ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
18-04-2025, 18:17
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  ....พิสูจน์ใจ...พิสูจน์วัย...ลองเข้ากระทู้นี้นะจ๊ะ ....:))) : ))) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
....พิสูจน์ใจ...พิสูจน์วัย...ลองเข้ากระทู้นี้นะจ๊ะ ....:))) : )))  (อ่าน 3474 ครั้ง)
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« เมื่อ: 14-08-2006, 11:34 »

 Smile Smile Smile.....

 แค่ถามว่า ....เพลงนี้ชื่อเพลงอะไร  ใครร้อง.... *****************************

...สายน้ำหลั่งไหล....น้ำใจบุคคล
   ไหลเชี่ยวเลี้ยววน  โอ้.น้ำ..ใจ..คน  ลึกซึ้ง

   ลำห้วยเหวธารท่ามกลางหนองบึ่ง
   ทะเล...ลึกไม่ได้กึ่ง  ลึกซึ้ง...ไม่ถึงน้ำใจ


   น้ำลึกหยั่งได้  น้ำใจยากจริง
   ลึกดัง .. ไหลดิ่ง ยิ่งกว่า...กระแสน้ำไหล

 
  ผู้ที่มีความรักหวัง  คู่ครองจะต้องระวัง
  ระไวใคร่ครวญให้ดี ....

   อุบายเล่ห์กลคนนี้  มากมายมากหลายวิธี
   มีดีและชั่วทั่วไป....


   ....ควรคิดให้ตรอง  แล้วมองให้นาน
   น้ำใจต้องอ่าน  ต้องกะประมาณการไกล

  หากจะรู้ดู..น้ำใจ  ตรวจนิสัยให้แน่นอน
   ก่อนตกลงปลงใจ


   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2006, 11:37 โดย คำตัดพ้อของใบไม้ » บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #1 เมื่อ: 14-08-2006, 11:47 »

อะแน่...อะแน่ะ
ป๋  า  ม่  า  ย  บ  อ  ก Laughing
เดี๋ยวค่อยมาดู
Tongue out

พิสูจน์ใจ? ทำไม ต้องพิสูจน์
เพียงคำพูด ปฏิบัติ ไม่พอหรือ?
ให้ผ่าอก ควักดวงใจ ทำไมฤา
ก็ใจซื่อ อย่างนี้ มีหนึ่งเดียว

พิสูจน์วัย อ๊ะอ๊ะ ทำไมเล่า?
มะพร้าวห้าว มะพร้าวอ่อน อย่าฉุนเฉียว
ใช้กะทิ ต้องเลือก เพียงอย่างเดียว
มัวลดเลี้ยว มาพิสูจน์ บูดพอดี
Laughing Laughing Tongue out
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
ภูพาน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 671


« ตอบ #2 เมื่อ: 14-08-2006, 11:50 »

 "ห้วงน้ำลึก" 
 คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       
บันทึกการเข้า

ขอกันข้าให้ไกลห่างจากคนที่กล่าวว่า "ข้าเป็นดวงเทียนที่นำความสว่างให้หนทางของประชาชน"
หากแต่ผู้ที่แสวงหาหนทางของตนจากแสงแห่งประชาชนนั้น  ขอจงนำข้าเข้าไปใกล้ชิดด้วยเถิด
~ คาลิล ยิบราน
ตะกร้าหวายสีขาว
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 141



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 14-08-2006, 11:52 »

ไม่รู้จริงๆค่ะ เอิ๊กกส์ ... Mr. Green


* 276-x-380.jpg (31.88 KB, 276x380 - ดู 664 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ชีวิตสามารถก้าวไปได้ไกล ... เท่าที่หัวใจมีแรงทะยาน ...
TaGrA ...
... My Blog ...    http://takra.bloggang.com
เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #4 เมื่อ: 14-08-2006, 11:54 »

"ห้วงน้ำลึก" 
 คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       




น้านนนน ว่าแล้วเชียว รุ่นนี้ต้องถาม พี่ภูพาน  Mr. Green
บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #5 เมื่อ: 14-08-2006, 11:54 »

"ห้วงน้ำลึก" 
 คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       





 Smile Smile...ผิดจ๊ะ ...คุณมีสิทธิ์ลองใหม่อีกครั้งนะคะ
บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
ธ.ส.
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,086



« ตอบ #6 เมื่อ: 14-08-2006, 11:56 »

ฮ่าฮ่าฮ่า โชคดีจังที่.....ผมไม่รู้ครับ
บันทึกการเข้า

ปีนี้เราจะได้ Triple Champ

คุณพนันกับผมไม๊ แต่ผมไม่พนันกับคุณนะ
เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #7 เมื่อ: 14-08-2006, 11:57 »

"ห้วงน้ำลึก" 
 คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       



 Smile Smile...ผิดจ๊ะ ...คุณมีสิทธิ์ลองใหม่อีกครั้งนะคะ



อ๊าวววววววววว Laughing  Laughing  Laughing
บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
ThailandReport
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,415


« ตอบ #8 เมื่อ: 14-08-2006, 12:04 »

งง เหมือนกัน แนวคำเพลงที่ใช้ เก่าเหมือนสุนทราภรณ์ ประมาณว่ากลิ่นอายลุงเอื้อ
แต่ถ้าถูกกดดันให้ตอบ

จะตอบว่า...เพลงแต่งโดยหัวใจของใครคนหนึ่ง
ใช่เพียงแต่คำร้อง ทั้งทำนอง....ก็ชื่อทำนอง คำตัดพ้อของใบไม้ครับ

 Embarassed Tongue out Wink
บันทึกการเข้า

The only thing necessary for the triump of evil is for good men to do nothing !!
สิ่งเดียวที่จะทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ นั่นคือการที่ คนดีๆนิ่งดูดาย !
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #9 เมื่อ: 14-08-2006, 12:14 »

"ห้วงน้ำลึก" 
 คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       



 Smile Smile...ผิดจ๊ะ ...คุณมีสิทธิ์ลองใหม่อีกครั้งนะคะ



อ๊าวววววววววว Laughing  Laughing  Laughing
ป๋นทนไม่ได้แว้วววววว

ผู้ขับร้อง : มัณฑนา โมรากุล 

เกร็ดเพลง
© บันทึกเสียงครั้งที่สองโดยคุณรุ่งฤดี แพ่งผ่องใส 

 
© ศรวณี โพธิเทศ บันทึกเสียงอีกครั้ง 

 
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
ธ.ส.
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,086



« ตอบ #10 เมื่อ: 14-08-2006, 12:19 »

ฮ่าฮ่าฮ่า ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว
บันทึกการเข้า

ปีนี้เราจะได้ Triple Champ

คุณพนันกับผมไม๊ แต่ผมไม่พนันกับคุณนะ
เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #11 เมื่อ: 14-08-2006, 12:26 »



พี่ภูพานตอบถูกแล้วนี่นาาาาาาาา งง Rolling Eyes  Rolling Eyes
บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #12 เมื่อ: 14-08-2006, 12:28 »

ห้วงน้ำลึก 
บ้านคนรักสุนทราภรณ์ www.websuntaraporn.com
     คำร้อง เอิบ ประไพเพลงผสม
 ทำนอง เวส สุนทรจามร       
 
 
สายน้ำหลั่งไหลน้ำใจบุคคล
ไหลเชี่ยวเลี้ยววน โธ่น้ำใจคนลึกซึ้ง
ลำห้วยเหวธารถ้ำคลองหนองบึง
ทะเลลึกไม่ได้กึ่ง ลึกซึ้งไม่ถึงน้ำใจ
น้ำลึกหยั่งได้ น้ำใจยากจริง
ลึกด่ำไหลดิ่งยิ่งกว่ากระแสน้ำไหล
ยากจะรู้ดูน้ำใจ
เหตุไฉนลึกยิ่งกว่าแม่คงคาวารี
บ้านคนรักสุนทราภรณ์ websuntaraporn.com
* ผู้ที่มีความรักหวัง
คู่ครองจะต้องระวังระไวใคร่ครวญให้ดี
อุบายเล่ห์กลคนนี้
มากมายหลายวิธี มีดีมีชั่วทั่วไป
ควรนึกตรึกตรองแล้วมองให้นาน
น้ำใจต้องอ่านควรกะประมาณกาลไกล
อย่าเมารักมักตามใจ
ตรวจนิสัยให้แน่นอน ก่อนตกลงปลงใจ
บ้านคนรักสุนทราภรณ์ websuntaraporn.com
(ซ้ำ *)
 

บ้านคนรักสุนทราภรณ์ www.websuntaraporn.com
.................................................... 
เอื้อเฟื้อโดย... นิมิตฯ
© แจ้งแก้ไขคำผิดหรือเพิ่มเติมข้อมูลของบทเพลงนี้ได้ที่ กังหันลม หรือนิมิตสวรรค์ 

 
ผู้ขับร้อง : มัณฑนา โมรากุล 
บันทึกการเข้า

คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #13 เมื่อ: 14-08-2006, 17:00 »

จ๊ะ....เก่งมากคุณภูพาน  ตอบถูกแล้ว  โอเค
ตอนแรกไม่เห็นเนื้อร้อง  นึกว่าคุณ อำ....






















































































































































































































































































































































































































บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
คำตัดพ้อของใบไม้
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,032


ทุกคนคือเพื่อน ...แม้โจรก็เป็นเพื่อนเราได้


« ตอบ #14 เมื่อ: 14-08-2006, 17:03 »

  ...อันนี้เค้าคงเอามาทำใหม่  เพลงเดิมจริงๆ
ร้องโดย  พรานบูรณ์  ค่ะ  ไม่ทราบรู้จักหรือไม่




























































































บันทึกการเข้า

....พูดดี  ทำดี  คิดดี ...ทุกวินาที
คิดได้อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #15 เมื่อ: 14-08-2006, 17:50 »

สายธารน้ำหมึก

ณรงค์ จันทร์เรือง

โกรธเป็นยังไง?

"ไอ้เรื่องโกรธง่ายน่ะแก้ไม่ยากหรอก เวลาเราโกรธใคร เกลียดใคร ให้รีบไปยืนมองหน้าตัวเองในกระจกซี่ แล้วจะเห็นว่าไม่มีเวลาไหนที่หน้าตาเราแสนจะทุเรศ น่าเกลียดน่าชังเท่าเวลานี้อีกแล้ว"

ในแวดวงบันเทิง หรือเอาให้แคบเข้ามาในวงน้ำหมึกน่ะ ไม่ว่าใครๆ ก็ย่อมซึมซาบเป็นอันดีว่าใครพูด? แถมทำตัวเป็นแบบอย่างตั้งแต่ต้นจนถึงวันลาลับอีกต่างหาก

สง่า อรัมภีร หรือ "ลุงแจ๋ว" ของคนคราวลูกคราวหลานนั่นแล

คนที่เรียก "พี่แจ๋ว" "อาแจ๋ว" เหลือน้อยเต็มทีแล้วนะครับ ยิ่งคนที่เรียก "แจ๋ว" เฉยๆ นี่ดูเหมือนจะล่วงลับไปหมดแล้ว เช่น เสด็จพระองค์ชายใหญ่, ชายกลาง และชายเล็ก รวมทั้งบรมครู "พรานบูรพ์" อีกคน

ผมรู้จักลุงแจ๋วมาราว 40 ปี รักใคร่นับถือเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ แม้ว่าลุงแจ๋วจะอำลาไปเล่นแอ๊คคอเดี้ยนให้เทวดาฟังมาตั้งแต่ปี 2542 แล้วก็เถอะเอ้า!

"น้ำตาแสงไต้", "ทาษเทวี", "เรือนแพ", "ดวงใจ", เมื่อวานนี้" กับอีกนับร้อยนับพันเพลงที่ลุงแจ๋วแต่งขึ้นมา (ได้ยังไงก็ไม่รู้) น่ะขอข้ามไปดีกว่า ใครๆ ที่ไหนก็มักจะ "รู้แล้ว" ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะรู้มากรู้น้อยยังไงก็ถือซะว่า "รู้แล้ว" ละกัน

เอาเรื่องที่ไม่ค่อยจะรู้มาเล่าสู่กันฟังดีกว่าน่า

ลุงแจ๋วคงจะเกิดมาพร้อมกับรอยยิ้ม ล่วงลับไปด้วยรอยยิ้มเหมือนตอนเกิดมา ระหว่างนั้นก็เคยเห็นแต่ลุงแจ๋วยิ้มเปื้อนหน้า ตาใสแจ๋วสมชื่อ ตั้งแต่รู้จักมักคุ้นหลายสิบปี ยังไม่เคยเห็นลุงแจ๋วโกรธเคืองหรือโมโหโทโสใครเลยซักคนเดียว อย่างว่าไม่ยิ้มก็ทำหน้าเรียบๆ เฉยๆ แบบที่ "พร้อมจะยิ้ม" ได้ตลอดเวลา

เคยถามว่าเคยโกรธเกรี้ยวกับใครมั่งไหมครับ? ลุงแจ๋วกะพริบตางุนงงราวกับจะนึกคิดอยู่ฉุกละหุกว่าไอ้คำที่ว่านั่นน่ะ มันมีหน้าตาเป็นไฉนเล่าหนอ?

"โกรธหรือหนู? เอ...จำไม่ได้จริงๆ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยโกรธใครมั่ง คงจะมีมั่งละน่า...ช่างมันเหอะ! ขอลุง "เชียง" อีกที"

คราวนี้ทั้ง "เชียง" ทั้งหัวเราะกันขำกลิ้งไป!



สง่า อารัมภีร เรียกผมว่า "หนู" เรียกตัวเองว่า "ลุง" ตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ แล้ว เมื่อแนะนำลูกชายสองคนให้รู้จัก ลุงแจ๋วก็ตั้งชื่อให้ว่า "ไอ้โอ่งกับไอ้อ่าง" ระยะหลังๆ เห็นหน้ากัน ยกมือไหว้กับรับไหว้ แถม "เชียง" กันเรียบร้อยสบายใจดี ลุงแจ๋วก็จะถามติดปากเป็นประจำ

"ไอ้โอ่งกับไอ้อ่างเป็นไงมั่ง?" จนถึง "ตอนนี้ไอ้โอ่งกับไอ้อ่างคงโตมากแล้วซี กินเหล้ากับพ่อได้หรือยัง?"

ว่าแต่ "เชียง" คืออะไร? "เชียง" กันไปทำไม?

อารมณ์ขันของผู้ชายสมัยกึ่งพุทธกาลนะครับ เห็นหน้ากันก็ต้องแต๊ะอั๋งหรือแตะต้องของสำคัญกันนิดๆ หน่อยๆ เพื่อแสดงความสนิทสนม, รักใคร่ ไปจนถึงเคารพนับถือ

ลุงแจ๋วบอกว่า "เชียง" มีคำเต็มๆ ว่า "กุนเชียง"

คุณผู้หญิงหมดสิทธิ์เล่น เพราะไม่มีอุปกรณ์ประจำกายให้เล่น จะไปเที่ยว "เชียง" ของใครก็ไม่ได้เพราะตัวเองไม่มี "เชียง" ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้แตะต้องเป็นการตอบแทน

ถึงผู้ชายกับผู้ชายก็เถอะน่า ไม่ใช่ว่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปเที่ยว "เชียง" ใครง่ายๆ ได้เสียที่ไหนเล่า? เดี๋ยวโดนด่าว่าทะลึ่งไปถึงฟ้า ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมไปเลย

คนจะ "เชียง" กันได้ต้องสนิทสนมรักใคร่กันจริงๆ อายุอานามรุ่นไล่ๆ กัน ถ้าเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ก็ต้องให้ผู้ใหญ่ "เชียง" ก่อน ถึงจะ "เชียง" ตอบท่านได้ ส่วนมากต้องยอมให้ท่านเล่น "เชียง" ข้างเดียวไปดีกว่า ตัวเองคอยทำท่าหลบให้ดีๆ ก็พอแล้ว

ลุงแจ๋ว "เชียง" ผมนิด ผมก็ "เชียง" ลุงแจ๋วซะหน่อย พอหอมปากหอมคอในฐานะคนรักกันชอบกัน

สมัย 35 ปีก่อนน่ะ มีคนเล่น "เชียง" กับผมแค่ 2 คน คือลุงแจ๋วกับเสด็จพระองค์ชายกลาง (พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร) หรือผู้คนในแวดวงบันเทิงเรียกขานว่า "องค์ชายกลาง" นั่นแหละครับ

กับลุงแจ๋วน่ะถือว่า "เราเล่นด้วยกัน" แต่กับ "ชายกลาง" นี่ผมไม่กล้าแฮะ ยกมือไหว้ท่านก็ "เชียง" หมับ แถมยิ้มร่าเป็นการรับไหว้ ผมก็ได้แต่ทำท่าจะ "เชียง" ท่านมั่งพอให้ท่านปัดป้อง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก แต่ไม่กล้าแตะต้องอะไรของท่านซักครั้งเดียว...สาบาน!

พระองค์ชายกลางน่ะถือว่าเป็น "ขวัญใจศิลปิน" นะครับ ไม่ว่านักแสดง นักร้อง นักเขียน ล้วนแต่เคารพนับถือท่านทั้งนั้นแหละ น้ำพระทัยกว้างขวางปานมหาสมุทร มีอะไรช่วยเหลือได้ขอให้บอกทันที

คลุกคลีกับศิลปินน้อยใหญ่สนิทสนม ชนิดพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เคยมีการถือพระองค์เลย!

ฉลองพระองค์คือกางเกงขายาว เสื้อแขนสั้นปล่อยชาย ตอนตั้งชมรมนักเขียนเมื่อปี 2512 เพื่อจะก่อตั้งสมาคมนักเขียนฯ (ปี 2514) พระองค์ชายกลางก็มาร่วมประชุมบ้าง ไปหาอะไรกินกันต่อบ้าง...รายการหลังนี้เป็นที่รู้กันว่าใครไม่ต้องมาทำท่าเป็น "เสือปืนเร็ว" เด็ดขาด "ชายกลางไม่ทรงโปรดว่ะ"

ช่วงหนึ่ง ผมบังเอิญได้พบท่านกับลุงแจ๋วบ่อยๆ บางทีก็แทบเป็นคืนเว้นสองคืนด้วยซ้ำ "เชียง" กันพอหอมปากหอมคอแล้วก็เข้าคลับ เข้าภัตตาคารทันใด

ไม่ว่าแสงไฟจะส่องสลัวหรือสว่างไสว ใครเห็นก็ไม่รู้จักโต๊ะเราหรอกครับ นอกจากระดับผู้จัดการหรือเจ้าของสถานบันเทิงจะมาเคารพนบไหว้พระองค์ชายกลางกับลุงแจ๋ว...สำหรับลุงแจ๋วอาจจะเคยเห็นหน้าในทีวีบ่อยๆ แต่ "ชายกลาง" น่ะคนส่วนมากคงนึกว่าเป็นเสี่ยจากต่างจังหวัดเพิ่งมาเที่ยวเมืองกรุงซะละมั้ง?

หารู้ไม่ว่า นี่แหละนักเที่ยวกรุงเทพฯ ราตรีระดับตัวจริงเสียงจริงมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่นแน่ะ!

คืนหนึ่ง ออกจากร้าน "ศกุลตลา" ของ "รพีพร" คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปหมด "เสด็จฯ" ท่านเหลียวหาใครก็ไม่มี บ่นถึง "แจ๋วเข้าแถว" (บาลีผวน 2 ชั้น) หมายถึงลุงแจ๋วที่ไม่ได้มาด้วย แล้วหันมารับสั่งกับผมว่า...คุณว่างไหมล่ะ? ไปหาเหล้ากินต่อกันเถอะ

ผมก็...กระหม่อมว่างพ่ะย่ะค่ะ! พอเมาได้ที่นึกอะไรไม่ออก เอาผม, ครับ, ท่าน...ตามสะดวกปากคอ เสด็จฯ ท่านก็ไม่ทรงถือสาหาความเยาวชนประการใด

ไปดื่มดวดกันต่อที่พาวิลเลียน ประตูน้ำ ผมก็เรียกท่านว่าฝ่าบาทมั่ง ท่านมั่ง เสด็จฯ ท่านคงนึกขำ ยิ้มแย้มจนถึงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก...ตอนจบหวิดเกิดเรื่องเข้าจนได้ซีน่า

พระองค์ชายกลางจ่ายเงินเสร็จเสด็จกลับ เดินดุ่มๆ ไม่ได้มีท่าทางหรือวางมาดเจ้านายอะไร ผมเดินตามเยื้องๆ ก็พอดีได้เห็นหนุ่มใหญ่แต่งสูทโผล่เข้ามา ชะงักกึกเมื่อเห็นหน้าองค์ชายกลาง จู่ๆ ก็คุกเข่าลงกราบพระบาททำท่าเหมือนจะซบนิ่งอยู่ตรงนั้นเอง

"อ๋าย...ใหญ่โตมาจากไหนกันวะ? ขนาดเจ้าของยังต้องก้มกราบ"

ผมหันขวับไปเห็นเสี่ยกร่างตี๋ซ่าโต๊ะใหญ่ หน้าตาแดงก่ำบ่งบอกอาการว่าคงจะพูดจาภาษาคนกันลำบาก พอดีได้ยินเสียง "ชายกลาง" ท่านเรียกชื่อ ท่านเองก็กำลังประคองไหล่คนที่อยู่ข้างหน้าขึ้นมา

"เออ...ขอบใจๆ กำลังจะกลับพอดี...ณรงค์กลับ"

ก่อนจะลับตายังเห็นหนุ่มใหญ่ใส่สูทนั่นปราดไปที่โต๊ะคนปากคัน...อะไรจะอุบัติขึ้นมั่งไม่รู้จริงๆ ครับ พับผ่า!

เดี๋ยวก็ลืม "แจ๋วเข้าแถว" เอ๊ย! สง่า อารัมภีร ไปจนได้



เคยเล่าไว้ว่า "พรานบูรพ์" ชอบอำชอบแซวลุงแจ๋วซะรุ่ม ข้างลุงแจ๋วก็เอาแต่ยิ้มแก้มโป่งลูกเดียว ไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะขุ่นเคือง น้อยอกน้อยใจอะไรเลยซักครั้ง

นอกจากจะใจเย็นเหมือนน้ำในโอ่งแล้ว เรื่องนี้คงจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรมั่งละน่า...แล้วก็จริงซะด้วยซี!

ลุงแจ๋วเล่าว่า สมัยริอ่านจะเป็นนักดนตรีตั้งแต่เป็นพลทหาร เป่าปี่ตีกลองได้สารพัด จนวิญญาณนักเพลงเข้าสิง อาศัยศึกษาวิชาดนตรีการแบบครูพักลักจำ จากการฟังเพลงประกอบละครของ "พรานบูรพ์" มั่ง หลวงวิจิตรวาทการ มั่ง ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) มั่ง

"จะบอกให้นะ หนู...ลุงนับถือฝีมืออาจวงมากที่สุด ทั้งแต่งเรื่อง เขียนบทละคร ทั้งแต่งเพลงประกอบละครได้หมด ที่ดังๆ นอกจาก "จันทร์เจ้าขา" แล้วยังมี "ขวัญเรียม" "เคียงเรียม" อ้อ! "สุดที่รัก" อีกเรื่องหนึ่ง"

"เอ๊ะ! เพลงนี้ผมจำได้ว่าพี่เทพ (สุเทพ วงศ์กำแหง) ร้องตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แน่ะ แล้วลุงแจ๋วเป็นคนแต่งเพลงนี้เองนี่นา ผมยังสงสัยว่าทำไมอาจวงไม่แต่งเอง"

เรื่องราวทำท่าว่าจะสับสนเล็กน้อย ลุงแจ๋วจิบเหล้าซะหน่อย ก่อนจะเล่าเรื่องซับซ้อนให้แจ่มกระจ่าง

"พรานบูรพ์" เป็นทั้งเจ้าของคณะละครร้อง รวมทั้งเขียนบท เขียนเพลง กำกับการแสดง แถมนางเอกคือ "ป้าศรี" ภรรยาของท่านนั่นปะไร แต่เมื่อ คุณมานิต วสุวัต เจ้าของ "ศรีกรุง" จะนำเรื่อง "สุดที่รัก" มาสร้างเป็นภาพยนตร์ "พรานบูรพ์" ก็เขียนบทให้ แต่เรื่องเพลงไตเติลต้องเดิ้นๆ หน่อย เพราะเป็นเพลงเอกประจำเรื่องอีกต่างหาก

ศิษย์กับครูจู๋จี๋กันไฟแลบเชียว งานนี้...เอ๊ย! เพลงนี้น่ะ

"แจ๋ว ช่วยแต่งเพลง "สุดที่รัก" ให้หน่อย ศรีกรุงเขามาซื้อไปทำหนัง"

"อ้าว? ทำไมอาจวงไม่แต่งเองล่ะครับ?"

"ก็ผมเป็นคนเขียนเรื่องเขียนบทให้แล้วนี่นา เอ้า...นึ่พล็อตเรื่อง! เอาไปอ่านซะก่อน" บรมครูละครร้องยิ้มกริ่มเชียว "เพลงนี้ก็แต่งเหมือนกับเพลงที่แจ๋วแต่งเกี้ยวแต่งชม "อู๊ด" สมัยก่อนน่ะแหละน่า"

"แหม! เพลงที่แต่งเกี้ยว เอ๊ย! แต่งให้อู๊ดน่ะมีตั้งหลายเพลงแล้วนี่ครับ"

"เออน่า...จะแต่งอีกซักเพลงสองเพลงก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา"

เอ๊าะอ๋อ...เยาวชนเพิ่งมาถึงบางอ้อ พร้อมกับแว่วเสียง "ขยี้แพรในฟองเบียร์" ("รงค์ วงษ์สวรรค เป็นผู้ตั้งฉายานี้) ของ สุเทพ วงศ์กำแหง ไปพร้อมๆ กัน

"สุดที่รักเอย คำนี้ผมเพิ่งเคย จะเอ่ยกับคุณ โปรดได้เห็นใจการุญ เพราะรักคุณ ท่วมท้นอุรา..." จนถึง "เพื่อคุณผมจึงมอบให้ ทั้งกายและวิญญาณรักที่ซื่อตรง กับคุณผมจึงสยบ เพราะพบกุลสตรีที่ดีเช่นคุณ"

อ้อ! "อู๊ด" ที่เอ่ยถึงน่ะหมายถึงคุณป้าวิภา อารัมภีร ภรรยาลุงแจ๋วคนแรกคนเดียว และคนสุดท้ายนะครับ

ขออ้อ! อีกทีเถอะน่า ลุงแจ๋วกับพี่เทพน่ะสนิทสนมกันมานมนานกาเล เห็นหน้ากันเมื่อไหร่ต้อง "เชียง" กันซะเล็กน้อยเมื่อนั้น รวมทั้งใครๆ อีกหลายคนที่เคยเล่นเชียงกันมานานกาเล...ตอนนี้คงจะเหงามือเหงาใจไปตามๆ กัน



วันหนึ่ง ลุงแจ๋วผู้ถือคติ "โกรธเคืองกันทำไม รักกันไว้ดีกว่า" ก็ต้องตกอยู่ในเหตุการณ์อกสั่นขวัญระทึกเพราะความโกรธเกรี้ยวปานไฟไหม้ฟ้าของ "พรานบูรพ์"

วงเหล้าวันพุธของ "ฟ้าเมืองไทย" เพิ่งยกโขยงจากซอยสุขา 2 ถนนเฟื่องนครมาที่ร้านหัวมุมสี่กั๊กเสาชิงช้า ชื่อร้าน ส.หญิงไทย

ต้มเนื้อกับแกงเผ็ดเข้มข้นแบบน้ำน้อย แทบจะกลายเป็นผัดเผ็ด แต่ถูกปากถูกลิ้นคอเหล้าเหลือกำลัง สำนวน "อรวรรณ" ก็ต้องบอกว่า "เหล้ากำลังเดินสะดวก" นักเขียนรุ่นลูกรุ่นหลานกำลังอยากรู้เรื่องความบันเทิงสมัยหลังสงครามกันทั้งนั้นแหละ

คนนั้นก็...ละครร้องนี่เป็นยังไงครับ อาจวง? เหมือนลิเกหรือเปล่า?

คนนี้ก็...ลุงแจ๋วคิดได้ไงครับ "ฉันคิดถึงเธอตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง" น่ะ?

ทั้งอาจวงทั้งลุงแจ๋วยังไม่ทันจะตอบ "น้าลิขิต" พ.ต.ท.ลิขิต วัฒนปกรณ์ (เดิมชื่อมะลิ) ตอนนั้นเป็นสารวัตรใหญ่สามเสน นักเขียนเรื่องสั้น "ร้อยเวร" กับ "ร้อยกรรม" กำลังดัง...อุปนิสัยร่าเริงตลอดศก ใจดี ขี้เล่น ชอบยิ้มฟันขาวตัดกับหน้าดำๆ อยู่เป็นประจำ

ข้อสำคัญคือ ช่างพูดช่างคุยจ๋อยๆ เป็นต่อยหอย จะให้นั่งอมปากอยู่เฉยๆ ก็เห็นจะผิดที "น้าลิ" ของผมเลยกระแอมกระไอให้คอโล่ง รีบเล่าเรื่องกลับไปเยี่ยมแม่ที่แปดริ้วขึ้นมาทันใด

"วันเสาร์วันอาทิตย์ผมไปหาแม่ นอนหนุนตักแม่ เล่นนมแม่เหมือนตอนเป็นเด็กๆ นมแม่ผมยานน่ารัก ทั้งนิ่มทั้งเย็นจนผมเพลิดเพลินแทบจะหลับคาตักแม่แน่ะ...โอ๊ย! มีความสุขอย่าบอกใครเชียว ฮ่าๆๆ"

ทุกคนเงียบกริบ อั้น สัตหีบ เมินไปมองจิ้งจกไล่กัดกันที่ข้างฝา แถมยิ้มเยาะเทวดาฟ้าดินอีกต่างหาก!

น้าลิขิตเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี น่าคบหาสมาคม เสียที่ปากไวไปหน่อยเท่านั้นแหละ ยอมรับว่าตัวเองเป็นคน "ขวานผ่าซาก" คิดยังไงพูดยังงั้น...พุธก่อนโผล่เข้ามาส่งต้นฉบับ รับเงิน บังเอิญเหลือบเห็น อั้น สัตหีบ น้องใหม่ไฟแรงกำลังปั่น "เซลส์แมนเมืองหลวง" ยิกๆ เล่นเอาคุณน้าหัวเราะร่า ป่าวร้องให้ได้ยินทั่วๆ กันทั้งโรงพิมพ์

"โอ้โฮ! นักเขียนใหญ่ งานล้นมือจนเขียนที่บ้านไม่ทัน ต้องมานั่งปั่นต้นฉบับที่โรงพิมพ์เลยแน่ะ! ฮ่าๆๆ"

อั้น สัตหีบ แทบอกระเบิด ผมต้องปลอบโยนกึ่งแนะนำว่า ผมเองก็เคยโม่ต้นฉบับไม่ทันเหมือนกัน แต่ใช้วิธีเข้าไปเขียนในร้านกาแฟห่างๆ โรงพิมพ์หน่อย ใครไม่พูดก็แล้วไป แต่ถ้าใครสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมเป็นตัวเขียน ก็บอกว่าพิมพ์ดีดเสีย! หรือจะเล่นมุขก็ยังได้...ไปขอใช้พิมพ์ดีดในโรงจำนำแล้ว แต่หลงจู๊มันไม่ยอม (ว่ะ)

"ทีหน้าทีหลังจำไว้เป็นบทเรียน อย่ามาเขียนที่โรงพิมพ์อีกละกัน!"

น้าลิขิตช่างพูดนี่ครับ กระจ้อเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น กระโดดไปเรื่องโน้น ลุงแจ๋วใจเย็นเป็นสุขอยู่แล้ว แต่อาจวงชักมีไฟอารมณ์ปะทุหน่อยๆ พอน้าลิขิตคอแห้งหยิบแก้วเหล่าขึ้นซด บรมครูผู้อาวุโสสูงสุดในโต๊ะก็สบโอกาสตบแดงลงหลุมทันที

"คุณลิขิตนี่พูดจาเหมือนลิงขึ้นต้นไม้นะ!"

ฮาครืนทั้งโต๊ะ แต่คุณน้าหวิดสำลักเหล้า ถามว่าเหมือนยังไงครับอาจวง?

"อ้าว? ทำไมจะไม่เหมือน" ร่างเล็กๆ ดูบอบบางของบรมครูวัย 70 ต้นๆ ราวจะตระหง่านปานขุนเขา "ลิงขึ้นต้นไม้น่ะมันยอมลงง่ายๆ ซะที่ไหน! จากกิ่งนี้ไปกิ่งนั้น จากต้นนี้ไปต้นโน้นไม่มีหยุดหย่อน ผมถึงเปรียบว่าคุณพูดเหมือนลิงขึ้นต้นไม้! จริงมั้ย?"

อาจวงตบดำลงหลุม...ได้หัวเราะกันอีกรอบ น้าลิขิตยังยิ้มฟันขาว จนย้ายสถานีไปต่อกันที่มูแรงรูซไนต์คลับ หัวมุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไพบูลย์ ลีสุวัฒน์ (ตุ๋ย ยังวันส์) เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นั่น กับพี่อาจินต์, พี่รัตนะ, พี่นพพร นี่ถือว่าเป็นเพื่อนฝูงรุ่นพี่ทั้งนั้น

กลียุคพลันอุบัติขึ้นหน้าประตูมูแรงรูซนั่นเอง!

ไม่รู้ว่าน้าลิขิตจะ "เอาคืน" หรือเพราะนิสัยขี้เล่นก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ คือพอลงจากรถ ร่างเล็กบอบบางของ "พรานบูรพ์" ก็โดนน้าลิขิตช้อนขึ้นมาโอบอุ้ม ต้นคอกับขาพับพาดแขนสองข้างแบบอุ้มเด็กทารก เดินเทิ่งๆ ยิ้มฟันขาวไปที่ประตู บอก "ดอร์แมน" ที่ยืนตะลึงด้วยเสียงหัวเราะร่า...คืนนี้พาลูกมาเที่ยวไนต์คลับว่ะ

ว่าแล้วก็โอบอุ้ม "พรานแห่งบูรพา" ไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อย ร่างเล็กๆ สั่นเทิ้มด้วยฤทธิ์โทสะปานไฟไหม้ฟ้า อึกๆ อักๆ ก่อนจะด่าขรม...น้าลิขิตหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเดินไขหูไปห้องน้ำตั้งแต่วาง "พรานบูรพ์" เรียบร้อยแล้ว สง่า อารัมภีร นั่งใกล้ๆ ก็เอียงหน้าไปปลอบใจครูบาอาจารย์

"ใจเย็นๆ ครับ อาจวง จะเสียเวลาโกรธเคืองกันไปทำไม เชื่อแจ๋วเถอะ! รักกันไว้ดีกว่า ราตรียังเยาว์นัก...นะอาจวงนะ"

ไฟไหม้ฟ้าคืนนั้นจึงค่อยๆ สงบลง น้าลิขิตกลับมายิ้มฟันขาว ตุ๋ย ยังวันส์ เข้ามาวันทาท่านผู้อาวุโส...เพราะลุงแจ๋วปลอบประโลมแท้ๆ ถึงได้ไม่บังเกิดกลียุคน่ะ! จนถึงเวลาแยกย้ายกันกลับ ลุงแจ๋วก็ขับรถม้าลายไปส่งอาจวงถึงบ้านตามเคย...

"จำใจข่ม...ใจไปจากนวล..."
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #16 เมื่อ: 14-08-2006, 17:51 »

เพลงจงรัก เป็นเพลงไทยสากลที่จัดว่าดังมากเพลงหนึ่ง เมื่อสักยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา ร้องอัดแผ่นเสียงครั้งแรกโดยคุณสุเทพ วงค์กำแหง แต่งโดยครูจงรัก จันทร์คณา ซึ่งเป็นบุตรของ บรมครู พรานบูรพ์ หรือที่มีชื่อจริง ว่า จวงจันทร์ จันทร์คณา ครูจงรักฯ เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น บิดา เป็นนักแต่งเพลงชื่อก้อง ในอดีต บุตรชาย ก็เป็นนักแต่งเพลงที่มีความสามารถไม่แพ้กัน หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ท่านบรมครูพรานบูรพ์ แต่งเพลงใดไว้บ้าง ผมก็อยากจะนำมาบอกเล่าสักเล็กน้อยดังนี้ เพลงที่ท่านแต่งมีเพลง ขวัญของเรียม เพลง จันทร์เจ้าขา เพลงคิดจะปลูกต้นรักสักกอ เพลงเคียงเรียม ฯลฯ
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #17 เมื่อ: 14-08-2006, 17:53 »







http://www.siamsong.net/Writing/writer.htm
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #18 เมื่อ: 14-08-2006, 17:56 »

ปีที่ 56 ฉบับที่ 17198 วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2548

 ไปดู...หุ่นขี้ผึ้งไทย

ก่อนปีใหม่เล็กน้อย...มีข่าวเล็กๆ ในหน้าบันเทิง ของหนังสือพิมพ์ บางฉบับว่า ได้ มีการปั้น หุ่นขี้ผึ้งใหม่ขึ้นชุดหนึ่ง ที่พิพิธภัณฑ์ หุ่นขี้ผึ้งไทย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

ได้แก่ หุ่นของครู “เอื้อ สุนทรสนาน” ครู “ไพบูลย์ บุตรขัน” และบรมครู “พรานบูรพ์” ที่แฟนเพลงรุ่นเดอะทั้งหลายรู้จักดี

ช่วงนั้นทีมงานซอกแซกไม่มีเวลาว่างเลย... ก็ได้แต่ขึ้นกระดานเอาไว้ว่า คงจะต้องหาโอกาสแวะไปเยี่ยมชมในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า

นอกจากจะไปดูหุ่นของ 3 ครูเพลงที่ว่านี้แล้ว ยังจะถือโอกาสดูอย่างอื่นๆไปด้วย เพราะเท่าที่จำความได้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดมาสิบกว่าปีแล้ว การที่ยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงบัดนี้ น่าจะมีอะไรดีๆอยู่พอสมควร

ได้ฤกษ์เมื่อปลายสัปดาห์นี้เอง หัวหน้าทีมซอกแซกมีคิวว่างอยู่ 2 ชั่วโมงตอนบ่ายๆ...ตัดสินใจ เรียกรถของโรงพิมพ์ห้อเหยียดไปลุยเองทันที

จากถนนวิภาวดีรังสิต ไปเกือบสุดถนนปิ่น เกล้า-นครชัยศรี (เลยพุทธมณฑลไปพักใหญ่ๆ) ความจริงอยู่คนละทิศคนละทาง ดูเผินๆไม่น่าจะไปและกลับได้ภายใน 2 ชั่วโมง

แต่ด้วยทางด่วน ด้วยสะพานพระราม 8 และถนนคู่ขนานบรมราชชนนี ผมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากเลขที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต ไปถึงพิพิธภัณฑ์ หุ่นขี้ผึ้งไทย เลขที่ 43/2 หมู่ 1 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี กม.31 ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ผมเคยแวะไปเยี่ยมเยียนที่นี่มาหนหนึ่งแล้ว เมื่อตอนเปิดใหม่ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเก็บมาเขียนให้หรือไม่

ไปเที่ยวนี้พอเห็นข้อความโฆษณาแถวๆห้องขายตั๋ว ก็รู้สึกสะดุ้งเมื่อเขาบอกว่า ปีนี้เป็นปีที่ 15 ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว

ตั้ง 15 ปี เชียวหรือนี่?...ผมยังนึกว่าผมเพิ่งแวะไปดูเมื่อเร็วๆนี้เอง

เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา มีรถทัวร์จอดอยู่ 2 คัน และรถเก๋งจอดอยู่ 4-5 คัน เห็นแล้วก็รู้สึกค่อยยังชั่ว... จำได้ว่าข้างในห้องที่เคยมาคราวก่อนค่อนข้างมืดสลัว หากไม่มีคนเดินเป็นเพื่อนเลยละก็จะรู้สึกวังเวง อย่าบอกใครเชียว

เผลอๆ จะนึกว่าเราเดินอยู่ในละครโทรทัศน์ เรื่อง “ห้องหุ่น” เวอร์ชั่นเก่า ที่ดูแล้วน่ากลัว ไม่ใช่ เฮฮาแบบห้องหุ่นยุคนี้

ปรากฏว่า กลุ่มที่เข้าไปก่อนหน้าผมเป็นนักเรียนจากต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง เกือบร้อยคนเห็นจะได้ ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น...ต่อให้มืดแค่ไหนก็ไม่น่ากลัวเท่าไรแล้วครับ

ชั้นล่างสุด และจุดแรกสุด เป็นห้องแสดงหุ่นพระคุณเจ้า และเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ

เกือบทั้งหมดปั้นขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน และยังดูดี (หลายคนบอกว่าเหมือนมาก) อยู่จนถึงทุกวันนี้

สำหรับที่ห้องโถงใหญ่ เป็นพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 8 ซึ่งก็เป็นชุดแรกๆเช่นเดียวกัน

ด้านหลังห้องโถง มีห้องขนาดกลางๆที่ใช้สำหรับแสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมด้วยพระรูปขี้ผึ้งของพระองค์ท่าน

ขึ้นไปชั้น 2 จะมีหุ่นชุดประวัติศาสตร์ไทย สมัยรัชกาลที่ 5 กับการเลิกทาส และหุ่นชุดวรรณคดีไทย เรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่

รวมทั้งมีหุ่นท่านสุนทรภู่ด้วยครับ...จะเหมือนตัวจริงหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะเข้าใจว่าคงไม่มีใครเคยเห็น รูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของท่านว่าเป็นอย่างไร

ที่ชั้น 2 นี่เอง ที่มีการปั้นหุ่นบุคคลขึ้นมาใหม่ อีก 6 ท่านด้วยกัน เริ่มจากบุคคลในระดับโลก 3 ท่าน ได้แก่ ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐฯ มหาตมะ คานธี แห่งอินเดีย และเซอร์-วินสตัน เชอร์ชิลล์ ของอังกฤษ

อีก 3 ท่านก็คือ ครูเพลงของไทยเราอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละครับ

ผมไม่เคยเห็น “พรานบูรพ์” และไม่เคยเห็นตัวจริงของ ไพบูลย์ บุตรขัน จึงบอกไม่ถูกว่าเหมือนหรือไม่

แต่สำหรับครูเอื้อ หรือ สุนทราภรณ์ นั้น ผมเคยเห็นใกล้ๆ 2-3 ครั้ง สมัยที่ท่านยกวงมาแสดง ในรายการบอลต่างๆที่เวทีลีลาศลุมพินี และผมเคยเป็นบ๋อยถือถาดนํ้าไปเสิร์ฟท่านอย่างใกล้ชิดในยุคโน้น

คิดว่ามีส่วนคล้ายตัวจริงพอสมควรครับ

เผอิญผมมีภาพถ่ายหุ่นขี้ผึ้งของครูเอื้ออยู่ด้วย ขออนุญาตนำมาลงให้ดูในคอลัมน์นี้... ดูแล้วก็อย่าลืมตัดสินด้วยนะครับว่า เหมือนหรือไม่เหมือนอย่างไร

ผมใช้เวลาเดินดูประมาณ 20 นาทีเท่านั้น ก็ครบถ้วนแล้ว...จึงต้องขออนุญาตเขาดูซํ้าบางจุด ที่น่าสนใจอีกหน่อยหนึ่ง เพราะเวลายังเหลือค่อนข้างมาก

ถ้าจะถามว่าคุ้มไหมกับค่าดู 50 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ 25 บาท สำหรับเด็ก... ในส่วนตัวของผมเห็นว่าคุ้ม

โดยเฉพาะเด็กๆจะคุ้มมาก เนื่องจากจะได้ดู ได้เห็นและได้รับรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยจากหุ่นต่างๆ น่าจะช่วยปลูกฝังความรักชาติไทย รักแผ่นดินไทยให้เด็กๆได้เป็นอย่างดี

แต่ถ้าจะให้ประทับใจมากขึ้น ก็ควรปั้นหุ่นคนดังให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะคนดังไทยในยุคปัจจุบัน จะทำให้คนดูรู้สึกทึ่งและตื่นตาตื่นใจมากกว่า

ความสำเร็จของหุ่นขี้ผึ้งเมืองนอกก็คือ การปั้นคนดังปัจจุบันที่คนทั่วโลกรู้จัก... เพราะเมื่อคนดูเข้าไปดูแล้วบอกต่อๆว่า เหมือนตัวจริง... ก็จะยิ่งทำให้ คนหลังๆอยากดูมากขึ้น

ยกตัวอย่างที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศหนึ่ง ผมจำไม่ได้แล้วว่าของประเทศไหน เขาปั้นหุ่นเดวิด เบค-แคม ได้เหมือนมาก แถมเอาปลาสเตอร์ไปแปะไว้ใกล้ๆ ลูกตาด้วย ซึ่งเหตุการณ์ตอนที่เขายังอยู่แมนฯยู แล้วโดนเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เตะรองเท้าใส่เหนือคิ้ว จนเป็นข่าวฮือฮา

ใครเห็นใครก็ชอบ ดูไปหัวเราะไป กลายเป็นเรื่องราวที่พูดถึงกัน และช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนอยากไปดูมากขึ้น

แต่ก็เอาเถอะ เท่าที่เราพอมีอยู่ ก็ถือว่าพอดูได้ และถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวๆนั้น ก็ควรจะแวะดูเสียหน่อย เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่หุ่นขี้ผึ้งแบบไทยๆ

พูดง่ายๆว่า เวลาแวะไปไหว้พระปฐมเจดีย์ ไปวัดไร่ขิง ไปวัดดอนหวาย ก็ขับรถวนไปดูพิพิธภัณฑ์ หุ่นขี้ผึ้งไทยเสียหน่อย ถือเป็นของแถมซะก็แล้วกันครับ

ที่สำคัญ...ด้วยทางด่วนและทางพิเศษต่างๆอย่างที่ผมว่า... ถ้าไปยามบ่ายๆ ที่รถรายังไม่มาก... แผล็บเดียวจริงๆ แม้แต่ผมยังทำ เวลาได้ภายใน 2 ชั่วโมง กลับมาประชุมต่อที่โรงพิมพ์ได้สบายเลยครับ.

"ซูม"

 
 
บันทึกการเข้า

เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #19 เมื่อ: 14-08-2006, 17:58 »


โทษนะคะ หนูงงนิดนึงค่ะ

ที่ว่างๆ ในความเห็นของพี่คำตัดพ้อ 2 อันนั้น คืออะไรคะ

เป็นรูปเหรอคะ หนูมองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ แปลกจริงๆ  Rolling Eyes
บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #20 เมื่อ: 14-08-2006, 18:01 »

พรานบูรพ์(จวงจันทน์ จัทร์คณา)
   เป็นบุตรชายคนเดียวของหลวงราชสมบัติ เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2444 ในวัยเด็กพรานบูรพ์สนใจเกี่ยวกับศิลปะการแสดงแทบทุกชนิดและที่ถนัดมากคือการ แสดงละคร มักจะได้แสดงเป็นตัวนางเนื่องจากมีรูปร่างเล็ก  ปี 2468 จบการศึกษา และเข้าทำงานที่แผนกโฆษนา ของบริษัทภาพยนตร์พัฒนากร ต่อมาบริษัทเปิดแผนกการละครเพิ่มขึ้น เป็นละครร้องแบบปราโมทย์ ชื่อคณะละครว่า"ราตรีพัฒนา" เมื่อเข้ามาคลุกคลี ในวงการละครพรานบูรพ์ ก็เสนอ ตัวขอเขียนบทละครเรื่องแรกคือ "ทะแกล้วสามเกลอ" และเป็นที่ ถูกใจเจ้าของคณะละครถึงขั้นวาง  มือปล่อยให้ดูแลการเขียนบทละครไปจนถึงการกำกับเลยทีเดียวทำงานอยู่ประมาณ 5-6 ปี ก็แยกตัวออกมา เปิดคณะละครของตัวเองขึ้นชื่อว่า "จัทโรภาส" มี ละครเรื่องที่ดังที่สุดคือ"จันทร์เจ้า ขา" โดยต้องเปิดแสดงถึง 49 ครั้งติดต่อกัน พรานบูรพ์ นับเป็นนักแต่งเพลง ไทยสากลคนแรกของเมืองไทย โดยแต่งเพลง "วอลทซ์ปลื้มจิต" ร่วมกับ  เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระยานครสวรรค์ วรพินิต และเพลงที่ถูกบันทึกเสียงและเป็น  ที่รู้จักจนมาถึงทุกวันนี้ 
   ผลงานเพลงส่วนใหญ่ที่เป็นที่รู้จัก เป็นเพลงเอกจากละครทั้งสิ้นเช่น  กล้วยไม้,กุหลาบร่วง,ขวัญ เรียม,เคียงเรียม,จันทร์เจ้าขา, ต้นข้าวคอยฝน,น้ำใจรัก,สั่งเรียม ,หวนไห้ใจหาย,อยากจะรัก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีผลงานที่ไม่ได้บันทึกเทปไว้แต่มีความไพเราะและทรง คุณค่าอย่างที่น่าเสียดายแทนคนรุ่น หลังเป็นอย่างมากที่ไม่มีโอกาศได้ ฟังงานเหล่านั้น   พรานบูรพ์ ลาโลกและวงการ บันเทิงไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2519 ทิ้งไว้แต่ผลงานเพลงต่างๆ  ที่ทรงคุณค่าไว้ให้เราฟังกันสืบไป
บันทึกการเข้า

เพนกวินน้อยนักอ่าน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 866



« ตอบ #21 เมื่อ: 14-08-2006, 18:10 »

อยากรู้ว่า อรวรรณ เป็นใครครับ
เห็นร้านหนังสือเก่า มีหนังสือของท่านเยอะเลย
เป็นนิยายเล่มบางๆ
บันทึกการเข้า
999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #22 เมื่อ: 14-08-2006, 18:12 »


http://www.banramthai.com/main.html

 นาฏศิลป์  หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม  ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
        การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์
        นาฏศิลป์ นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป       

 http://www.banramthai.com/html/about.html

  ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
  พิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย
  ประเภทของนาฏศิลป์ไทย
  ระบำ รำ ฟ้อน
  ความสำคัญของการฟ้อนรำไทย
  คุณค่าจากการรำไทย
  หลักในการชมนาฏศิลป์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2006, 18:14 โดย 999 » บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #23 เมื่อ: 14-08-2006, 18:33 »







อยากรู้ว่า อรวรรณ เป็นใครครับ
เห็นร้านหนังสือเก่า มีหนังสือของท่านเยอะเลย
เป็นนิยายเล่มบางๆ
อยากรู้ว่า อรวรรณ เป็นใครครับ
เห็นร้านหนังสือเก่า มีหนังสือของท่านเยอะเลย
เป็นนิยายเล่มบางๆ

ไม่ทราบครับ...

http://www.pinklemon.com/product/productsearch.asp

SA PAI KAEW
สะใภ้แก้ว  Author : อรวรรณ  US$ 2.7  Detail...         
 
 
  YORD DA RU NEE
ยอดดรุณี  Author : อรวรรณ  US$ 2.7  Detail...         
 
 
  THAS NUM NGIEN
ทาสน้ำเงิน  Author : อรวรรณ  US$ 2.7  Detail...         
 
 
  YOD SA PAI
ยอดสะใภ้  Author : อรวรรณ  US$ 2.7  Detail...         
 
 
  SUAY JING
สวยจริง  Author : น.ท.พ.ญ.อรวรรณ กิจเชวงกุล 
บันทึกการเข้า

999
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,022



« ตอบ #24 เมื่อ: 14-08-2006, 18:49 »

ตรงนี้คงพอช่วยได้นิดหน่อยครับ


รายชื่อนักเขียนทั้งหมดเรียงตามตัวอักษร

http://www.praphansarn.com/author/aboutauthor2.asp?pageNo=1

http://www.thaiwriternetwork.com/writerdata.php

http://www.amarin.com/apub/publishers/praew/writers.asp
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2006, 18:57 โดย 999 » บันทึกการเข้า

เพนกวินน้อยนักอ่าน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 866



« ตอบ #25 เมื่อ: 14-08-2006, 18:51 »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: