แล้วทีนี้ก็คงเหนื่อยล่ะครับกับการจะต้องนั่งนับเวลาให้รีบ ๆ ผ่านไปอีกหกปี
ให้อ้ายพวกกากเดนในสภา(ที่ดีก็มีแต่น้อยนัก)เหล่านั้นออกมาเสียให้ไปไกล ๆ มาจาก รูไหนก็กลับไปที่รูนั้น
ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ทราบว่าจะทำเสียอย่างไร เพราะการเมืองจะเลวทรามอย่างไรก็อยู่ที่ประชาชนนั่นล่ะครับ ว่าสภาพเป็นอย่างไร
ดั่งที่ท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ท่านได้กล่าวไว้ว่า
ตามปกติคุณภาพของการปกครองนั้น ย่อมขึ้นต่อคุณภาพของผู้ปกครองเป็นสำคัญ
ในเมื่อประชาชนมาเป็นผู้ปกครอง ประชาธิปไตยจะมีคุณภาพแค่ไหนก็อยู่ที่คุณภาพของประชาชน...ประชาชนมีคุณภาพดี
ประชาธิปไตยก็มีคุณภาพดีด้วย ถ้าประชาธิปไตยมีคุณภาพต่ำ ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยอย่างเลวด้วย
เพราะว่าคุณภาพของประชาธิปไตยขึ้นต่อคุณภาพของประชาชน
การกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่า ประเทศที่มีประชาชนที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ควรปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
เพราะมนุษย์เป็นเวไนยสัตว์ เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ และคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะรู้เรื่องการเมืองมาตั้งแต่เกิด
แต่มนุษย์ต้องเรียนรู้เอาภายหลังทั้งสิ้น ประเทศที่จะปกครองด้วยประชาธิปไตยให้ได้ผลดี
จึงจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ประชาชนเรียนรู้เรื่องการเมืองให้ได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น
หากพิจารณาเพียงผิวเผิน คนไทยทั่วไปก็จะเกิดความหวังอย่างมากกว่า
เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วการเมืองไทยคงจะดีขึ้นอย่างแน่นอน...
แต่หากได้พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าลำพังแต่มาตรการต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญคงไม่เพียงพอที่จะปฏิรูปการเมืองได้
ถึงเวลาแล้วหรือยัง...?...ที่เราจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของประชาชนอย่างจริงจัง
. ..โดยที่พวกเราจะต้องพัฒนาตัวเราเองด้วย กล่าวคือพวกเราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
เพื่อเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย
(พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), การศึกษาเครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา, ๒๕๓๙)
จากบทความของท่านพระธรรมปิฎกก็กินใจและถี่ถ้วนทุกกระบวนความเสียแล้วครับ ว่าอะไรเป็นอะไร
คงจะไม่ต้องว่าเสริมขยายความให้ยืดต่อไปอีก กระนั้นเราจะเห็นได้ครับว่า ประชาธิปไตยจวบจนมาเจ็ดสิบสี่ขวบ
ประชาชนก็ยังไม่พร้อมอยู่อีกเช่นเดิม ซึ่งพัฒนาการของประชาชนต้องยอมรับครับว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้าเอามากนัก
เพราะกลุ่มความรู้เมื่อเจ็ดสิบสี่ปีที่แล้ว กระจุกตัวอยู่ที่บรรดาคนชั้นสูง กลุ่มราชนิกุล และระยะเวลาผ่านมาเกือบแปดสิบปี
กลุ่มความรู้ได้ขยายมาลามมาถึงกลุ่มคนชั้นกลางเป็นบางส่วน ซึ่งความเป็นจริงตามหลักการแล้ว ประชาชน
สมควรที่จะมีพัฒนาการความรู้ ควรจะต้องลามไปสู่รากหญ้าเสียได้แล้ว
ที่การเจริญเติบโตทางความรู้การศึกษาของประชาชนเป็นไปอย่างต้วมเตี้ยมก็เป็นเพราะการมุ่งแสวงหาอำนาจของกลุ่มอาชีพ
ที่เรียกกันว่านักการเมือง ซึ่งตอนนี้ถูกกลุ่มของนักการตลาดสวมร่างอยู่ ทำให้การแสวงหาอามิส และ ตัวเลขเป็นไปอย่างอิ่มหมีพลีมันส์
จนกระทั่งขาดการเอาใจใส่ในด้านของการพัฒนาการศึกษา การพัฒนาคนเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก
จะว่าไปแล้วหากพลเมืองไทยหมั่นศึกษาหาความรู้กันอย่างถ้วนหน้า เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นประชาชนที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิไตย
มิใช่จะอยู่รอนับถอยหลังวันที่จะต้องนอนลงให้เขาเอาดินกลบหน้า เกิดเป็นมนุษย์เสียทีจะให้คุณประโยชน์ทั้งทีก็ตอนตาย
คือ ปล่อยให้ตนเป็นเพียงอาหารของวัชพืชไปเสียเท่านั้น การเป็นประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยนั้น จะละเลยอยู่ดั่งเช่นปัจจุบันนี้มิได้เลยครับ
น่าห่วงเสียเอามากเชียวล่ะ เพราะประชาชนคอยหวังพึ่งนักการเมือง ทั้ง ๆ ที่พึ่งเอาเสียทีเดียวไม่ได้
เพราะจะกลายไปเป็นอำนาจที่กระจุกตัว ดั่งที่เรียกกันว่า การเมืองเป็นเรื่องของกลุ่มอาชีพหนึ่ง ๆ เท่านั้น
และหากเราปล่อยปละให้เป็นเช่นนั้น อย่าว่าแต่พัฒนาการทางการเมืองเลย แม้แต่ประชาชนเองก็จะเอาตัวไม่รอด
เพราะหากรอให้หยั่งรากลึกลงไปมากกว่านี้ ประชาชนก็จะอยู่ในสภาที่เรียกได้ว่าทุพพลภาพ คือพึ่งตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
ที่พึ่งข้ามีเพียงผู้เดียวคือผู้นำ ซึ่งความจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตย
และหากท่านอยากให้เป็นเช่นนั้นก็คงจะต้องไปอยู่ในรูปแบบของเผด็จการ ซึ่งมีให้ท่านอยู่สองแบบคือ
แบบอำนาจนิยมทางการทหาร และแบบคอมมิวนิสต์ ฟาสต์ซิสต์อะไรก็ว่าเอา เลือกเอาเถิด เพราะท้ายสุด
หากเรายังเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานก็คงต้องหันไปพึ่งลัทธิเหล่านั้น
แต่เดชะบุญด้วยพระบารมีแห่งองค์พระกษัตรา ยังค้ำจุนให้ปวงชนผองไทยยังยืนหยัดอยู่ในระบอบแบบประชาธิปไตยนี้ยังคงอยู่ได้
ตราบใดที่เรายังยึดมั่นในสถาบัน
อย่างไรก็ดี กระผมขอฝากโคลงสี่สุภาพบทหนึ่งของท่านอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ท่านประพันธ์เอาไว้เพื่อเอาไว้ระลึกเสมอว่าเกิดมาทั้งทีอย่าให้สูญเปล่า
กระผมเองขอลาไปด้วยโคลงบทนี้ครับ
โดย พุฒิพงศ์ [ วันอาทิตย์ ที่ 23 เดือนเมษายน พศ.2549 ]
phuttipong_top@hotmail.com