นำมาให้อ่านค่ะ
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000123430วันที่ 3 ตุลาคม 2549 เป็นวันครบรอบวันประสูติ 93 พรรษาแห่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ประมุขสงฆ์ไทย พระผู้ซึ่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทรงเรียกขานว่าพระอาจารย์
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของราชอาณาจักรไทย ตลอดจนผู้คนทั้งปวงได้พากันไปเฝ้าเพื่อถวายพระพรเนื่องในมงคลสมัยอันสำคัญนี้
ทรงมีน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณดุจดังห้วงมหรรณพ ในมหามงคลสมัยนี้พระองค์ทรงประทานพระพุทธรูปสำคัญให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้เข้าไปกราบถวายพระพรเกือบจะพร้อมกับนายกรัฐมนตรี
เราจึงขอบอกกล่าวมายังพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวลว่าพระพรและของขวัญซึ่งทรงประทานนั้นย่อมแผ่ไพศาลไปยังพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วยเช่นเดียวกัน
ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศแล้วว่าพระสุขภาพพระพลานามัยขององค์พระประมุขสงฆ์ไทยในวันนี้ทรงมีความสมบูรณ์สมกับความที่ทรงพระชนมพรรษาถึง 93 พรรษา
หากจะเทียบกับผู้มีอายุขนาดนี้รายอื่นแล้ว พระองค์ก็ยังทรงมีพระสุขภาพและพระพลานามัยที่แข็งแรงดีกว่าคนจำนวนมาก
พี่น้องประชาชนคงจะจำกันได้ว่าในเดือนสิงหาคม ปี 2547 องค์พระประมุขสงฆ์ไทยทรงประชวร มีพระอาการมาก มีข่าวลือหนาหูเป็นระยะ ๆ ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์เพราะการประชวรในครั้งนั้น
แล้วต่อมาสื่อมวลชนก็ได้รายงานข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพระอาการ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
และมีรายงานข่าวเล็ก ๆ จากการให้ข่าวของแพทย์หรือพยาบาลซึ่งอยู่ในที่เฝ้าว่าก่อนเสด็จกลับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุกเข่าลงข้างเตียงที่ประทับ และทรงตรัสว่า
พระอาจารย์ พระอาจารย์ หม่อมฉันขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งละสังขาร ขอให้อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน
สื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่าสิ้นพระสุรเสียงที่รับสั่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในที่นั้นพากันร่ำไห้ระงมด้วยความซาบซึ้งและสะเทือนใจที่องค์พระประมุขของชาติทรงมีความเคารพ มีความผูกพันต่อพระสังฆราชา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ถึงเพียงนี้
ข่าวดังกล่าวได้ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากพากันน้ำตาไหลด้วยความเคารพ ความรัก ความศรัทธา ความบูชาสูงสุดที่มีต่อพระองค์ท่าน และทำให้ได้เห็นคุณค่าตลอดจนน้ำพระทัยแห่งความกตัญญู ความเคารพบูชาศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา
หลังจากวันนั้นแล้วพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็พ้นจากระยะวิกฤต ทุเลาลงโดยลำดับ จนวันเวลาล่วงมาสองปีกว่าแล้ว
สำหรับชาวพุทธแล้วย่อมมีความยินดี ย่อมมีความอิ่มเอิบเบิกบานใจเพราะย่อมรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าการที่เป็นไปเช่นนี้เป็นผลมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้ซึ่งภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ทรงสามารถอาราธนาเพื่อขยายอายุขัยของผู้ทรงธรรมได้ ดังที่ทรงอาราธนาท่านพุทธทาสภิกขุว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์มาหนหนึ่งแล้ว
และย่อมเป็นผลมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ถึงขั้นที่สามารถเจริญอิทธิบาท ขยายเวลาอายุสังขารได้ดังปรารถนา ดังปรากฏความอันมีมาในพระสูตรนั้นแล้ว
ในปีนี้ก็เห็นกันได้ชัด ๆ ว่าทรงมีพระสุขภาพพลานามัยที่ดียิ่ง ทรงปฏิบัติพระราชสมณกิจได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าการลงปาติโมกข์ การฟังธรรม การรับการเยี่ยมถวายสักการะต่าง ๆ ซึ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติภาระหน้าที่ขององค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย
เมื่อเป็นเช่นนี้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชจึงสมควรจะได้พิจารณาว่าถึงเวลาอันพึงยุติการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ได้แล้วก็ต้องถือว่าภารกิจของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นอันสิ้นสุดลง
พิจารณากันเสียเองจะดีกว่าที่จะให้ใครมาเรียกร้องหรือท้วงติงเพราะจะเป็นการไม่งาม อนึ่งเล่าการพิจารณาความจริงเสียเองจะดำรงรักษาความเป็นที่เคารพศรัทธาเอาไว้ได้ดีกว่า ทั้งจะเป็นสิริมงคลแก่วงการคณะสงฆ์ไทย ตลอดจนชาวพุทธทั้งมวลด้วย
ใน 4-5 ปีมานี้มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้าน ๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศให้ได้รู้ทั่วกันว่าการกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
บัดนี้เงาอสูรร้ายผ่านพ้นไปแล้ว ฟ้าเบิกอรุณอันแจ่มใสแล้ว นิยายเรื่องสังฆราชวังจันทร์ส่องหล้าต้องถึงบทสุดท้ายแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พุทธบริษัททั้งปวงจะต้องร่วมกันทำความถูกต้องดีงามให้เกิดขึ้น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของราชอาณาจักรและพุทธบริษัททั้งหลาย
เราเห็นว่าอาเพศวิปริตทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเกิดจากความคิดชั่ว ก่อ อนัตริยกรรมขึ้นในพระพุทธศาสนา ก่ออนัตริยกรรมแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นบาปฉกรรจ์อันแม้พระแม่ธรณีก็จะไม่ยอมรองรับซากศพ
จึงเป็นเหตุให้เกิดเภทภัยที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด เป็นเหตุให้บังเกิดโรคที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด ทำให้คนไทยเป็นทุกข์เข็ญ และเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เดือนดาวก็อาเพศวิปริต ราชการบ้านเมืองก็วิปริตผันแปรไป ไก่ตัวเมียก็ขันได้กลายเป็นไก่ตัวผู้ จนในที่สุดพระสยามเทวาธิราชก็ไม่อาจอดรนทนอยู่ต่อไปได้ จึงต้องแผ่พระบารมีดลจิตดลใจให้นายทหารผู้ภักดีต่อชาติราชบัลลังก์เข้ายึดอำนาจการปกครอง
วิกฤตที่สุดในโลกหยุดลงแล้ว แต่นี้ไปจะเป็นเรื่องของการกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้เป็นปกติสุข ซึ่งเราขอเสนอสองประการ คือ
ประการแรก ขอเสนอต่อคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชได้พิจารณายุติบทบาทและถวายพระอำนาจคืน ซึ่งอาจรวมถึงการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย
ประการที่สอง ขอเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรีได้กำหนดการทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ล้างซวยที่คนกาลีเมืองเข้าไปทำพิธีไสยในโบสถ์วัดพระแก้วด้วยการเจริญมหาราชปริตรเพื่อขจัดปัดเป่าสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัย และเพื่อปกป้องราชอาณาจักร ตลอดจนประชาชนไทยทั้งประเทศให้มีความปลอดภัย มีความสงบสุขและรุ่งเรืองดังเดิม
ทำเสียก่อนวันที่ 22 ตุลาคม ศกนี้ ก็จะเป็นการดียิ่ง!