จากการประชุมร่วมกันของท่าน พลเอก วินัย ผู้ว่าการแห่งประเทศไทย และผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เมื่อวานนี้ เวลา 16.00 น.
ขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะประกาศใช้ชั่วคราวอยู่ในขั้นตอนที่มีการปรับแก้ไขเล็กน้อยโดยคณะบดีจากทุกสถาบันการศึกษาแล้ว พร้อมจะทูลเกล้าถวายเพื่อประกาศใช้ต่อไป คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 นี้
หลังจากนั้นจะเกิดองค์กร 3 แห่ง
1. คปค จะ แปรสภาพไปเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีหน้าที่หลัก 2 ด้านคือให้ คำปรึกษาเฉพาะเรื่องนโยบายที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ กับ มีหน้าที่กลั่นกรอง คัดเลือกนายกรัฐมนตรี จะไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารทั่วไป
2. สภานิติบัญญัติ ทำหน้าที่ดูแลกฏหมายเพียงอย่างเดียว 250 คน
3. สภาร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ซึ่งจะไม่มีสิทธิเป็น สส หรือรัฐมนตรี หลังจากมีรัฐธรรมนูญ ใช้ไป 2 ปี 35 คนนี้คัดมาจากสมัชชาประชาชนทั่วทุกภูมิภาคและส่วนกลางให้เหลือ 200 คน แล้วคัดอีกให้เหลือ 100 คน แล้วคัดอีกจนเหลือ 35 คน (เดิมที คปค กำหนดว่าทุกคนที่คัดมาตั้งแต่รอบแรก จะต้องโดนจำกัด สิทธิ ไป 2 ปี แต่คณบดี สถาบันการศึกษาขอตัดให้เหลือเพียง 35 คนสุดท้ายเท่านั้น
กฏอัยการศึกจะค่อยๆผ่อนคลายจนเลิกในที่สุด ที่ยังไม่เลิกทันทีเนื่องจากต้องใช้เวลาในการสลายรากเดิมที่หยั่งลึกในทุกส่วนงานและในวงการธุรกิจ
คณะที่ปรึกษาต่างๆที่ตั้งขึ้นเพื่อให้คำปรึกษา คปค จะประชุมวันศุกร์นี้
เรื่องนักศึกษาประท้วง ทาง คปค ไม่ห่วงอะไร เป็นเรื่องที่อาจารย์มหาวิยาลัยนั้นๆได้ร้องขอมาทาง คปค ให้อนุญาตเด็กให้ได้แสดงออก คปค จะไม่ใช้อำนาจไปปิดกั้น ส่วนกรณีต่างจังหวัดนั้นน่าห่วงกว่าเพราะเป็นฐานอำนาจเดิมสนับสนุน
คุณโกวิท เป็นคนดีมาก เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยคนหนึ่งทีเดียว และได้รับอาญาสิทธิให้แก้ไขปัญหาตำรวจ ขั้นแรกจะใช้การปรับเปลี่ยนกำลังคนไปก่อน เพราะหัวขบวนคนเดิมทำเอาไว้เสียหายจนเกิดปัญหาภาคใต้ขึ้น เรียกได้ว่า คปค ไว้วางใจท่านโกวิทสูงสุด เหมือน คปค เซ็นต์เช็คเปล่าให้ท่านโกวิทไปกรอกตัวเลขเอง
ปัญหาภาคใต้จะยังไม่หมด แต่จะค่อยๆลดลง ล่าสุดมีการขอเจรจากับ คปค แล้ว ทั้งนี้ เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าปัญาเกิดจากการปรับเปลี่ยนกำลังจากทหารไปเป็นตำรวจก่อให้เกิดความสัยหายที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบกับการจับแพะต่างๆ และการฆ่าตัดตอนฯลฯ ทำให้ชาวบ้านโกรธแค้น ทวงหาความเป็นธรรมก็ไม่ได้รับ ทำให้เกิดเรื่องขึ้น ประกอบกับมีเด็กวัยรุ่นที่โกรธแค้นในเรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากเชื้อเดิมที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ทำให้ปะทุขึ้นมาได้
เศรษฐกิจไทยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด การเมืองส่งผลกระทบเฉพาะ SME แต่ธุรกิจรายใหญ่ๆยังแข็งแรง การใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณก็กระทบเศรษฐกิจเพียง 25% ของ GDP เท่านั้น ตัวเลขการอุปโภคบริโภคยังดีอยู่มาก ส่วนที่อ่อนคือการลงทุนภาคเอกชนตกลงไป ได้สอบถามไปยังภาคธุรกิจแล้ว ทราบว่าเป็นเพราะเขาวิตกกังวลเรื่องราคาน้ำมันสูงๆ เลยลดกำลังการผลิตลง เดี๋ยวก็ลงทุนเพิ่มเองเพราะว่าราคาน้ำมันเริ่มลดลงแล้ว และเมื่อการเมืองเริ่มนิ่ง มีแนวทางชัดเจน ธนาคารซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญก็จะปล่อยกู้ นอกจากนี้หากไม่มีกรณีรัฐประหารเกิดขึ้น งบประมาณจะใช้ได้ก็ กค ปีหน้า แต่เมื่อมี คปค แล้ว กลับเร่งรัดส่วนนี้ให้ดำเนินไปได้โดยจะเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ 1 มค 2550 เร็วขึ้นมาครึ่งปี ดีต่อเศรษฐกิจ และในการพิจารณางบประมาณนี้ได้กลั่นกรองโดย 4 หน่วยงานได้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพํฒน์ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เห็นพ้องต้องกันที่จะเลือกเฉพาะโครงการที่มีประโยชน์ไม่คลุมเครือ งบผูกพันต่างๆก็จัดการไปแล้ว มีทิ้งไปก็มี ขณะนี้ได้ส่งกลับไปให้ส่วนงานต้นเรื่องพิจารณาใหม่เฉพาะที่จำเป็นจริงๆ และให้ส่งกลับมาวันที่ 8 ตค พอวันที่ 10 ตค จะเสนอรัฐบาลที่จัดตั้งแล้ว คาดว่าจะลงพระปรมาภิไธยทัน 29 ธค ปีนี้ และเบิกใช้ได้ 1 มค ปีหน้าแน่นอน
ทุกงาน ทุกเรื่อง คปค มีการวางแผนรอบคอบ กำหนดเป็นวันที่ด้วยว่าวันไหนอะไรต้องทำ สันไหนอะไรต้องเสร็จ
เรื่องกุหลาบแก้ว ตามกฏหมายปัจจุบันเอาผิดได้ที่นอมินีเท่านั้น ผู้ลงทุนไม่ผิด แต่เรื่องนี้จะกระทบการลงทุนของต่างชาติในไทยอย่างหนัก เพราะมีมากมาย ดังนั้นแนวทางที่จะออกมาน่าจะเป็นการที่กระทรวงพาณิชย์ให้โอกาสทุกคนใหม่โดยกำหนดบบรรทัดฐานที่ชัดเจน โดยให้ทุกรายแก้ไขโครงสร้างภายใน 1 2 ปี แต่ในส่วนของ SHIN ก็อาจมีการให้ผู้ลงทุนไทยซื้อคืน
เรื่อง ปตท เทียบกับ การไฟฟ้า ต่างกันที่ ปตท ไม่ผิดในกระบวนการ แต่ไปผิดเรื่องสายส่ง ซึ่งต้องแยกออกมาจาก ปตท ปตท ไม่น่าจะต้องออกจากตลาดหุ้น
สำหรับเรื่องอดีตนายกนั้น คปค จะระมัดระวัง และมีความเห็นว่าไม่ควรกลับเข้ามาในแวดวงการเมืองอย่างน้อย 2 ปี
ท้ายสุด ผู้ว่า ธปท และ พลเอก วินัย ยืนยันว่า คปค ร่วมมือกับทุกองค์กร และบุคคลากรต่างๆ เพื่อทำให้บ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอยโดยเร็วที่สุด ไม่มีใครใน คปค ต้องการตำแหน่งในรัฐบาลแต่อย่างใด
สำหรับเงินของอดีตนายก 7-8 หมื่นล้านบาทนั้น ผู้ว่า ธปท จับตาดูอยู่ ขณะนี้กระจายฝากในธนาคารในประเทศหลายแห่ง ในนามหลายๆคน ยังไม่มีการนำเงินออกไปนอกประเทศ เพราะต้องขออนุญาต ธปท ก่อน
และกรณีอื่นๆที่เกี่ยวกับซุกหุ้น ขายชิน ฯลฯ ผู้ว่า ธปท บอกว่า พิสูจน์ทราบด้วยทางเดินของเงินแน่นอน ข้อนี้ตรงกับที่ผมเคยเขียนเอาไว้ในกระทู้ก่อนๆ
สรุปคือหลบไม่พ้นแน่ไอ้เหลี่ยมและคณะจะโดนอายัดทรัพย์และขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง