เอา มุมมอง "คนเดือนตุลา" อีกคนหนึ่ง มาฝากค่ะ
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=26/Aug/2549&news_id=129223&cat_id=400
ว่ายทวนน้ำ โดย ใบตองแห้ง ไทยโพสต์ 26 สิงหาคม 2549
... ในฐานะที่เป็นคนเดือนตุลาคนหนึ่ง อยากบอกว่าในแวดวงคนเดือนตุลาด้วยกัน แม้จะไม่ได้
รู้จักสนิทสนมทุกคน ก็พอจะรู้พฤติกรรมของทุกๆ คนที่มีชื่อเสียง รู้มาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว
จนกระทั่งถึงวันนี้ รู้มากกว่าที่เป็นข่าวรู้ว่าใครคบได้คบไม่ได้ รู้ว่าใครจริงใจกับเพื่อน รู้ว่าใครมี
อุดมการณ์ที่มุ่งมั่นจริงจัง - อย่างน้อยก็ก่อนที่จะเกิดวิกฤติครั้งนี้หรือก่อนที่จะมีรัฐบาลนี้
แต่คนเราไม่ได้เปลี่ยนชั่วข้ามคืนหรอกครับ
จากความรู้ของผม ก็พอจะบอกได้ว่าคนที่จริงใจ คบได้ มีอุดมการณ์ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในพันธมิตรฯ
และก็ไม่ได้หมายความว่าคนในรัฐบาลทักษิณ จะเลวทรามขายตัวทรยศอุดมการณ์เสมอไป
คนคบไม่ได้ที่มายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มี-มีไม่น้อยซะด้วย
คนบางคนเคยเข้าไปทำงานกับเขา แล้วอยากได้เก้าอี้ ก็เที่ยวเผาเพื่อนเผาพี่ หารู้ไม่ว่าระหว่างที่
ไปนั่งด่าพี่ให้แวดวงคนเดือนตุลาด้วยกันฟัง เขากดมือถืออยู่ใต้โต๊ะส่งไปให้พี่ฟังด้วย หัวร่อกันกลิ้ง
รู้เช่นเห็นชาติ
นั่นคือประเด็นแรก เวลาตัดสินคนเดือนตุลาด้วยกัน ผมดูยาว 30 ปี เหมือนเวลาที่ผมวิจารณ์ภูมิธรรม
ว่าเขาคิดผิดที่ไปสนับสนุนทั่นผู้นำ ผมก็เคารพเขาในฐานะที่ต่อสู้มาอย่างจริงจัง ทั้งยุค 14 และ
6 ตุลา หรือยุคหลังที่เป็นกำลังสำคัญทุ่มเทก่อร่างสร้างงานองค์กรพัฒนาเอกชน (จนกระทั่ง NGO
กลายเป็นหนึ่งในพลังต่อต้านทักษิณอยู่วันนี้) ผมเคารพว่าการที่เขาเปลี่ยนการต่อสู้ครั้งที่ 3 ไม่ว่า
ผิดหรือถูก เขาก็คงไม่ทำเพื่อตัวเอง
ประเด็นที่สอง ที่จริงไม่ต้องพูดถึงก็ได้แต่เดี๋ยวจะว่าเข้าข้าง คือผมก็วิจารณ์คนเดือนตุลาใน
รัฐบาลมาตลอด โดยเฉพาะปัญหาภาคใต้ ที่จมูกชมพู่ปลุกระดม - หรือกรณีกรือเซะ (ฝีมือใครที่
เพิ่งโดนปลด) กรณีตากใบ พวกเขาบางคนเช่นจาตุรนต์ เกรียงกมล ออกมาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย
แต่โดยภาพรวมของคนเดือนตุลาไม่ได้คัดค้านอย่างเข้มแข็งพอ ผมรู้ว่าโอเค-คนเดือนตุลาใน
รัฐบาลไม่ได้ไปสังสรรค์เสวนากับจมูกชมพู่หรอก ต่างคนต่างอยู่ คนละเส้นสายแต่สนับสนุนทั่น
เหมือนกัน แต่อย่างน้อย ก็ควรแสดงท่าทีคัดค้านบ้าง ไม่ใช่เออออห่อหมก (มีบางคนออกมา
เออออห่อหมกจริงๆ ในช่วงเลือกตั้ง 48)
เรื่องของความรุนแรง เรื่องจมูกชมพู่ เป็น 2 เรื่องสำคัญที่คนเดือนตุลาในรัฐบาลไม่แสดงท่าที
แข็งขันพอ หรือบางคนก็ผสมโรง แม้บางคนจะคัดค้าน เช่นกรณีของวัชรพันธ์เมื่อครั้งม็อบท่อก๊าซ
ประเด็นที่สาม ตั้งแต่เกิดวิกฤติไล่ทักษิณ คงต้องพูดตรงๆ ว่า คนเดือนตุลาที่อยู่ฝ่ายไล่ทักษิณ
ต่างหากที่อยากให้เกิดความรุนแรง หรือพยายามจุดกระแสสร้างความเกลียดชัง แบ่งขั้วแบ่งฝ่าย
โดยเฉพาะคนที่ใกล้ชิดนักการเมือง ใกล้ชิดผู้เสียประโยชน์ จะมียกเว้นแค่พี่พิภพ ธงไชย และสาย
NGO ส่วนหนึ่ง นักวิชาการบางคนตอนแรกดูเหมือนจะมีจุดยืนแต่ตอนหลังเลือดเข้าตา ก็ออกมา
เสนอทฤษฎีพิลึกพิลั่น บิดเบือนทฤษฎีประชาธิปไตย จนเหลือเชื่อว่าหลังวิกฤติครั้งนี้แล้วจะสอน
หนังสืออยู่ได้อย่างไร วิจารณ์สังคมแล้วจะมีใครฟังอีก
คงต้องพูดตรงๆ ว่าก็คนเดือนตุลาในพันธมิตรฯ อีกนั่นแหละ ที่ปลุกผีคอมมิวนิสต์ สร้างกระแสเรื่อง
ปฏิญญาฟินแลนด์ ทั้งที่คนเดือนตุลาด้วยกัน ก็น่าจะรู้เต็มอกว่า มันจริงหรือไม่จริง แต่ยังเอามาใช้
คงต้องพูดตรงๆ ในฐานะที่ผมก็รู้จัก อ.สังศิต (คนเดือนตุลาอีกนั่นแหละ) ว่าผมไม่เห็นด้วยกับการที่
เอาเด็กนักศึกษา เยาวชน (ลูกคนเดือนตุลาด้วยกัน) มาเล่นเกมจรยุทธ์ขับไล่กันด้วยการตะโกนด่า
ปลุกความเกลียดชัง สร้างความแตกแยก เพื่อบรรลุเป้าหมาย
ประเด็นนี้ผมอาจจะพูดเหมือนหมอมิ้ง แต่ผมก็แสดงความเห็นอย่างนี้มาตลอด และขอกล้าๆ พูดว่า
ผมเชื่อว่าหมอมิ้งสะเทือนใจจริง คนที่เคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลา มาเจอสภาพอย่างนี้ โดยที่ตัวเอง
อยู่ในรัฐบาล เห็นคนแก่ถูกชก เห็นลูกเพื่อนมาตะโกนด่านายกฯ ที่ตัวเองสนับสนุนขึ้นมา มันเป็น
ความสะเทือนใจที่ไม่ได้แกล้งบีบน้ำตา
นักศึกษาคนนั้นที่ตะโกนด่านายกฯที่สยามพารากอน เป็นลูกคุณชัชวาลย์ ประทุมวิทย์ อดีตผู้
ประสานงานแนวร่วมศิลปินฯ ซึ่งเพื่อนๆ ในแนวร่วมศิลปินตายไปหลายคนที่หน้าหอใหญ่
ธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลา คุณชัชวาลย์ก็ดูเหมือนจะบาดเจ็บ (ถ้าจำไม่ผิด) โดยหมอมิ้งเอง
ก็อยู่ในธรรมศาสตร์ เป็นคนหนึ่งที่เพื่อนๆ แนวร่วมศิลปินสละชีวิตปกป้อง (ผมก็อยู่ในธรรมศาสตร์)
มันคงเขียนเป็นนวนิยายได้ แต่นี่คือชีวิตจริง ชีวิตจริงไม่ใช่เรื่องของการชี้ถูกชี้ผิดกันง่ายๆ เมื่อเวลา
ผ่านไป 30 ปี ว่านี่ดำ นี่ขาว แม้จะเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเพียงไร
ประเด็นที่สี่ ที่หมอมิ้งผิด ก็คือหมอมิ้งสะเทือนใจกับการกระทำของเพื่อนเก่า แต่ไม่ได้มองอีกข้าง
หรือไม่ได้ประณามอีกข้าง ว่ามีการจัดตั้งกันมาทำร้ายคน มีการปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง
เช่นกัน แถมยังเป็นจมูกชมพู่เจ้าเก่า หมอมิ้งมองความผิดผู้นำของตัวเองเบาเกินไป แล้วก็มอง
เห็นแต่อีกฝ่าย ซึ่งมันก็เข้าร่องรอยเดิมๆ ของ 5 ปีที่ผ่านมา คือคนเดือนตุลาในรัฐบาลไม่ได้แสดง
ท่าทีหรือพลังที่เข้มแข็งพอเมื่อเห็นสิ่งที่ผิด เมื่อเห็นพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
และบางคนก็ยังพยายามค้ำจุนอำนาจให้ทั่นอยู่ เช่นใครไม่ทราบ-ต้องถามหมอมิ้ง-ไปเอาคนจาก
อีสานใต้มาชุมนุมที่สวนจตุจักร
อันที่จริงหมอมิ้งก็พยายามมาตลอด เท่าที่ผมทราบ ในช่วงที่เกิดม็อบ พยายามดูแลไม่ให้เกิดความ
รุนแรง แน่นอนหมอมิ้งรู้ดีว่าถ้าเกิดความรุนแรง ทั่นผู้นำอยู่ไม่รอด แต่อีกด้านหนึ่งผมก็เชื่อว่าหมอมิ้ง
ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงด้วยใจจริง
เพียงแต่หมอมิ้งก็ไม่ได้พยายามเพียงพอที่จะแก้ไขต้นตอของความรุนแรงนั้น นั่นคือสถานการณ์ที่
เป็นทางตันทางการเมือง โดยเฉพาะท่าทีของทั่นผู้นำ ที่นอกจากไม่ถอยแล้วยังยั่วยุ
ผมรู้ว่าหลังเกิดวิกฤติ คนเดือนตุลาในรัฐบาลหลายคนก็อึ้ง และไม่ได้เห็นด้วยกับทั่นนัก หลายคน
ไม่ได้ออกมาเถียงแทนบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน มีความพยายามขอร้องให้ทั่นผู้นำเว้นวรรค ตอน
เลือกตั้ง 2 เมษา. แต่พอมาถึงวันนี้ สถานการณ์ย้อนกลับมาใหม่ พวกเขาก็ยังไม่สามารถที่จะแก้
อะไรได้อีก แม้จะมีการแสดงท่าทีบางอย่างจากพินิจ จาตุรนต์
ผมไม่เคยเรียกร้องให้คนเดือนตุลาถอนตัวออกจากรัฐบาลทันที เพราะมองอีกแง่หนึ่ง การโดดหนี
ถีบเรือเซ มันก็คือการเอาตัวรอด ทั้งที่ร่วมตั้งพรรคกันมา เมื่อร่วมกับเขามาก็ต้องแก้ไข ต้องพยายาม
แก้ปมที่จะทำให้เกิด 6 ตุลาครั้งที่ 2 อย่างที่ว่าเพื่อน ต้องพยายามแสดงพลังและท่าทีที่ชัดเจน
ถ้าหมดปัญญาแล้วก็ค่อยว่ากัน
บางคนอย่างหมอมิ้งก็อาจต้องอยู่กับทั่นไปจนเรือล่ม ก็ไม่เป็นไร เลือกทางผิดก็ต้องก้มหน้ารับกรรม
แต่สังคมคนเดือนตุลาก็จะตัดสินกันด้วยพฤติกรรม 30 ปีอย่างผมว่า ดีชั่วแล้วแต่ตัวคน ทัศนะวันนี้
ต่างกันได้ แต่ดูที่ทำเพื่ออะไร
บางครั้งก็ต้องยอมรับนะครับว่า การรักษาอุดมการณ์แบบเป็นผู้นำม็อบเย้วๆ ข้างถนนน่ะมันง่าย
หรือไปทำงาน NGO ในชนบทน่ะมันง่าย แต่ถ้าเข้าไปสู่การเมืองแล้วมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่า
จะเป็นจาตุรนต์ หมอมิ้ง ภูมิธรรม หรือสุทัศน์ ชำนิ คนที่เข้าไปสู่การเมืองก็เปลืองตัวทั้งนั้น
แต่ถามว่าถ้ายังงั้น 30 ปีผ่านไป 50 ปีผ่านไป ก็ยังมายืนเย้วๆ อยู่ข้างถนนเหมือนเดิม
มันจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร
ขอแสดงความนับถือ
ใบตองแห้ง