ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
03-12-2024, 03:38
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  พึ่งรู้ว่า "ความจริง" มันเจ็บปวดอย่างนี้เอง 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
พึ่งรู้ว่า "ความจริง" มันเจ็บปวดอย่างนี้เอง  (อ่าน 3810 ครั้ง)
พันธมิตรตัวจริง
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 09-10-2008, 01:38 »

ผมเชียร์ พธม.มาตลอด

และคิดว่าคนทั่วประเทศเห็นด้วย กับแนวทางการประท้วงของเรา

แต่พอมีการสลายการชุมนุม ผมคิดว่ารัฐบาลต้องโดนด่าเละแน่นอน ในอินเตอร์เน็ท

ผมเช็คข่าวทันที เช้าวันที่มีการสลายการชุมนุม

เข้าเว็บอันดับ 1-10 ของประเทศไทย (ขอตัดเว็บผู้จัดการออกนะครับ เพราะที่นั่นเป็นบ้านของเรา ความคิดต้องเป็นไปทางเดียวกันอยู่แล้ว)

ผมได้แต่ตะลึง หัวตื้อไปหมดเลยครับ เจอแต่คนรุมด่าซะ 90% สะใจกับการเจ็บตัว ของพี่น้องพันธมิตร

ผมนั่งเช็คความคิดเห็นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ มีแนวโน้มว่าจะโดนสะใจมากขึ้น ผมถึงกับปิดคอมพิวเตอร์ เพราะไม่อาจรับความจริงได้

"ความจริง" มันเจ็บปวดอย่างนี้นี่เอง


 
บันทึกการเข้า
moon
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 780


« ตอบ #1 เมื่อ: 09-10-2008, 01:40 »

5555555555555555 90% ขำว่ะ
บันทึกการเข้า
พันธมิตรตัวปลอม
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 09-10-2008, 04:46 »

90% ?? ทำไมผมเห็นมีแต่คนด่าตำรวจซะส่วนใหญ่ มีแต่ในเว็บเสธแดงกับเว็บเชียทักษิณที่ 90% สมน้ำหน้าพันธมิตร แน่นอนคนที่เข้าไปโพสในเว็บพวกนี้ต้องใช้คำหยาบโลนโดยไม่จำเป็นทุกๆสามพยางค์ก็คิดดูเอาเองครับว่าเป็นคนที่มีพื้นฐานความคิดยังไง ส่วนเว็บอีกประเภทที่จะสมน้ำหน้าพันธมิตรซึ่งคงไม่ติดอันดับ 10 เว็บยอดนิยม ก็เป็นพวกชอบพล่ามหลักการตามตำราเพิกเฉยต่อความจริง
คุณอย่าไปใส่ใจมากกับสังคมในโลกไซเบอร์ที่โดยเฉพาะในเมืองไทยที่มีแต่พวกวัยรุ่นเติบโตมากับสันดานหัวเกรียน มาแสดงความคิดเห็น โพสซ้ำ  เปลี่ยนชื่อโพส จงใจโพสก่อกวนสมน้ำหนาคนตายก็มีถมไป

บันทึกการเข้า
GuoJia
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114


« ตอบ #3 เมื่อ: 09-10-2008, 05:34 »

ตอนชูวิทย์แผลงฤทธิ์ตีศอกนักข่าว
อ่านตามเวบบอร์ดต่าง ๆ ก็คุยว่าจะเลือกชูวิทย์ ๆ ๆ วนเวียนอยู่อย่างนี้
พอผลเลือกตั้งผู้ว่ากทมออกมาชูวิทย์แพ้ขาด
แสดงว่าในเวบบอร์ดกับโลกจริงมันต่างกัน
เอาเวบบอร์ดมาเป็นตัววัดไม่ได้

บันทึกการเข้า

พ่อ :    ในทุก ๆ การแข่งขันนี่นะ
   ผู้ชนะจะมีอยู่ 20%
   ส่วนผู้แพ้จะมีอยู่ 80%
   ลูกอยากจะอยู่ใน 20% หรือ อยากอยู่ใน 80%
ลูก :   แปดสิบ
พ่อ :   ทำไมล่ะลูก
ลูก :   ก็มันเยอะกว่า
พ่อ :   .........

จากหนังเรื่อง Dreamteam
Ple
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 11-10-2008, 07:48 »

ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณเจ้าของกระทู้ดีค่ะ แต่เราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนเราได้ บางคนเชื่อในสิ่งที่เค้าสัมผัสมาจริง ๆ บางคนเชื่อในสิ่งที่เห็นจากสื่อหรือได้ยินคนอื่นเล่ามา

วันเกิดเหตุ ช่วงที่ตำรวจจะเปิดทางให้ สส. และคนอื่น ๆ ออกมานั้น ดิฉันได้เปิด ASTV ช่วงถ่ายทอดสดตั้งแต่ก่อนทีตำรวจจะยิงแก๊สน้ำตาจนกระทั่งสัญญาณการถ่ายทอดสดถูกตัดไป หลังสัญญาณขาดไปดิฉันจึงเปลี่ยนไปดูช่องอื่น ข่าวที่นักข่าวพูดในตอนนั้นคนละเรื่องกับตอนที่ดิฉันดูตอนถ่ายทอดสดราวกับหนังคนละม้วน ในตอนนั้นดิฉันได้แต่คิดว่านี่มันยุคอะไรแล้ว การที่ทำแบบนี้ยังคิดว่าจะหลอกคนอื่นได้อีกหรือ

เช่น ภาพตอนที่พันธมิตรปาขวดน้ำหรือของอื่น ๆ เข้าไปในรัฐสภา ตามข่าวช่องทั่ว ๆ ไปเราจะเห็นแบบนั้น ถ้าคุณดูถ่ายทอดสดคุณจะรู้ว่าพิธีกรบนเวทีพยายามที่จะบอกผู้ชุมนุมให้หยุดทำเช่นนั้น แต่สาเหตุที่ผู้ชุมนุมส่วนที่นั่งติดรั้วทำเช่นนั้นทั้งที่ตอนแรกเพียงนั่งชุมนุมกันอยู่ด้านหน้าเท่านั้นก็เพราะมีสส. บางท่านคึกคะนอง เดินมาแสดงกิริยายั่วยุ บางท่านทำเป็นเด็ก ๆ แลบลิ้นปลิ้นตา เดินมาแจกเงินให้ตำรวจที่ยืนคุมอยู่ด้านใน ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจว่ามีหนังสือพิมพ์หรือข่าวช่องใดนำเสนอภาพครบทั้งหมดบ้างนะคะ

หรือช่วงที่พันธมิตรโยนขวดน้ำเปล่าลงพื้นเพื่อป้องกันการฟุ้งของแก๊สน้ำตา ข่าวบางช่องรายงานว่าพันธมิตรโยนขวดน้ำมัน ลองคิดดูนะคะ คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียว ไม่แปลกเลยที่เค้าจะคิดว่าพันธมิตรผิดมากมายขนาดที่เค้าควรจะสมน้ำหน้าในความเจ็บปวด

ดิฉันเคยคิดว่าหากเพียงเค้าเหล่านั้นได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองหรือลองเปิดใจพิจารณาสักนิด เค้าจะพบว่าคนที่เข้าร่วมการชุมนุมนั้นแทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปลำบากแบบนั้นเลยถ้าเค้าไม่ได้ทำเพื่อคนรุ่นหลัง แต่ในความเป็นจริงนั้นแม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัสกับการชุมนุมจริง ๆ ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นสักเพียงใดก็คงเป็นไปได้ยากที่พวกเค้าเหล่านั้นจะเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะเค้าได้เชื่ออย่างที่เค้าเชื่อไปแล้วเต็มหัวใจโดยไม่มีที่ว่างให้ความเชื่ออื่นใดมาแทรกหรือกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นหรือจะด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม

คนที่น่าเห็นใจจริง ๆ คงเป็นผู้ชุมนุมที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ดิฉันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าผู้ชุมนุมจะเจ็บปวดขนาดไหนที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เค้าทุ่มเททำไปขนาดนั้น เสียสละด้วยหัวใจเต็มร้อยขนาดนั้น นอกจากความเจ็บปวดทางร่างกายที่ได้รับยังต้องมารับฟังข่าวสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงซ้ำเข้าไปอีก เล่าอย่างไม่อายนะคะ ขนาดดิฉันเองได้ดูเพียงแค่เหตุการณ์ช่วงถ่ายทอดสด ดิฉันยังร้องไห้จนหยุดไม่ได้เลยค่ะ ดังนั้นหากเพียงขอได้ ดิฉันไม่หวังที่จะเปลี่ยนความคิดของพวกเค้าอีกแล้วล่ะค่ะ ขอแค่เพียงแค่อย่าซ้ำเติมกันเลยนะคะ พันธมิตรรักประเทศไทยไม่แพ้ฝ่ายใดหรอกค่ะ สิ่งที่พันธมิตรทำนั้นเพียงแค่ทำตามความเชื่อที่มีเจตนาบริสุทธิ์ด้วยความมุ่งมั่นที่คิดว่าจะทำให้ประเทศชาติดีขึ้นจริง ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 11-10-2008, 14:44 »

บางทีเจ้าของกระทู้อาจเขียนจากประสบการณ์ และความรู้สึกจริงๆ ก็ได้
เพราะในเวปบางเวปที่ไม่ใช่ พันถีบ ประชาทาสโมหะ ฝ้าฟางเดียวกัน
โนคอบ(ประชาธิปไตยทุนสามานย์) เสธแดง ฯ
ซึ่งเป็นปรปักษ์กับสถาบันและพันธมิตรอยู่แล้ว
ก็มีเวปที่ไม่สนใจความเป็นความตายของบ้านเมือง
เอาแต่สนุกสนาน กิน นอน เที่ยว สืบพันธ์
และในบทความตามหน้าหนังสือพิพ์การเมืองหลายๆ ฉบับ
ในช่วงวันที่ 7 ต่างเข้ามาเยาะเย้ยถากถางสมน้ำหน้าพันธมิตร
วีรสตรี วีรบุรุษ ที่บาดเจ็บ และเสียสละเป็นแถว


หลังจากวันที่ 7 จึงมีผู้เข้าไปโต้ตอบ
เข้าใจว่าช่วงวันที่ 7 ส่วนใหญ่คงอยู่ในที่ชุมนุม
หรือมุ่งแต่ติดตามสถานการณ์อยู่ ทั้งมีผู้ที่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
เข้าใจความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ แต่ไม่ได้เล่นอินเตอร์เน๊ต
กับบางคนที่ไม่เห็นประโยชน์กับการโต้ตอบกับพวกจิตใจอำมหิตเช่นนี้


แต่สัจจธรรมย่อมเป็นสัจจธรรม ไม่ผันแปรเป็นอื่น
พระพุทธองค์ท่านสอนว่า โลกนี้มีหลักการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
3 ประเภท คือ
1.  อัตตาธิปไตย       เอาตนเป็นใหญ่
2.  โลกาธิปไตย       เอาโลกเป็นใหญ่ คือเสียงส่วนมากเป็นใหญ่
3.  ธรรมาธิปไตย      ให้ธรรมเป็นใหญ่
 

ลักษณะของอัตตาธิปไตย  ถ้าเป็นตัวบุคคลก็เป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป
โดยไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น เอาแต่ใจตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ
สิ่งใดที่เราได้ทำตามใจตัวเอง เรามีความสบายใจเพราะการกระทำของเรา
แม้สิ่งนั้นจะกระทบกระเทือนถึงประโยชน์และชีวิตของผู้อื่น
คนที่เป็นอัตตาธิปไตยไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้ คิดแต่จะทำอะไรก็ทำลงไป
ไม่ได้พิจารณาว่า มันจะกระทบกระเทือนคนอื่นไหม
จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหมจะทำให้เราเดือดร้อนไหม
ถ้าจะว่าโดยกฎหมายปกครองบ้านเมือง
คนพวกนี้เป็นหัวเผด็จการอันนี้คือลักษณะของอัตตาธิปไตย


ลักษณะของคนที่เป็นโลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ อะไรที่ชาวโลกเขานิยมชมชอบ
แม้จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมก็ตาม ก็ทำไปตามความคิดเห็นของโลก
หรือความคิดเห็นของชาวบ้าน ซึ่งบางทีก็ทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนอ่อนแอ
หรือในบางครั้งเราอาจจะเห็นว่า เมื่อมติของคนส่วนมากมีความคิดเห็นอย่างนี้
แม้ว่าสิ่งนั้นมันอาจเป็นการทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น
หรือเป็นการลบหลู่เกียรติและชื่อเสียงของคนใดคนหนึ่งก็ตาม
เรารวมหัวกันทำ ทำแบบชาวโลกที่เขานิยมชมชอบกัน
อันนี้เป็นลักษณะของบุคคลที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง หนักๆ เข้ากลายเป็นคนอ่อนแอ

 

ส่วนคนที่เป็นธรรมาธิปไตย  อาศัยธรรมเป็นใหญ่ ธรรมที่ทำให้คนเป็นธรรมาธิปไตย   
ก็คือ รัฐธรรมนูญ ในเมื่อสมาชิกรัฐสภาร่วมใจกันตรากฎหมายอันใดออกมา
เป็นกฎหมายปกครองบ้านเมือง เราเคารพต่อมติของเขาเหล่านั้น
เพราะเขาปรึกษาหารือกันแล้วเห็นสมควรจะออกกฎหมายมาตรานั้นๆ ออกมาบังคับ
 เพื่อให้สังคมของเรามีความประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอกัน
ซึ่งเราเรียกว่า รัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมือง


"หลักธรรมาธิปไตยของชาวบ้าน  ก็คือ   รัฐธรรมนูญ
หลักธรรมาธิปไตยของศาสนา  ก็คือ   ศีล ๕"
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 11-10-2008, 15:16 »

ศีล ๕ ข้อนี่ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มนุษย์มีความรัก ความเมตตาปรานี
เพราะขึ้นต้นท่านก็บอกว่า อย่าฆ่ากัน อย่าเบียดเบียนกัน อย่าข่มเหงกัน อย่ารังแกกัน
อย่าอิจฉาตาร้อนกัน ผู้ใดมาเคารพศีล ๕ เป็นหลักยึดในจิตในใจของตน
บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าถือธรรมเป็นใหญ่ เมื่อถือธรรมเป็นใหญ่
เราก็จะมีแต่ความรัก ความเคารพ ความเมตตาปรานี

 
ศีล ๕ เป็นมูลฐานให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย
 
หัวใจของประชาธิปไตย อยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อใครมีศีล ๕ ก็ได้ชื่อว่าเคารพทุกสิทธิ สิทธิในการดำรงชีพอยู่โดยเสรี
สิทธิในการครอบครองสมบัติโดยเสรี
สิทธิในการใช้ผลประโยชน์ในคู่ครองของตนโดยเสรี
และสิทธิอื่นๆ บรรดามีในสังคม ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม
เราก็ได้ยึดเอาธรรมอันเป็นหัวใจของเสรีภาพ เสรีชน โดยมีเหตุผล มีกติกา
เราจะทำอะไรทุกอย่างต้องมีกติกา
ศีล ๕ จึงเป็นธรรมะที่เป็นมูลฐานให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ถ้าหากเราพิจารณาเรื่องศีล ๕ กับกฎหมายรัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมืองให้ประยุกต์กัน
ให้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เราจะได้ความเด่นชัดว่า ศีล ๕ คือ
กฎหมายปกครองบ้านเมืองที่เป็นธรรมนูญอันสูงสุด
ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า
เราก็ได้ปฏิญาณตนถึงพระองค์ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องการให้บ้านเมืองของเรา
ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย

 
นักปกครองบ้านเมือง ถ้าไม่มีศีล ๕ ข้อ เป็นหลักแล้ว
ไม่มีทางปกครองบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยได้


ธรรมะเรื่องหลักการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ยกมากล่าวข้างต้นนั้น
นำมาจากเวปไซด์เวปหนึ่ง เป็นเทศนาธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ตัวเองเคยได้รับการอธิบายเรื่องนี้เมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว
เมื่อได้สนใจและศึกษา ธรรมะของพระพุทธองค์
ว่าสามารถทำให้เราเข้าใจตัวเองและโลกได้จริงไหม
และนำมาแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเองในการดำเนินชีวิต
ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องได้ดีที่สุดหรือไม่
ถึงวันนี้ไม่ผิดหวังแม้น้อยนิดเลย
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 11-10-2008, 15:22 »

สำหรับผู้ที่เสียสละ และผู้ที่บาดเจ็บนั้น ขอยกย่องเชิดชูให้ท่านเหล่านี้
เป็นวีรบุรุษ วีรสตรีของแผ่นดินไทย แผ่นดินเกิดของเราแห่งนี้ ในชาตินี้
ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดหลังการตาย บาปและบุญจะติดตัวทุกๆ จิตไปดุจเงาตามตัว


แผ่นดินแห่งนี้ก่อกำเนิดเป็นสังคมอยู่ร่วมกันของมนุษย์และสัตว์มายาวนานแล้ว
หลายยุคหลายสมัยได้มีบรรพบุรุษมนุษย์ผู้เสียสละปกป้องค้ำจุนแผ่นดินนี้
ให้เราลูกหลาน เหลนโหลน...ในอดีตและปัจจุบัน
ได้อาศัย เกิด เติบโต เล่าเรียนเขียนอ่าน และสามารถทำมาหากิน
ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพได้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
สืบไปในอนาคต วีรบุรุษ วีรสตรี เหล่านี้ย่อมเป็นที่เคารพรักและยกย่อง
ของลูกหลานคนไทยที่มีหัวใจเป็นธรรม ในปัจจุบันและอนาคตต่อไปเช่นกัน


ขออำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อำนวยพรและคุ้มครองท่านเหล่านั้น
และป่านฉนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกป้องคุ้มครองประเทศไทยอยู่
ได้รับรู้ และได้รับดวงวิญญาณของ คุณอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ
และ พ.ต.ท. เมธี ชาติมนตรี ไปเป็นส่วนหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ร่วมปกปักษ์รักษา
และค้ำจุนชาติไทยให้ยืนยงตลอดไปแล้ว
บันทึกการเข้า
สมเด็จลิ้ม
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 11-10-2008, 16:46 »

ผมสนับสนุนพันธมิตรในช่วงก่อนปฏิวัติปี49 นะ เพราะตอนนั้นรัฐบาลโกงกิน ไม่มีองค์กรใดตรวจสอบได้

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลื่ยนไปผมมองว่าพันธมิตรเองไม่ยอมรับเสียงที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่



พันธมิตรยังทำผิดโดยบุกยึด nbt ยึดทำเนียบแล้ว

จนวันที่ 7 ตค ยังไปปิดล้อมรัฐสภาอีก

ผมว่ามันจะเกินไปหรือเปล่า


ส่วนเรื่องการสลายการชุมนุม ผมมองว่าทั้งสองฝ่ายก็มีส่วนในการก่อให้เกิดความรุนแรง

ตำรวจจะทำเกินกว่าเหตุหรือไม่อีกไม่นานก็ทราบ

แต่ที่เห็นๆ พันธมิตรอ้างว่า"อหิงสา" แต่กลับมีอาวุธ(ที่แน่ๆคือปืน)

ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกสลดที่เห็นคนไทยฆ่ากันเองเพื่อคนบางกลุ่ม


อยากให้ทุกคนตั้งสติว่า คุณฆ่าคนอื่นเพื่อใคร? หรือฆ่าเพื่อความสะใจที่ได้เห็นคนที่มีความคิดทางการเมืองต่างจากคุณตายเท่านั้น


ผมเองยอมรับความแตกต่างของผู้ที่เห็นต่าง และยินดีแลกเปลียนความคิดเห็นกับทุกท่านครับ
 

บันทึกการเข้า
Matahari
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 228



« ตอบ #9 เมื่อ: 11-10-2008, 17:53 »

อ้างถึง
ผมสนับสนุนพันธมิตรในช่วงก่อนปฏิวัติปี49 นะ เพราะตอนนั้นรัฐบาลโกงกิน ไม่มีองค์กรใดตรวจสอบได้

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลื่ยนไปผมมองว่าพันธมิตรเองไม่ยอมรับเสียงที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่
พันธมิตรยังทำผิดโดยบุกยึด nbt ยึดทำเนียบแล้ว
จนวันที่ 7 ตค ยังไปปิดล้อมรัฐสภาอีก

ผมว่ามันจะเกินไปหรือเปล่า


ส่วนเรื่องการสลายการชุมนุม ผมมองว่าทั้งสองฝ่ายก็มีส่วนในการก่อให้เกิดความรุนแรง

ตำรวจจะทำเกินกว่าเหตุหรือไม่อีกไม่นานก็ทราบ

แต่ที่เห็นๆ พันธมิตรอ้างว่า"อหิงสา" แต่กลับมีอาวุธ(ที่แน่ๆคือปืน)

ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกสลดที่เห็นคนไทยฆ่ากันเองเพื่อคนบางกลุ่ม


อยากให้ทุกคนตั้งสติว่า คุณฆ่าคนอื่นเพื่อใคร? หรือฆ่าเพื่อความสะใจที่ได้เห็นคนที่มีความคิดทางการเมืองต่างจากคุณตายเท่านั้น


ผมเองยอมรับความแตกต่างของผู้ที่เห็นต่าง และยินดีแลกเปลียนความคิดเห็นกับทุกท่านครับ


     โถ นปก แฝงมาเอย  แสดงว่าไม่ใช่พธม ทีแท้ จริง โง่ แล้วสะเออจะแหลแต่รุ้มะ ควา-ยเชื่อ
     การต่อสุ้เป็นขั้นตอนเราเคยเรียกร้องว่าทักษิณและพวกำไม่มี่สิทธิ์มาเป็นรัฐบาล เมือเขาไม่เชือ  เพิกเฉย หน้าด้าน เขาก็ต้องสุ้อีกขั้นตอน  คือการเข้าไปยึคสถานที่เพื่อกดดัน
     การเป็นนปก หน้าโง่ ที่หอนออกมาแสดงความเป็นสัตว์ตอแหลหาใช่พธม
     การปิดล้อมรัฐสภาก็ต้องมีสาเหตุ คือการเป็นรัฐบาลที่สมบุรณ์พธม ก็ต้องขัดขวาง เนอะควา-ยนปก อย่าหอนตอแหลนะ ถ้าพธม ทีแท้จริงไม่หอนแบบนี้หรอกกลับคอกแล้วกินตามเดิมเถอะ
     เอาอะไรมาอ้างเสียงส่วนใหญ่ เรามีสิทธิตามรธน ทีขัดขวางและเอาโจรปล้นประเทศ เข้าคุก ที่รัฐบาลชุดนี้ไม่นำพาเรืองทางกม ควา-ยไม่รุ้เหรอ
     เหรอ มีอาวุธ ถามหน่อยแล้วเขาเอาไปยิงมะเหมือนพวกแก เขาเอาไปทำร้ายมะ เคยมีมะ สัตว์ชันต่ำไร้สมอง คิดไม่เป็นแต่หอนเก่ง
     ถ้าเขาฆ่าคน แล้วค่อยมาหอนตอแหลนะ
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: 11-10-2008, 18:21 »

ตัวอย่าง
เต้าข่าวตรงใหน?
ข่าวนี้ก็เอามาจากเวปมีที่มา(ทำลิ้งไว้แล้ว)
เห็นข่าวแล้วรับไม่ได้เหรอ
ไอ้พวกควายพันธมาร

ไอ้สถุนเอ้ย
มึงสถุนเหมือนศาสดาลิ้มของมึงเลย
มึงกินขื้มันจนหน้ามึดเลยเหรอ
พ่อ แม่ กูไปเกี่ยวอะไรวะ ถ้ามึงจะด่า มึงด่ากู แต่อย่าลามไปถึงพ่อแม่
ว่าแต่กูเองน่ะยังมีพ่อแม่ แต่สงสัยว่ามึงจะไม่มีพ่อแม่แล้ว พ่อแม่ของมึงโดนไอ้เหลื่ยมเอาตูดเหรอ

หรือบ้านมึงโดนไฟไหม้เพราะไอ้เหลื่ยมมันมาเผา

กูเกลียดไอ้เหลื่ยมแต่กูก็เกลียดไอ้ลิ้มที่แม่รงเอาสถาบันมาโจมตีคนอื่นหว่ะ
ในบอร์ดนี้มีแต่การ์ดใบกระท่อมควายๆเหรอวะ ใช้เหตุผลโต้ไม่ได้แล้ว เสือกมาหยาบคายกลบเกลื่อน
ปล. ถ้ามึงเห่าว่า สิ่งที่กูโพสไม่จริง มึงก็ไปหาหลักฐานมาดิ

 -------------------------------------

เมื่อสมชายหน้ายิ้ม ศิษย์เอกพญามารขึ้นบัลลังก์เป็นใหญ่
เมื่อฟังวันแถลงนโยบย
ด้วยประสบการณ์ก็บอกตัวเองในใจว่ามาแล้วพญามารตัวจริงมาแล้ว
ยิ่งกว่านายกสมัครเป็นไหนๆ
บางคนตอแหลอย่างไรก็ตอแหลอยู่อย่างนั้น

ด้วยคำสอนและการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
พระพุทธองค์ให้โอกาสคน เพราะมนุษย์สามารถแปรเปลี่ยนจากเลวเป็นดีได้
ไม่มีสัตว์โลกตัวไหนไม่เคยทำผิด

ในสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดที่หมุนจากสูงลงต่ำ จากต่ำขึ้นสูง
ไม่มีจิตวิญญาณดวงใดทำแต่ความดี ไม่เคยทำความชั่ว
จึงเป็นไปตามกฏแห่งสัจจธรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็สอนว่า
ให้คบกัลยาณมิตร อย่าคบคตนพาลสันดานหยาบ อย่าคบคนชั่ว

และอย่าคบคนหน้าเนื้อใจเสือ ปากปาศรัยน้ำใจเชือดคอ
พระพุทธองค์ท่านก็สอนและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
พระองค์ท่านแยกคนเป็น 4 ประเภท ประเภทที่ 4 ท่านวางอุเบกขา ไม่ให้โอกาส และไม่ให้ความสนใจ
ตามหลักพรหมวิหาร 4
ดังนั้นคนทุกคน มีสิทธิที่จะเลือกเป็นบัวประเภทไหน
เอวัง...
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: 11-10-2008, 19:37 »

หลายวันมานี้ เวปเสรีไทยเข้ายากเหลือเกิน
สาเหตุ คืออะไร

เมื่อเปิดยาก ดังนั้นเมื่อเข้ามาได้
จึงขอแสดงความคิดเห้นมากขึ้นหน่อย

ประสบการณืในชีวิตสอนให้รู้ ว่า
การทำความดี การประพฤติปฏิบัติจนตนเอง
ได้รับคำตอบว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้น ยากเหลือเกิน
เปรียบได้ว่า การทำความดี และการปฏิบัติจนรู้ถ่องแท้ในใจ
เชื่อกฏแห่งกรรม นั้น เปรียบดังการว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นสู่ที่สูง
บางครั้งเชี่ยวกราก บางครั้งอ่อนตัว
แหละบางครั้งกระแสน้ำพัดพาจากเส้นทางอันเป็นจุดมุ่งหมายไปไกล
การทำความชั่วนั้น เปรียบดังการปล่อยตัวตามกระแสน้ำลงที่ต่ำ
และเช่นเดียวกัน บางครั้งไหลตามกระแสไปอย่างรุนแรง
บางครั้งไหลตามกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย
แต่ก็คือการไหลลงที่ต่ำ สู่น้ำครำเน่าเหม็น

จากประสบการณ์ที่พบเจอะเจอมากล้นเหลือ
และมีบุญได้มีผู้ทรงคุณธรรมล้ำเลิศพร่ำสอนในช่วงหนึ่งของชีวิต
มีครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้รับการนินทาทั้งลับหลัง และประนามหยามเหยียดต่อหน้า
แม้กระทั่งความผิดที่ไม่ได้กระทำ ก็ป้ายให้เราเป็นผู้กระทำ ทั้งคนส่วนใหญ่เชื่อ
ในวันหนึ่งที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง ที่กำลังคับแค้นเสียใจมาก
เพียงเปิดหนังสือเริงรมย์ครั้งแรกที่ซื้อติดมือมา เพียงต้องการอ่านเพื่อลืมทุกข์ในใจ
เปิดผัวะมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หนังสือเริงรมย์ นั้น
หน้าที่เปิดออกมา เป็นคำสอนของพระอริยเจ้าหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลฯ
คำสอนสั้ๆ นั้นมีใจความว่า ให้พิจารณาเรื่องที่เขาว่าเรา ถ้าเป็นความจริง ดังที่เขาว่า
ก็ให้แก้ไขดัดแปลงตนเองเสียให้ดี แต่พิจารณาแล้วเรื่องที่เขาว่าร้ายเรา นั้น ไม่จริง
ก็ทิ้งไว้ให้คนว่า ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจให้ทุกข์ (ดังเช่นที่เราเป็นอยู่ขณะนั้น อิอิ )

กับอีกครั้งหนึ่ง น้ำตากำลังตกใน เพราะเพิ่งถูกผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในที่ทำงาน
กล่าวร้ายให้ร้ายให้ตนเองเสียหายมากมาหยกๆ
ต่อมาตอนเย็นวันนั้นต้องไปพบอาจารย์ที่เคารพตามนัด
สวัสดีท่านแล้ว นั่งลง และไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง
ยังไม่ได้พูดจาอะไรกัน ท่านก็ส่งต้นฉบับธรรมะแบ่งให้ปึกหนึ่ง
ท่านให้ช่วยตรวจต้นฉบับ ตรวจไปเพียงหน้าที่สองเท่านั้น
ก็มีข้อความว่า แม้มีผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ หรือผู้ที่คนทั้งโลกยกย่องนับถือ
และแม้คนทั้งโลก มากล่าวโทษ ว่าร้ายเรา มาดูถูกเหยียดหยามว่าเราไม่ดี
พิจารณาแล้ว ถ้าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง
ก็ให้วางเรื่องที่เขาว่าร้ายเรา ไม่ต้องไปแบกไปหามมันไว้
แต่พิจารณาแล้ว เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง  แม้ผู้ที่มากล่าวโทษเรา
เป็นเด็กน้อยตัวนิดเดียว แม้เป็นเด็กที่ไม่มีใครรู้จัก
ถ้าเราไม่ดีดังเช่นที่เด็กน้อยว่าเรา เราต้องน้อมรับ และขอบคุณเด็กน้อยผู้นั้น
นั่นจึงจะเรียกว่า เรามีธรรมในใจ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
บันทึกการเข้า
สายใจ
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: 11-10-2008, 20:11 »

หลายวันมานี้ เวปเสรีไทยเข้ายากเหลือเกิน
สาเหตุ คืออะไร

เมื่อเปิดยาก ดังนั้นเมื่อเข้ามาได้
จึงขอแสดงความคิดเห้นมากขึ้นหน่อย

ประสบการณืในชีวิตสอนให้รู้ ว่า
การทำความดี การประพฤติปฏิบัติจนตนเอง
ได้รับคำตอบว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้น ยากเหลือเกิน
เปรียบได้ว่า การทำความดี และการปฏิบัติจนรู้ถ่องแท้ในใจ
เชื่อกฏแห่งกรรม นั้น เปรียบดังการว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นสู่ที่สูง
บางครั้งเชี่ยวกราก บางครั้งอ่อนตัว
แหละบางครั้งกระแสน้ำพัดพาจากเส้นทางอันเป็นจุดมุ่งหมายไปไกล
การทำความชั่วนั้น เปรียบดังการปล่อยตัวตามกระแสน้ำลงที่ต่ำ
และเช่นเดียวกัน บางครั้งไหลตามกระแสไปอย่างรุนแรง
บางครั้งไหลตามกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย
แต่ก็คือการไหลลงที่ต่ำ สู่น้ำครำเน่าเหม็น

จากประสบการณ์ที่พบเจอะเจอมากล้นเหลือ
และมีบุญได้มีผู้ทรงคุณธรรมล้ำเลิศพร่ำสอนในช่วงหนึ่งของชีวิต
มีครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้รับการนินทาทั้งลับหลัง และประนามหยามเหยียดต่อหน้า
แม้กระทั่งความผิดที่ไม่ได้กระทำ ก็ป้ายให้เราเป็นผู้กระทำ ทั้งคนส่วนใหญ่เชื่อ
ในวันหนึ่งที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง ที่กำลังคับแค้นเสียใจมาก
เพียงเปิดหนังสือเริงรมย์ครั้งแรกที่ซื้อติดมือมา เพียงต้องการอ่านเพื่อลืมทุกข์ในใจ
เปิดผัวะมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หนังสือเริงรมย์ นั้น
หน้าที่เปิดออกมา เป็นคำสอนของพระอริยเจ้าหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลฯ
คำสอนสั้ๆ นั้นมีใจความว่า ให้พิจารณาเรื่องที่เขาว่าเรา ถ้าเป็นความจริง ดังที่เขาว่า
ก็ให้แก้ไขดัดแปลงตนเองเสียให้ดี แต่พิจารณาแล้วเรื่องที่เขาว่าร้ายเรา นั้น ไม่จริง
ก็ทิ้งไว้ให้คนว่า ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจให้ทุกข์ (ดังเช่นที่เราเป็นอยู่ขณะนั้น อิอิ )

กับอีกครั้งหนึ่ง น้ำตากำลังตกใน เพราะเพิ่งถูกผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในที่ทำงาน
กล่าวร้ายให้ร้ายให้ตนเองเสียหายมากมาหยกๆ
ต่อมาตอนเย็นวันนั้นต้องไปพบอาจารย์ที่เคารพตามนัด
สวัสดีท่านแล้ว นั่งลง และไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง
ยังไม่ได้พูดจาอะไรกัน ท่านก็ส่งต้นฉบับธรรมะแบ่งให้ปึกหนึ่ง
ท่านให้ช่วยตรวจต้นฉบับ ตรวจไปเพียงหน้าที่สองเท่านั้น
ก็มีข้อความว่า แม้มีผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ หรือผู้ที่คนทั้งโลกยกย่องนับถือ
และแม้คนทั้งโลก มากล่าวโทษ ว่าร้ายเรา มาดูถูกเหยียดหยามว่าเราไม่ดี
พิจารณาแล้ว ถ้าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง
ก็ให้วางเรื่องที่เขาว่าร้ายเรา ไม่ต้องไปแบกไปหามมันไว้
แต่พิจารณาแล้ว เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง  แม้ผู้ที่มากล่าวโทษเรา
เป็นเด็กน้อยตัวนิดเดียว แม้เป็นเด็กที่ไม่มีใครรู้จัก
ถ้าเราไม่ดีดังเช่นที่เด็กน้อยว่าเรา เราต้องน้อมรับ และขอบคุณเด็กน้อยผู้นั้น
นั่นจึงจะเรียกว่า เรามีธรรมในใจ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
บันทึกการเข้า
Sweden
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


« ตอบ #13 เมื่อ: 11-10-2008, 20:43 »

Don't worry....bad people will go to Hell very soon.
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: