"แก้วสรร"ชี้ทาง"คปค." สอบโกง-ฟันนักการเมือง
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0107240949&day=2006/09/24หมายเหตุ : นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร แสดงความเห็นการตรวจสอบทุจริตในโครงการต่างๆ โดยผ่านกระบวนการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เพิ่งแต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน
**ถาม รู้สึกอย่างไรครับ ที่มีชื่อเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วหลุดทุกทีไป
ตอบ ดวงผมมันคงต้องต่อสู้ไปตลอด เพราะจะถูกจ้องบล็อคอยู่เป็นประจำ
**ถาม คราว ป.ป.ช.นี้ก็โดนอีกหรือครับ
ตอบ ครับ..เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา ทางเลขาฯกองทัพบกติดต่อผ่านเลขาฯศาลฎีกา ทาบทามผมมาก่อนแล้วว่า จะใช้ว่าที่ กกต. 5 คน มารับงาน ป.ป.ช. ผมจะรับช่วยได้ไหม ผมก็ไม่ขัดข้องเพราะทราบว่าจะให้เราใช้อำนาจตามกฎหมาย ไม่ใช่ตามคำสั่งพิเศษ อย่างนี้ก็รับได้ จากนั้นสื่อก็โทร.มาถามกันหลายฉบับ ผมก็ถือเป็นมรรยาทไม่ให้ข่าวอะไร จนในที่สุดโผก็พลิกไปอย่างนี้
**ถาม ใครพลิก
ตอบ
อาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์ กับ อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรโณ เป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด ท่านอธิบายกับผู้เกี่ยวข้องว่า ผมขาดคุณสมบัติเพราะไม่ได้เคยเป็นอธิบดี และผมน่าจะไปเป็นเลขาฯ กกต.จะดีกว่า
**ถาม อ้าว...ถ้าตั้งโดยอำนาจคณะปฏิรูปแล้วยังจะติดกฎหมายอะไรอีกหรือ
ตอบ ก็นั่นนะสิครับ พอทาบทามมาผมถึงได้รับเพราะรู้ว่าไม่เป็นปัญหาอะไร เห็นทำงานพลิกไปพลิกมาอย่างนี้แล้วน่าเป็นห่วง
**ถาม ดู ป.ป.ช.ชุดใหม่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ ต้องดูทั้งเฉพาะตัว แล้วก็ดูเป็นทีมครับ ป.ป.ช.แต่ละคนต้องแยกย้ายไปเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีแต่ละคดี แต่ละคนต้องเชี่ยวต้องสามารถตั้งสำนวนที่น่าเชื่อถือขึ้นมาให้ได้ก่อน จากนั้นจึงต้องมาทำงานเป็นทีมคิดตัดสินใจร่วมกันอีกที ตรงนี้ถ้าได้สักสองสามคนคอยลากคอยดึงอยู่ ก็ไปไหนไม่ได้ ประธานต้องกล้าและเก่งมากจึงจะดึงงานให้เดินไปเป็นคณะได้ คุณเอากรอบนี้ไปดูเอาเองก็แล้วกันครับ ว่า ป.ป.ช.ชุดนี้เป็นอย่างไร
**ถาม แล้วเมื่อคณะปฏิรูปฯเขาเลือกแนวทางไม่ออกกฎหมายพิเศษ โดยให้ใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช.แทน อย่างนี้อาวุธในคลัง ป.ป.ช.จะพอใช้จัดการกับพวกทุจริตหรือไม่ครับ
ตอบ พอแน่นอนครับ ต้องขอชมคณะปฏิรูปจริงๆ ที่ตัดสินใจใช้ครรลองกฎหมายปกติ กฎหมาย ป.ป.ช.ให้อาวุธไว้มากมาย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์กรนี้ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด กฎหมายนี้จึงไม่เปล่งศักยภาพเช่นที่ควร ขอแต่ตั้งขุนพลที่กล้าสู้ตาย รับเอาอาวุธเหล่านี้ไปใช้ให้เต็มที่เท่านั้น การปราบคอร์รัปชั่นใน 1 ปี ก็จะเห็นหน้าเห็นหลังได้
**ถาม มีอาวุธอะไรอยู่บ้างครับ
ตอบ หลังได้รับการทาบทาม ผมก็ทำงานล่วงหน้า นั่งแยกแยะพิจารณา ได้ดังนี้ครับ
จากภาพจะเห็นอาวุธอยู่ 4 ประเภท คือ โทษอาญาในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งตามกฎหมายอาญาและกฎหมายปราบปรามประโยชน์ทับซ้อนในกฎหมาย ป.ป.ช.เอง ซึ่งตัวหลังนี้เป็นอาวุธใหม่ที่น่าสนใจมากจริงๆ ติดคุก 3 ปีได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพิสูจน์ความทุจริตอะไรเลยพิสูจน์แต่ว่า ได้อนุมัติ สั่งการ อะไรไป โดยมีตนเองลูกเมียญาติพี่น้องมีส่วนได้เสียรับประโยชน์อยู่ด้วย แค่นี้ก็ตายแล้วครับ
ป.ป.ช.ต้องกวาดเอ็กซเรย์ตรวจสัญญา ใบอนุญาตมาตรการส่งเสริมการลงทุน โครงการตัดถนนประหลาดๆ ที่ทำมาในระยะ 5 ปี ให้หมด พบว่ามีประโยชน์นักการเมืองใดทับซ้อนซุกซ่อนอยู่ เพียงเท่านี้ก็แจ้งข้อหาให้ตำรวจจับกุม ส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาลคดีอาญานักการเมือง ลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดได้เลย
ผมขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.ใช้อาวุธนี้ให้กว้างขวางที่สุด รัฐบาลใหม่ต้องร่วมมือใช้อำนาจสืบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาสนับสนุนด้วย น่าเชื่อว่าจะมีนักการเมืองและเครือญาติ ทยอยติดคุกเป็นแถวเลย
**ถาม ผมสนใจเรื่องยึดทรัพย์มากกว่า
ตอบ อาวุธตัวนี้ เล่นยาก เหนื่อย และหลุดได้ง่าย หลุดแล้วก็ยังโผล่มาเล่นการเมืองได้อีก ต้องใช้อย่างจำกัด ต้องมีฐานคดีว่ามีการกระทำผิดฉ้อฉลก่อน เช่น จงใจใช้อำนาจรัฐสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจของตนด้วยประการต่างๆ จากนั้นก็เอากิจการไปขายได้เงินมามากมาย ตรงนี้กฎหมาย ป.ป.ช.จึงจะเรียกว่า "ร่ำรวยผิดปกติ" แล้วมีมติยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ร้องต่อศาลให้พิพากษายึดเป็นของแผ่นดินต่อไป
ด้วยกรอบอย่างนี้ ป.ป.ช.จึงไม่อาจสุ่มสี่สุ่มห้ายึดทรัพย์นักการเมืองที่รวยเร็ว รวยมาก ในทันทีได้ ต้องได้ฐานคดีมีมูลกินบ้านกินเมืองอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เป็นแผนเป็นโครงการก่อน จึงจะออกอาวุธได้ ที่คณะปฏิรูปฯยั้งใจไม่สั่งยึดทรัพย์สุ่มสี่สุ่มห้านั้น จึงถูกต้องแล้วครับ คดียึดทรัพย์จึงน่าจะใช้เป็นอาวุธกวาดล้างระลอกสอง เล่นคดีอาญาก่อน แล้วซ้ำด้วยยึดทรัพย์อีกที อย่างนี้จึงจะตายสนิท ปิดฝาโลงได้
**ถาม แล้วอาวุธเพิกถอนสิทธิประโยชน์ที่ได้จากรัฐนั่นล่ะครับ ผมไม่รู้จักเลย
ตอบ ตัวนี้น่าใช้มาก แต่ต้องได้ฐานกระทำผิดอาญาก่อน และต้องได้ความว่าเอกชนนั้นสมคบร่วมทุจริตให้สินบนหรือทำมาหากินร่วมกับนักการเมืองด้วย เช่นร่วมกันทุจริตจนได้สัญญาผูกขาดให้บริการต่างๆ ในสนามบินใหม่ ดังนี้ ป.ป.ช.ก็สามารถสั่งให้กระทรวงคมนาคมนำสัญญาเหล่านี้ไปให้ศาลพิพากษาเพิกถอนได้ จัดเป็นอาวุธประเภทกวาดล้างระลอกสอง ต้องบุกทะลวงด้วยข้อหาทางอาญาก่อน ใช้โดดๆ ไม่ได้ครับ
**ถาม มาตรการถอดถอนหรือมาตรการทางวินัย จะใช้อย่างไร
ตอบ ก็เป็นอาวุธระดับสองเหมือนกัน ใช้จัดการเจ้าหน้าที่ที่ร่วมทุจริตในสัญญาสนามบินให้พ้นตำแหน่งหน้าที่ได้ ส่วนคดีอาญาก็เดินหน้าขนานกันไป
**ถาม แล้วอาวุธในคลังของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะช่วยสนธิกำลังในการรบได้อย่างไรครับ
ตอบ สตง.เปรียบเหมือนผู้ตรวจบัญชีบริษัท ชี้ได้ว่าสัญญาซีทีเอ็กซ์ (โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดในสนามบิน) ผิดระเบียบไม่สมเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วใช้อำนาจเรียกค่าเสียหายทางปกครองจากผู้กระทำผิดได้ อีกทางหนึ่งก็รายงานรัฐบาล รายงาน ป.ป.ช. ให้ ป.ป.ช.สอบความทุจริตอีกชั้นหนึ่งว่ามีใครรับเงินรับทองกันหรือไม่ตรงช่วงไหน คดีใดไม่ปรากฏหลักฐานในส่วนนี้ก็ต้องยุติไปในทางอาญา ในภาพรวม สตง.จึงช่วยคาบเหยื่อมาให้ ป.ป.ช.เริ่มคดีเท่านั้นเองว่า มีตัวการกระทำที่ผิดพลาดทางกฎหมายการเงินเกิดขึ้น ส่วนตัวผู้กระทำจะมีความชั่วทุจริตหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องมีมือปราบ ป.ป.ช.รับช่วงอีกทีครับ
**ถาม ดูแล้ว อาวุธในคลัง ป.ป.ช.น่าจะร้ายแรงที่สุดนะครับ
ตอบ ครับ...ป.ป.ช.เป็นหัวหอกสำคัญที่สุดในการปราบคนโกง ให้ติดคุก ให้หายไปจากวงการเมือง จึงฝากไว้กับขุนพล ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนนี้เท่านั้นจริงๆ คณะปฏิรูปได้ตัดสินใจเลือกสรรมอบหมายให้เดินทัพไปโดยอิสระแล้ว ถ้าตัดสินใจผิดก็ผิดอย่างสำคัญที่สุดและแก้ไขไม่ได้ ถ้าถูกเราก็จะได้อนาคตที่ดีงามสะอาดสะอ้านกว่าเดิม
ขอให้เราร่วมกันเอาใจช่วยขุนพล ป.ป.ช.ที่ดี ให้มีความเข้มแข็งใช้ฝีมือเอาชนะทั้งในกองบัญชาการและในสนามรบให้จงได้