีความมั่นแห่งชาติ (คมช.) ควรจะให้ความสำคัญ ให้สมกับน้ำใจที่เขาให้กับเรา นายไพศาล กล่าวทิ้งท้าย