เปลวสีเงิน
"พอเพียง"จะมาแทนสังคม"ทุนเสรี"
24 กันยายน 2551 กองบรรณาธิการ
ดูท่าทางแล้ว "ครม.สมชาย" คลอดออกมาคงได้ฮากันเป็น ครม."มิสเตอร์บีน" ก็ทนๆ กันไปซัก ๒ เดือนเถอะน่ะ ในดงน้ำครำจะหาปลาคาร์พได้ที่ไหน มันก็มีแต่ "ตัวร้อยขา"
ใส่สูทนั่นแหละ ตอนนี้-ใครขึ้นมาเป็นผู้นำใหม่ ถือว่า "ยิ่งใหญ่กว่า" ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กันทั้งนั้น เพราะถึงห่วยขนาดไหน ก็ยังไม่ทำให้เกิดหายนะ "เศรษฐกิจโลก" อย่างที่นายบุชเขาทำ!
พูดถึงวิกฤติ "แฮมเบอร์เกอร์ ดีซีส" ที่สหรัฐอเมริกาขณะนี้ ผมว่าเป็นบทที่ใช้ในการ "เจริญสติ" ที่มีคุณค่าที่สุด
ใครเคยคิดบ้างว่า "เจ้าโลก" อย่างสหรัฐ ซึ่งพิมพ์ดอลลาร์ใช้ได้เองตามใจชอบ จะมีวันนี้-วันที่เศรษฐกิจประเทศล้มละลาย!
และใครจะคิดบ้างว่า สถาบันกำชนดชะตา-อนาคตเศรษฐกิจ-การเงินโลกอย่างเฟด "Federal Reserve" หรือธนาคารกลางของสหรัฐ จะเจ๊งได้!?
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว หนีไม่พ้นหลักวัฏฏะไปได้ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ สหรัฐที่เรียกว่า "จ้าวแห่งอำนาจโลกทุนเสรี" วันนี้ แฮมเบอร์เกอร์ ดีซีส ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
"ทุนเสรีนิยม" ไม่ใช่ระบบที่ใช้สร้างความร่ำรวย ความมั่งคั่ง เพื่อสนองตอบจิต-วิญญาณมนุษยชาติ ดังที่เรียกว่าเป็นสูตรพัฒนามนุษยชาติไปสู่ชีวิต-สังคมที่ดีกว่า อย่างที่โฆษณาชวนเชื่อต่อเนื่องมาเป็นศตวรรษ
เห็นไหม..ลงท้าย ขนาดเจ้าของสูตร-เจ้าของทฤษฎี "ทุนเสรีนิยม" ก็ยังต้องตายด้วยพิษ "เศรษฐกิจทุนเสรี" ของตัวเอง!?
ผมอยากให้ "นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์" ในฐานะนายกฯ ผู้สืบสันดาน "ทุนเสรีนิยม" จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตระหนัก
อย่าเอานโยบาย "ประชานิยม" ลด-แลก-แจก-แถม อันเป็นเล่ห์กลทางการตลาด "ทุนเสรี" อย่างหนึ่งมาใช้ในการบริหารประเทศเป็นอันขาด
ใหญ่-ขนาดสหรัฐยังฉิบหาย...
ถ้าขืนเอามาใช้ต่อ เล็กอย่างไทย-ด้วยนโยบายมอมรากหญ้าให้เป็น "คนไทยขอทาน" นั้น...
อีกไม่นาน ประเทศไทยคงต้อง "ขายประเทศ" แล้วเอา ๖๓ ล้านหัวมาหาร แบ่งยอดเงินที่ขายได้ แจกกันไปให้สมกับที่เป็น "ประชานิยม" จนถึงลมหายใจสุดท้ายเลยนั่นแหละ!!
ผมได้ยิน "นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช" รัฐมนตรีมือเศรษฐกิจจากเครือข่ายทักษิโณมิกส์ ออกมาประกาศตัว เป็นผู้มีส่วนร่วมสร้างผลงาน "ประชานิยม" ในยุคทักษิณ และคุยอวดด้วยภูมิใจอีกตะหากว่า
รัฐบาลสมชาย ก็จะเร่งผลักดันโครงการประชานิยม เป็นการสืบต่อนโยบายระบบทักษิณ!
ผมอยากจะเตือนไว้ตรงนี้ว่า "เศรษฐกิจทุนเสรี" คือการเปิดประตูให้ "ทุนนอกชาติ" เข้ามาสมคบ "ซื้อชาติ" น่ะ มันจบแล้ว มันล่มสลายเห็น "คาตา" แล้ว
อย่านำระบบประชานิยมมาใช้เป็นหัวเชื้อ เพื่อนำระบบเศรษฐกิจทุนนอกชาติเข้ามา "เขมือบชาติ" เป็นอันขาด!
โลกถึงยุค "เปลี่ยนรอบ" แล้ว มันมาถึงยุค "พักฟื้น-ฟื้นฟู" อย่าถูลู่ถูกัง ด้วยยึดแบงก์โลก ไอเอ็มเอฟ เฟด เป็นศาสดาชี้นำอีกต่อไปเลย ผมอยากจะบอกว่า ในรอบครึ่งศตวรรษต่อจากนี้
ใครตื่นก่อน-รู้ตัวก่อน ปรับวิถีเศรษฐกิจ และสังคมประเทศตัวเอง ให้อยู่อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิต ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ของชาติตัวเอง
ประเทศนั้น ชาตินั้น "จะรอด" และยิ่งใหญ่ในความหมาย ๔ พอเพียง คือ
-การเมืองพอเพียง
-เศรษฐกิจพอเพียง
-ชีวทัศน์พอเพียง และ
-สังคมชาติพอเพียง
โลกต่อไปนี้ ไม่มีใครบ้า-ด้วยแสวงหาความใหญ่เหนือใครด้วยวัตถุอีกต่อไปนี้ ใครทำให้ชาติรอด ในความหมาย บริหารให้ประชาชน อยู่ดี-กินดี-มีสุข ด้วยคุณธรรม
ชาตินั้น-ประเทศนั้น ล้ำเลิศเหนือใครแล้วครับ!
อย่างที่คุยกันไปแล้ว โลกสู่ยุคเปลี่ยน ประเทศไทยเราเอง ภายใน ๑๕-๑๖ ปีข้างหน้า ประเทศไทย พ.ศ.๒๕๕๑ นี้ กับประเทศไทยใน พ.ศ.๒๕๖๖ เหมือนหลับแล้วไปตื่นในอีกมิติหนึ่ง!!
มิตินั้น คือมิติไทยที่จะรุ่งเรือง-สดใสจากทฤษฎี "เศรษฐกิจพอเพียง" ตามแนวทฤษฎีของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และไม่เพียงไทยเรา หลายประเทศในโลกที่ปรับตัวทัน หันมาศึกษาทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง และตีความให้แตกเพื่อการนำไปใช้ให้ถูกตามปรัชญา
จะเป็นชาติมั่งคั่ง เจริญก้าวหน้าสู่ "อารยะใหม่" เหมือนกับไทยเราทั้งนั้น!
ผมค่อนข้างจะมี "ความหวัง" กับประเทศไทย อันจะเห็นผลในอนาคตอันใกล้ คือในราวๆ ๑๕-๑๖ ปีข้างหน้านี้มาก!
เพราะอะไรน่ะหรือครับ..ก็เพราะผมเห็นปฏิกิริยา "แตกตัว" จากคนในสังคมชาติขณะนี้น่ะซี ใครจะมองความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ของ นปช. ของนักศึกษา ของนักวิชาการ ของสังคมชาวบ้าน ของสถาบันหลากหลายไปในแง่มุมไหนก็ช่างเถอะ
แต่ในมุมรวมจากความหลากหลายนั้น สรุปได้ว่า ประชาชาติเริ่มรู้สึกแล้วว่า ระบบปัจจุบันไม่สามารถใช้สนองตอบโจทย์ชีวิต และสังคมที่เป็นสุขได้ จึงดิ้นรน แสวงหา ไขว่คว้า "สิ่งที่ดีกว่า"
เพื่อชีวิต และสังคม อุดมคติสมบูรณ์!
การดิ้นรนด้วยแสวงหา ทำให้คนรู้จัก "ใช้ความคิด" มากกว่าใช้สัญชาตญาณ ตราบใดที่เห็นสังคมชนเคลื่อนไหว "ด้วยความคิด" เราจงพอใจเถิดว่า ประเทศชาติเริ่มเดินหน้า "พัฒนาสู่ความหวังใหม่" แล้ว
อย่าไปเข้าใจว่า "ปฏิกิริยา-จากคิด" คือตัวปัญหา ตัวขัดแย้งนำมาซึ่งความแตกแยกบ้านเมือง แท้จริงแล้วนั่นคือ "ตัวพัฒนา" ที่อยู่ในขั้น "ปัญญาแตกตัว"
อีกไม่ช้า เมื่อความหลากหลายจากปัญญาที่แตกตัวนั้น "รวมตัว-ตกผลึก" กันแล้ว สังคมอุดมคติใหม่ จะเป็นอะตอมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ "ความหมายใหม่" ที่ยิ่งใหญ่ ชาติไทยรุ่งเรือง!
ขณะนี้ พันธมิตรฯ เขากำลังคิดสูตร "การเมืองใหม่" และผมก็เห็นทาง "สภาพัฒนาการเมือง" ของสถาบันพระปกเกล้า เขาก็ระดมปัญญาจากประชาชนหลากสาขาอาชีพสู่ "การเมืองใหม่" เช่นกัน
รวมความว่า ขณะนี้ประชาชน "ใช้ปัญญา-ใช้ความคิด" กันกว้างขวาง สุดท้าย "การเมืองใหม่" ก็จะนำประเทศชาติไปสู่ "สังคมบริหารใหม่"
ข้อสำคัญ คิดต่างกันนั้น-คิดได้ แต่อย่าเอาแค่ "เค้นคำตำหนิ" คนอื่นเขา ตัวเราต้องรู้จัก "เค้นความคิดนำ" ไปเสนอแข่งในตลาดปัญญากับเขาด้วย
มีอี-เมล์ข้อความหนึ่งเข้ามาในเน็ตผม ท่าทางจะร้อนใจกันจริงๆ เพราะเมล์เข้ามาหลายเจ้า ผมอ่านแล้วก็พลอยร้อนใจตามไปด้วย เขาอยากให้เผยแพร่ ผมก็เผยแพร่เลยนะครับ
เรื่อง คัดค้านการขอบำเหน็จ บำนาญ ให้ข้าราชการการเมือง ส.ส.-ส.ว.
ถึง ประชาชนคนไทยทุกท่าน
เรื่องที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว.ไม่ทราบว่าท่านผู้ทรงเกียรติใช้สติปัญญาส่วนไหนคิด ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะเปิดโอกาสให้ข้าราชการการเมืองมีโอกาสได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านคำนึงถึงความเหมาะสมบ้างหรือไม่?
ท่านมีสิทธิพิเศษ และสวัสดิการมากมาย ยังจะมาเอาเปรียบประชาชน และข้าราชการประจำอีกหรือ ท่านดูอัตราเงินเดือนของท่านให้ดีนะครับ
บัญชีเงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มของ ส.ส.-ส.ว.
เงินประจำตำแหน่ง+เงินเพิ่ม ประธานรัฐสภา ๖๔,๐๐๐+๕๐,๐๐๐ บาท
ประธานวุฒิสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ๖๓,๐๐๐+๔๕,๐๐๐ บาท
รองประธานรัฐสภา ๖๓,๐๐๐+๔๕,๐๐๐ บาท
รองประธานวุฒิฯ และรองประธานสภาผู้แทนฯ ๖๓,๐๐๐+๔๒,๐๐๐ บาท
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ๖๓,๐๐๐+๔๕,๐๐๐ บาท
ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา และสภาผู้แทนฯ ๖๓,๐๐๐+๔๒,๕๐๐ บาท
สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ๖๓,๐๐๐+๔๑,๐๐๐ บาท
เฉพาะ ส.ส.และ ส.ว.ท่านมีเงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มรวมแล้ว ๑๐๔,๐๐๐ บาท/เดือน ครับ
ถ้าท่านเป็น ส.ส. ๔ ปี ท่านจะมีรายได้รวม ๔,๙๙๒,๐๐๐ บาท
ถ้าท่านเป็น ส.ว. ๖ ปี ท่านจะมีรายได้รวม ๗,๔๘๘,๐๐๐ บาท
คนทั่วไปเขาทำงานกันทั้งชีวิตนะครับกว่าจะได้เงินขนาดนี้ นอกจากเงินเดือนแล้ว ในระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ยังมีสวัสดิการ มีสิทธิพิเศษมากมาย เดินทางฟรี ขึ้นเครื่องบินฟรี ท่านมีเบี้ยเลี้ยงประชุม
ในการเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ท่านก็เบิกได้เต็มที่ ๑๐๐% นอกจากนี้แล้ว ยังมีเงินประจำตำแหน่งในคณะกรรมาธิการต่างๆ ของสภาที่ท่านสามารถจะได้รับอีก เรียกได้ว่าท่านแทบไม่จำเป็นต้องแตะเงินเดือนของท่านเลย ถ้าท่านกินอยู่อย่างพอเพียง และรู้จักประกอบอาชีพสุจริต เงินจำนวนนี้ถือว่ามากพอที่จะเลี้ยงชีวิตท่านนะครับ
แล้วท่านจะยังมาเอาบำเหน็จ-บำนาญ อะไรกันอีกครับ?
ในฐานะของประชาชน ผมขอคัดค้าน "พระราชกฤษฎีกา" ให้บำเหน็จ-บำนาญ ส.ส.-ส.ว.ฉบับนี้ ขอเชิญท่านร่วมแสดงความคิดเห็น และส่งข้อความนี้ให้กับเพื่อนๆ ด้วย
ร่วมลงชื่อคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ไปที่ ตู้ ปณ.๖๙ ปณจ.สามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐
และส่งสำเนาบัตรประชาชน ขีดคร่อมด้วยข้อความว่า "ร่วมลงชื่อคัดค้านกฎหมายบำเหน็จ-บำนาญ ส.ส.-ส.ว." ไปด้วย
ครับ..เผอิญผมมีความคิดเห็นตรงกันกับอี-เมล์นี้ จึงยินดีนำข้อความสำคัญในจดหมายชี้ชวนเพื่อ "เซฟเงิน" เลี้ยงดูคณะบุคคลที่ไม่สมควรเลี้ยง และเพื่อช่วยกันลงชื่อคัดค้านการออก พ.ร.บ.บำเหน็จ-บำนาญ อันเป็นเหมือน "เห็บ-หมัด" ที่จะเกาะและกัดกินชาวบ้านไปจนตาย
สูตร "การเมืองใหม่" จะของคณะไหนก็ตาม ที่กำลังวิจัย-วิจารณ์กันอยู่ ฝากพิจารณาอย่ามี "เงินมักได้" ให้กับ ส.ส.-ส.ว.อย่างนี้เป็นอันขาด รายการนี้ก็เห็นทีต้องขอแรงพันธมิตรฯ "ฝึกงาน-การเมืองใหม่" ช่วยทำลายกฎหมาย "เห็บ-หมัด" อย่าให้ออกมากัดชาวบ้านได้เลย..พ่อคุณ.
เอาของลุงเปลวมาแปะเพิ่ม
แต่คุ้นๆ ว่าเรื่องนี้เคยโดนถล่มตกไปตั้งหลายปีแล้วนะครับ
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9480000105846เป็นการยัดไส้ครั้งใหม่หรือเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ค้างปี งงครับ