นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสหารือกับแกนนำนักธุรกิจญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนทำ
ธุรกิจในประเทศไทย ทำให้ทราบว่า นักธุรกิจญี่ปุ่นมีความกังวลเกี่ยวกับ
สถานการณ์ทางการเมืองไทยมาก โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่น
ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางการเมืองไทยในระดับ 4 เท่านั้น
แต่ปัจจุบันได้ให้ความสำคัญในระดับ 6 ซึ่งทางญี่ปุ่นมองว่า
ในระยะสั้นการลงทุนทำธุรกิจอาจไม่ได้รับผลกระทบ
แต่หากการเมืองยังยืดเยื้อไม่มีความชัดเจน ระยะยาวจะกระทบต่อการลงทุนแน่นอน
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดัชนีความรู้สึกทั่วไปของนักลงทุนญี่ปุ่น
พบว่าไทยถูกลดชั้นความน่าเชื่อถือไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ
ประเทศในกลุ่ม TIP หรือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งตามหลังสิงคโปร์และมาเลเซีย
จากที่ก่อนหน้านี้ นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ นายสมคิดอออกตัวว่าได้ให้คำยืนยันกับตัวแทนนักลงทุนญี่ปุ่น
ไปแล้วว่าขอให้เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถคลี่คลายปัญหาทางการเมือง
ได้ในไม่ช้า เพราะทุกคนต่างก็อยากให้ปัญหาความขัดแย้งยุติลงโดยเร็ว
จึงขอเรียกร้องให้คนไทยทุกคนช่วยฟื้นความเชื่อมั่น
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจไทย
สมคิด ไม่น่ากังวล เพื่อแลกกับประชาธิปไตยจอมปลอม
เราคงต้องยอมสูญเสียสถานะอะไรบางอย่างไปในเวทีโลก
ชนชั้นแรงงาน ชนชั้นไพร่ในชนบท อาจจนดักดานเหมือนเดิม
ถูกปลดออกจากงาน ถูกเลิกจ้าง ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เสือกเกิดมาจนเองนี่หว่า
ตอนนี้ยังไม่รู้สึก เพราะเลือดหัวมันยังไม่ออก
รอให้ถึงวันที่ต้องไปเปิดท้ายขายของกัน มันถึงจะสำนึก
วันนี้กลุ่มบริษัทรถยนต์นิสสันและกลุ่มนักลงทุนใต้หวันเพิ่งจะประกาศลงทุนเพิ่มในประเทศไทย
ด้วยเหตุผลว่าไม่สนใจการเมืองในประเทศไทย
นิสสันประกาศจะให้ไทยเป็นศูนย์ส่งออกชิ้นส่วนใหญ่อันดับสองจากญี่ปุ่น