ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-11-2024, 04:22
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 [2]
เปิดบันทึก: ระหว่างข้าพเจ้ากับระบอบทักษิณ มาจนถึงการเมืองใหม่  (อ่าน 6658 ครั้ง)
papangping
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6


« ตอบ #50 เมื่อ: 18-09-2008, 23:03 »

น้องคนเขียนนี่น่าจะเขียนส่งหนังสือ 'ศาลาคนเศร้า' บ่อยซิท่า....ออกแนวน้ำตาท่วมจอ น้ำลายแตกฟอง เนียนๆเลยน๊า

ผมว่าทักษินทำตัวน้ำเน่า น้ำตาท่วมมากกว่าอีกนะ
รออ่านต่อครับ เขียนได้ดีมากๆ อยากเขียนได้แบบนี้มั่งจัง เวลาเถียงกับพวกทักษินหรือพวกคนกลาง(ฝ่ายทักษิน) ยังตอบโต้ไม่ค่อยทัน
อยากให้ลงความเห็น เกียวกับความเสียหายที่ระบอบทักษินทำปรียบเทียบกับผลงานของระบอบทักษิน ให้ลึกกว่านี้อีกนิดนึง จะดีมากเลย

เป็นกำลังใจให้ครับ (อยากอ่านต่อแล้ว) 
บันทึกการเข้า
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #51 เมื่อ: 20-09-2008, 04:23 »

(9)

มีคำถามว่าถ้าตาชั่งเอียง ใครจะเป็นคนคอยตรวจสอบตาชั่ง?

การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมและอยู่รอดมาได้จนถึงป่านนี้ ก็เพราะพวกเราทุกคน ต่างก็มีตาชั่งภายในตัวเองอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
ตั้งแต่ระดับต่ำเรียกว่า สามัญสำนึก
ไปจนถึงระดับสูงเรียกว่า มโนธรรมสำนึก

หลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "หากมีผู้ใดพูดโกหกบิดความจริงทั้งที่รู้อยู่  โดยไม่มีความละอายแล้ว ก็ไม่มีความชั่วชนิดใดๆ อีกแล้วที่ผู้นั้นจะทำไม่ได้"

ซึ่งโดยปกติทั่วไป ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ก็ย่อมใช้เป็นมาตรฐานในการวัดคนได้ในทุกยุคทุกสมัย

แล้วเราลองมาดูตัวอย่างประเด็นที่ระบอบทักษิณฝังหัวไว้ให้คนเกิดความเชื่อ เช่น:

"รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกหมกเม็ดจากขบวนการล้มพุทธ วางแผนถอดศาสนาพุทธออกไปจากการเป็นศาสนาประจำชาติตามรัฐธรรมนูญ"
โกหก! ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือก่อนหน้านั้น ก็ไม่เคยมีการบัญญัติศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด มีเพียงบัญญัติไว้อย่างชาญฉลาดว่า "พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมถก (ผู้ให้ความช่วยเหลือค้ำจุนทุกศาสนา)" ซึ่งก็ถือเป็นการรับรองถึงสถานะพิเศษที่สุดของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยไว้อยู่แล้ว
และประเทศไทยก็มีประชากรหลายศาสนาอยู่ร่วมกันมาได้โดยไม่เคยมีประเด็นปัญหาจริงๆ จังๆ ว่า คนนับถือศาสนาใดมีความเป็นคนไทยมากหรือน้อยกว่าคนศาสนาอื่นแต่อย่างใด

สำหรับการจะบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดนั้น สามารถทำได้ แต่คนเสนอควรจะอธิบายให้ได้ด้วยว่า บัญญัติไว้แล้วจะมีผลตามกฎหมายที่ผูกมัดประชาชนในชาติอย่างไรบ้าง และจะมีผลดีผลเสียอื่นๆ อย่างไร หรือมีวาระซ่อนเร้นที่จะให้บางนิกายบางกลุ่ม อ้างความเป็นศาสนจักรเข้ามาแสวงหาอำนาจ ก้าวก่ายอำนาจฝ่ายอาณาจักร สถาปนาตนขึ้นเป็นองค์กรอำนาจที่แตะต้องไม่ได้ กีดกันและกวาดล้างทำลายนิกายอื่นหรือผู้ที่มีความเห็นในหลักศาสนาแตกต่างออกไป ว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นขบวนการล้มพุทธ รับเงินต่างชาติมาทำลายพระพุทธศาสนา หรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่??

ในปัจจุบัน ประเทศที่บัญญัติศาสนาประจำชาติไว้ในกฎหมายสูงสุดของตน ส่วนใหญ่หลักศาสนาของประเทศเหล่านั้น จะบัญญัติจุดมุ่งหมาย หรือมีแนวคำสอนที่ผลักดันให้นำกฎหมายศาสนามาบังคับใช้เหนือรัฐอยู่แล้ว
แต่พระพุทธศาสนา โดยคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา ไม่เคยบัญญัติไว้ มิได้มีจุดมุ่งหมายของศาสนาเพื่อสถาปนาอำนาจปกครองแบบใดๆ และมิได้มีวิธีการเผยแผ่ในลักษณะนั้น แต่กลับให้เผยแผ่พระศาสนาด้วยศรัทธาและปัญญา ทำให้คนทั่วไปได้สัมผัสเอง รู้เห็นเอง และยอมรับเองอย่างกว้างขวางมากกว่า ทรงตรัสไว้ว่าพระศาสนาจะสืบต่อไปได้ด้วยความร่วมมือกันรักษาของพุทธบริษัท 4 และทรงตรัสอีกว่า ตราบใดที่มีผู้ทำตามพระธรรมคำสอน เป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
พระพุทธศาสนา จะอยู่รอดปลอดภัยและรุ่งเรืองได้ก็เพราะพุทธบริษัท ไม่ว่าพระหรือชาวบ้าน ว่ามีความเข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนแค่ไหน เป็นหลัก มากกว่าการบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ


"การเมืองใหม่ 70/30 จะเป็นการปล้นอำนาจไปจากมือประชาชน ให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้งแค่ 30 ส่วน อีก 70 ส่วน มาจากการเลือกสรร ซึ่งก็คือการแต่งตั้งมาโดยพันธมิตรฯ และใครก็ไม่รู้ที่ถูกชักใยโดยอำนาจเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยอยู่อย่างแน่นอน"
โกหก! การเลือกสรรที่ว่า ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งมาแต่งตั้ง แต่หมายถึงการเลือกตั้งนั่นแหละ เพียงแต่มาจากวงวิชาชีพหรือกลุ่มสังคมต่างๆ นอกเหนือจากการแบ่งตามเขตพื้นที่
การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง กรรมวิธีย่อยๆ อย่างหนึ่งในกระบวนการของระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด และแน่นอนว่ามันก็มีจุดบกพร่อง ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้มากเหมือนกัน
โดยเฉพาะในสภาพสังคมของประเทศไทยเรา ที่ชาวบ้านหรือแม้แต่ชาวเมืองในบางแห่ง ยังต้องขึ้นอยู่กับอิทธิพลท้องถิ่น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หัวคะแนนต่างๆ อยู่มาก
คุณคิดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง จะมีสภาพผูกขาดเก้าอี้ สส. หรืออำนาจบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นสมบัติประจำโคตรเหง้าตระกูลไม่กี่ตระกูลสืบทอดกันไป แบบที่เป็นอยู่หลายๆ ที่ทั่วประเทศเราอย่างนั้นจริงๆ หรือ?

การเลือกตั้งแบบไม่ขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่ แต่ไปขึ้นกับกลุ่มสังคมวิชาชีพแทน ก็เป็นวิธีการอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแบบที่พันธมิตรฯ เสนอมามันก็ยังไม่ลงตัว มีจุดอ่อนอยู่ที่ต้องปรับปรุงต่อไป เปรียบเทียบกับรูปแบบอื่นๆ ที่มีกลุ่มอื่นเสนอมา
อย่างระบบการเลือกตั้งปาร์ตี้ลิสท์ หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2540 นั่นก็คือวิธีการเลือกตั้งที่ไม่ขึ้นอยู่กับเขตพื้นที่เหมือนกัน แล้วเราก็ยังใช้กันมาจนถึงตอนนี้โดยไม่เห็นมีใครต่อต้านคัดค้านอะไรไม่ใช่หรือ?

แต่มาพลาดตรงคำว่า "เลือกสรร" เป็นคำที่ถูกนำไปบิดเบือนขยายความให้ผิดเพี้ยน จนกลายเป็นเหมือน "แต่งตั้ง" ไปได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าระบอบทักษิณก็ได้ใช้ข้อได้เปรียบในการชิงทำโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนทั่วๆ ไปเกิดความเข้าใจแบบนั้นไปแล้ว

ถึงอย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่ของประเทศไทยจะออกมาเป็นอย่างไรจริงๆ นั้น ไม่ใช่อยู่ที่พันธมิตรฯ กลุ่มเดียว แต่เป็นงานของหลายๆ ฝ่ายในสังคมต้องช่วยกันคิดช่วยกันเสนอให้เป็นรูปเป็นร่างโดยไม่ปล่อยให้ล่าช้าออกไปอีก


"รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกเขียนขึ้นมากีดกันและทำลายฝ่ายการเมืองไทยรักไทยโดยเฉพาะ จนทำงานไม่ได้ และรัฐบาลล้มเหลวเพราะถูกจับผิดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา"
โกหก! ฐานความผิดหลายๆ อย่าง ที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนโดนอยู่ ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และฉบับก่อนๆ ก็บัญญัติไว้ ไม่ใช่เพิ่งจับยัดเข้าไปลอยๆ ในฉบับปี 2550 และถ้าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นไหนๆ ขึ้นมาเป็นรัฐบาลตอนนี้ ถ้าทำผิดก็คือผิดตามกฎหมายนี้เหมือนกัน

และคงไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนๆ ของอารยะประเทศใดๆ ที่ยอมให้นายกฯ และรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้จากในคุกตะรางหรอกครับ

ในกรณีของนายสมัคร คดีความที่ค้างคาอยู่และกำลังจะเข้ามาเพิ่ม ก็เป็นเพราะเขาไปทำตัวเองทั้งนั้น
กฎระเบียบของข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง ที่ป้องกันไม่ให้ไปรับจ้างหาผลประโยชน์กับธุรกิจเอกชน เข้าไปมีผลประโยชน์พัวพันกับเอกชน ก็มีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ได้มีมือที่มองไม่เห็นของอำมาตย์ศักดินาที่ไหนไปง้างปาก บังคับให้เขาพูดจาหมิ่นประมาทใส่ความผู้อื่นแต่อย่างใด
(หมิ่นประมาทเป็นคดีอาญาทั่วไป ไม่ใช่การผิดระเบียบทางการเมืองอีกด้วย)


vvvv (มีต่อ)

บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #52 เมื่อ: 20-09-2008, 04:27 »

^^^^ (ต่อ)

"ท่านทักษิณและพรรคพวกเท่านั้นที่มีความหวังดี นึกถึงคนยากคนจน และเป็นที่พึ่งให้กับพวกเราได้อย่างแท้จริง ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่อยู่ข้างท่านทักษิณ ก็มีแต่พวกชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง ที่ไม่เข้าใจคนจน อิจฉาคนจนอย่างพวกเรา ไม่อยากให้ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาเทียบเท่ากับพวกเขา เพราะอยากกดพวกเราเอาไว้เป็นเหยื่อขูดรีดกดขี่ต่อไปเท่านั้น ประเทศไทยไม่เคยไม่มีนโยบายช่วยเหลือคนจนและคนด้อยโอกาสมาก่อนเลย และก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ถ้าไม่มีระบอบทักษิณ และถ้าระบอบทักษิณถูกโค่นล้มลงไป พวกชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงก็จะยกเลิกนโยบายดีๆ เหล่านี้และริบเอาสิทธิประโยชน์ไปจากพวกเราทั้งหมด ชนชั้นล่างจะถูกปล่อยให้ตายอย่างทรมานโดยไม่มีใครสนใจ"
โกหก! อย่างที่บอกว่านโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยหลายๆ อย่าง ก็รวบรวมและต่อยอดขึ้นมาจากสิ่งที่มีคนกำลังริเริ่มและพัฒนาอยู่บ้างแล้วในเวลานั้น
และระบบช่วยเหลือคนยากคนจน คนอนาถา ก็ย่อมมีพื้นฐานของมันอยู่แล้วแน่นอนในสังคมไทยก่อนหน้า หรือคุณคิดว่าก่อนยุคไทยรักไทย ประเทศไทยเราเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน มีแต่พวกอนารยชนอยู่อาศัยและครองอำนาจมาตลอด?

เมื่อพัฒนาการของสังคมมาถึงจุดที่จะมีระบบรัฐสวัสดิการ ไม่ว่าใครจะเป็นคนผลักดันหรือขับเคลื่อน จะเร็วหรือจะช้าแต่มันก็ต้องเกิดขึ้น และพัฒนาขึ้นจนเป็นส่วนปกติของสังคมไปอยู่แล้ว

ดูอย่างการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลเผด็จการ คมช. จะไปพาลยกเลิกนโยบายช่วยคนยากคนจนและคนด้อยโอกาสไปเสียให้หมดอย่างที่ใครอาจจะวิตกจริตกัน ตรงกันข้าม กลับช่วยปรับปรุงหลายนโยบายที่เป็นประโยชน์ เช่นประกันสุขภาพ-รักษาฟรี อีกด้วยซ้ำ
และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคอื่นๆ ก็จำต้องหันมาคิดปรับนโยบายให้เข้าหาชาวบ้านรากหญ้าด้วยกันทั้งหมด

ขอให้เข้าใจว่า ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง นักวิชาการ หรือกลุ่มไหนๆ ก็แล้วแต่จะเรียก ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ต่อต้านหลักการรัฐสวัสดิการ ไม่ได้ต่อต้านนโยบายที่ช่วยโอบอุ้มผู้ยากจนและเดือดร้อนในสังคมเลย
ประเทศที่มีความสงบสุข มีความเจริญและมั่นคงหลายประเทศ ก็มีระบบรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็ง และเคารพในมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานที่จะต้องช่วยคนยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของตนเอง เป็นชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือจะเป็นผู้ลี้ภัยมาจากประเทศอื่น  ด้วยกันทั้งนั้น

แต่นโยบายประชานิยมทั้งหลายของระบอบทักษิณ มักจะเป็นการเอาผลไม้พันธุ์ดีๆ มาตัดต่อพันธุกรรมให้กลายเป็นผลไม้พิษที่มีฤทธิ์เสพติด ประโยชน์เดิมของมันก็ยังมีอยู่ แต่มีโทษที่ถูกเอาไปใช้ในทางที่ผิดอย่างเป็นระบบ และสุดท้ายแล้วก็ก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างสาหัสต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม

สังคมไทยเองได้รับบทเรียนกันมาแล้ว ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่เมื่อปี 2540 และจากวิกฤตชาติในหลายปีที่ผ่านมาหลังจากระบอบทักษิณเรืองอำนาจ
นโยบายการพัฒนาที่เน้นไปปั่นฟองสบู่ อุ้มกลไกทุนนิยมขนาดใหญ่แบบสุดโต่ง อุ้มแต่พ่อค้านายทุนนักธุรกิจให้ล้มบนฟูก คงยากจะได้รับการสนับสนุนจากสังคมโดยรวมอีก
และถ้าบอกว่าจะหันไปพัฒนาที่รากฐานให้แข็งแกร่ง มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลับมาหาชาวรากหญ้าอยู่นั่นเอง เพียงแต่จะทำด้วยวิธีที่ถูกต้องให้ผลยั่งยืน และมีความจริงใจต่อปัญหาได้แค่ไหนเท่านั้น

ผมเชื่อว่าระบบการเมืองที่เป็นธรรม ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ควรจะเป็นเหมือนระบบนิเวศน์ในธรรมชาติที่กลุ่มต่างๆ หรือถ้าใครจะยังแบ่งเป็นชนชั้นต่างๆ ก็ตาม สามารถอยู่กันไปได้อย่างปกติสุขและไม่รู้สึกอึดอัด ในที่ทางของตน และมีความเป็นอยู่ที่พึ่งอาศัยซึ่งกันและกันตามสมควร
มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องทำให้สังคมโลกเป็นสนามรบ ที่ชาวรากหญ้าต้องมาฟาดฟันกับชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง นักวิชาการ คนเมืองกรุง หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้มันพินาศสิ้นเผ่าพันธุ์กันไปข้างหนึ่ง ที่แข่งกันให้คนที่รวมตัวกันได้มากกว่า ตั้งตนขึ้นมาได้ใหญ่ที่สุด ต้องพยายามแผ่ขยายตัวออกไปกลืนกินส่วนอื่นๆ ที่เหลือให้หมดสิ้น
ความเป็นศัตรูระหว่างชาวรากหญ้า กับชนชั้นกลาง คนเมือง ฯลฯ ที่มันหนักหนาสาหัสมาจนถึงขั้นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เห็นเป็นเพราะการสร้างเงื่อนไขของพวกนักการเมืองที่หวังยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือระบบสังคมชาติ เบี่ยงเบนความสนใจจากอำนาจที่กดขี่ตัวจริงไปหาเป้าหมายลวง ทำให้ประชาชนทุกชนชั้นนอกจากพวกตนเกิดความขัดแย้งและอ่อนแอเพื่อกดลงเป็นทาสของพวกตนไปนานๆ นั่นแหละ


"รัฐบาลประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายกชวน เป็นต้นเหตุของพิษเศรษฐกิจและเป็นผู้นำประเทศชาติไปเป็นทาส IMF แต่ท่านทักษิณและพรรคไทยรักไทยเท่านั้นเป็นวีรบุรุษผู้มาไถ่กู้ชาติให้หลุดพ้นจากอำนาจของ IMF ได้ในเวลาไม่กี่ปี และยังพัฒนาชาติจนใกล้จะได้เป็นมหาอำนาจแล้วแท้ๆ ถ้าไม่รีบนำท่านทักษิณกลับขึ้นมามีอำนาจ ประเทศไทยเราจะต้องล้มละลายจนกลับไปเป็นทาส IMF อีกรอบแน่ๆ"
โกหก! วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เกิดขึ้นในปลายสมัยรัฐบาลชวลิต มีรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มีรองนายกฯ ฝ่ายคลังชื่อ วีรพงษ์ รามางกูร มีรัฐมนตรีคลังชื่อ ทนง พิทยะ มีรัฐมนตรีช่วยคลังชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง นอกจากนี้ยังมีชื่อสมัคร เสนาะ เฉลิม นั่งอยู่ใน ครม. ครบชุด
รัฐบาลชวน 1 ก่อนหน้านั้น มีการเปิดเสรีทางการเงิน ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นการเปิดช่องโหว่โดยยังไม่ได้สร้างระบบการเงินของประเทศให้เข้มแข็งมากพอ
หลังจากพ้นรัฐบาลชวนไป ผ่านรัฐบาลบรรหาร มาจนถึงรัฐบาลชวลิต ก็เริ่มมีสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจมาให้เห็นแล้ว แต่สองรัฐบาลที่กล่าวมาก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอุดช่องดังกล่าว หรือเสริมพื้นฐานระบบป้องกันให้แข็งแกร่งสักเท่าไรนัก

ช่วงก่อนปี 2540 เต็มไปด้วยการปั่นฟองสบู่ในธุรกิจการเงิน ธนาคาร บ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม หุ้น ฯลฯ จนกระทั่งระบบการเงินการคลังที่พื้นฐานไม่แข็งแรงพอถูกทุนต่างชาติโจมตี และเกิดผลพังทลายเป็นทอดๆ จากตลาดหุ้น ค่าเงิน ทุนสำรอง ไปถึงสถาบันการเงินล้ม ฯลฯ
หลังจากประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคม 2540 แล้วนำประเทศไทยไปเข้าโครงการรับความช่วยเหลือจาก IMF ในเดือนสิงหาคม 2540 จากนั้น พล.อ. ชวลิตก็ประกาศลาออกในเดือนพฤศจิกายน 2540 นายชวน หลีกภัยตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วงต่อในภาวะวิกฤต และมีการเปิดประมูล ปรส. ในปี 2541

อันนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่อง ปรส. ซึ่งมีความจริงอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือกระแสที่ว่า "รัฐบาลชวนถือโอกาสยึดเอากิจการที่ล้มลงของคนในชาติ ไปแกล้งขายทอดตลาดถูกๆ ให้ต่างชาติเข้ามากว้านซื้อ" แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนโต้แย้งในทำนองว่า "ราคาที่ว่าถูกนั้นคือถูกกว่าราคาฟองสบู่ ถ้าขายตามราคาฟองสบู่ของหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ ที่ปั่นกันขึ้นไปสูงลิ่วๆ เกินมูลค่าพื้นฐานจริงๆ ของสินทรัพย์นั้นมาก แล้วใครจะบ้ามาซื้อ ในเมื่อฟองสบู่แตกให้คนเห็นกันทั้งโลกไปแล้ว? แล้วคนไทยตอนนั้นก็แทบไม่เหลือใครมีกำลังซื้อ ก็เลยเสร็จทุนต่างชาติไปเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่นับว่าการขายทอดตลาดแบบนั้นคือขายแบบจนตรอก ขายแบบคนร้อนเงิน ที่มีอำนาจต่อรองน้อยอีกต่างหาก"
แต่เสียงอีกด้านหนึ่งก็ถูกกลบไปเกือบสนิทด้วยการโฆษณาชวนเชื่อเผยแพร่แต่ด้านเดียวซ้ำๆ อีกเช่นเคย
หมายเหตุ: ปัจจุบัน นายอมเรศ ศิลาอ่อน ที่เป็นประธาน ปรส. ในสมัยนั้น เพิ่งจะถูกส่งฟ้องในข้อหาขายสินทรัพย์โดยมิชอบ พัวพันกับบริษัทเลห์แมนที่กำลังมีปัญหาอยู่ในอเมริกาตอนนี้ เมื่อไหร่ที่มีการพิจารณาคดีคงเป็นโอกาสที่สังคมไทยจะได้รับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเพิ่มขึ้นอีก

จากปลายสมัยรัฐบาลชวลิต ผ่านรัฐบาลชวนมาจนปลายปี 2543 เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างแล้วจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ถึงตอนนั้นประเทศไทยกู้หนี้จาก IMF แล้วขอเบิกมาเป็นงวดๆ ตามความต้องการใช้ (ไม่ได้ยื่นเบิกก้อนใหม่เพิ่มแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542) รวมทั้งหมดประมาณ 12,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ และเริ่มมีการทยอยชำระหนี้ตั้งแต่ปี 2543 มีกำหนดเวลาที่ต้องชำระหนี้ให้ครบภายในปี 2548
พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคมปี 2544 และมีการประกาศใช้หนี้ IMF ทั้งหมดในเดือนกรกฎาคมปี 2546

การรีบเร่งใช้หนี้ IMF ทั้งหมดก่อนกำหนด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งก็อีกนั่นแหละ ระบอบทักษิณได้ประโคมแต่ข้อดีอย่างวิเศษเลิศเลอให้คนในชาติเกิดความคล้อยตามอย่างฝังใจ และถือโอกาสใช้เป็นข้อเหยียบย่ำโจมตี และโยนบาปไปให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างหนักหนาสาหัส
นอกจากนั้น จากการที่ผู้คนถูกดึงและเบี่ยงเบนความสนใจให้ไปจดจ่ออยู่กับหนี้จาก IMF ก็ทำให้ลืมนึกถึงหนี้สาธารณะก้อนอื่นๆ ไปด้วย ว่าจะมีใครเล่นกลยักย้ายเงินก้อนโน้นมาถมก้อนนี้ กู้หนี้จากที่อื่นมาชำระหนี้เดิม แล้วอ้างว่าเขาช่วยปลดหนี้หรือทำให้เงินงอกขึ้นมาได้อย่างปาฎิหาริย์ บ้างหรือเปล่า?

สุดท้ายถ้าลองคิดดูดีๆ ถ้าตอนที่พรรคไทยรักไทยขึ้นมามีอำนาจ ประเทศไทยย่อยยับเหลือแต่ซากแล้วอย่างที่หลายๆ คนอาจจะถูกระบอบทักษิณทำให้รู้สึกไปอย่างนั้น แล้วรัฐบาลจะเอาทรัพยากรที่ไหนที่เหลืออยู่มาใช้ หรือจะเอาเครดิตที่ไหนไปขอกู้ยืมเงินจากต่างชาติ เพื่อมาทำโครงการประชานิยมและเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหลายได้?


"ท่านทักษิณและพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา แต่พรรคฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกฝักไฝ่เผด็จการ ยอมก้มหัวให้และชอบเก็บกินผลจากอำนาจเผด็จการทหารมาตลอด ตัวอย่างเช่นตอนพฤษภาทมิฬ"
ตอแหล! ถ้าพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามระบอบทักษิณที่เหลืออยู่พรรคเดียวในขณะนี้ ถึงแม้จะดูว่าไม่ค่อยมีบทบาทออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน ต่อรัฐบาลเผด็จการทหารที่ผ่านๆ มา จนถูกกล่าวหาว่าสมยอม
(ที่จริงผมเห็นว่ามันก็เป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของพรรคนี้ ที่ชอบรอเกาะตามกระแส และชอบวิถีทาง "ช้าๆ สบายๆ แต่แน่ใจว่าปลอดภัยเอาไว้ก่อน" มากเกินไป)
แต่ถ้าลองไปดูประวัตินักการเมืองและพรรคอื่นๆ ที่ผู้สนับสนุนระบอบทักษิณพากันสรรเสริญว่าเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" อยู่ตอนนี้บ้างล่ะ?
มีใคร ที่เคยเข้าไปร่วมหัวจมท้ายและได้รับผลประโยชน์จากอำนาจเผด็จการในอดีตมามากกว่ากันแน่?

ในตอนพฤษภาทมิฬ 5 พรรคมารสมัยนั้น ที่เข้าไปร่วมกับรัฐบาลสุจินดา คือพรรคประชากรไทย พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคสามัคคีธรรม พรรคราษฎร
มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทยในสมัยนั้น เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญใน 5 พรรคมาร ในการพลิกลิ้นเรื่องแก้-ไม่แก้รัฐธรรมนูญ จนเป็นชนวนเหตุหนึ่งให้เกิดพฤษภาทมิฬ
ซ้ำยังมีรองนายกฯ ชื่อ สมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ริเริ่มพูดว่า "จำลองพาคนไปตาย" เป็นคนแรกหลังพฤษภาทมิฬ จนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา ซ้ำยังพูดถึงวีรชนหมาดๆ ที่สละชีวิตในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการในครั้งนั้นว่า "ไปอยู่ในที่เกิดเหตุทำไม ถ้านอนอยู่บ้านจะตายไหม?" อีกด้วย

และที่มาของคำกล่าวว่า "ถ้าไม่มีบิ๊กจ๊อด ก็ไม่มีทักษิณในวันนี้" กับภาพประทับใจของทั้งสองในครั้งก่อน ก็หาอ่านหาดูได้ไม่ยากเท่าไหร่เลย

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลหอยที่เกิดจากการรัฐประหารหลัง 6 ตุลาคม 2519 ก็ยังมีนายสมัครนี่แหละเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ที่ทำบัญชีหนังสือต้องห้ามและมีการไล่ปิดสื่อขนานใหญ่ที่สุด

(มีต่อ)

บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
istyle
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 853



« ตอบ #53 เมื่อ: 20-09-2008, 08:08 »

ขอโทษครับ โพสผิดกระทู้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2008, 08:12 โดย istyle » บันทึกการเข้า
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #54 เมื่อ: 20-09-2008, 08:58 »

งดงามครับ
ทั้งเหตุทั้งผล
ผ่านตาไปได้ไง? เพิ่งเจอ
ส่งกำลังใจมาครับ
และขออนุญาตพิมพ์ใส่แฟ้มไว้อ้างอิง


บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
แมมมอธ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 133



« ตอบ #55 เมื่อ: 20-09-2008, 10:20 »

เมื่อก่อนเคยหลงชื่นชมทักษิณ  คิดว่าคนรวยไม่โกง  พอยิ่งนานไปเริ่มเห็นธาตุแท้   นโยบายเอื้อธุรกิจตนเองทั้งนั้น   ติดตามข่าวสารตลอด   ดูเวลาเขาให้สัมภาษณ์  พูดกลับไปกลับมา  เหมือน สมัคร  เลย   จอมแถไปได้เรื่อยๆๆ    คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่พฤติกรรม  คำพูด  และการกระทำ     คนไทยเขาไม่ได้โง่นี่นา                   
บันทึกการเข้า
papangping
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6


« ตอบ #56 เมื่อ: 23-09-2008, 20:56 »

รออ่านต่อ
ถ้าเขียนจบเมื่อไหร่ขออนุญาติไปทำเป็นเอกสารเผยแพร่นะครับ
บันทึกการเข้า
nu_cool
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2



« ตอบ #57 เมื่อ: 25-09-2008, 14:55 »

  รออ่านยู๋นะ..คุณวิหค
บันทึกการเข้า
hide
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 157



« ตอบ #58 เมื่อ: 25-09-2008, 15:16 »

รอเครื่องปริ้นซ่อมเสร็จก่อน

จะปริ้นรวบรวม

อ่านในคอมตาลาย

 
บันทึกการเข้า
จะบ้าตาย
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 120



« ตอบ #59 เมื่อ: 25-09-2008, 16:17 »

เยี่ยม     
บันทึกการเข้า
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #60 เมื่อ: 30-09-2008, 23:24 »

ไม่สงวนสิทธิ์ครับ

ขอเชิญเผยแพร่ได้ตามสะดวก 

*********

(10)

ต่อจากตอนที่แล้ว

ผมไม่ได้จะบอกว่านโยบายทั้งหมดของไทยรักไทย ใช้ไม่ได้ ทักษิณไม่ได้เก่งอะไรเลย หรือการใช้หนี้ IMF เกิดขึ้นเองตามกลไกตลาดโลกล้วนๆ ไม่ใช่อย่างนั้น...

แต่การที่ประเทศชาติกว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่ความสามารถของใครคนใดคนหนึ่ง ในยุคสมัยใดสมัยหนึ่งเท่านั้น
การที่จะวัดว่าใครเก่งไม่เก่ง ดีไม่ดีในประวัติศาสตร์นั้น ก็ต้องดูสถานการณ์ เงื่อนไขที่ส่งเสริมหรือบีบคั้นในตอนนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเอาสถานการณ์ในที่หนึ่งเวลาหนึ่ง ไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นในที่อื่นเวลาอื่นอย่างคับแคบและมักง่าย ตามอคติของตน
และยิ่งไปกว่านั้น ในห้วงเวลาที่เกิดวิกฤต ก็มีตัวละครสำคัญในฝ่ายไทยรักไทย และพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ปัจจุบันนี้ ร่วมละเลงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น การสร้างกระแสยกตนเป็นผู้วิเศษที่มาไถ่กู้ประเทศชาติได้แต่เพียงผู้เดียว แล้วโจมตีเหยียบคนอื่นๆ นอกจากพวกตนว่าไม่เคยสร้างทำอะไรให้ประเทศชาติเลย มีแต่ทำให้ประเทศชาติล้าหลังและล่มจม จึงเป็นการกล่าวหาที่ อยุติธรรมอย่างที่สุด

เอาล่ะ สมมตินะครับ สมมติว่า...พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวถ่วง ไร้ความสามารถขนาดนั้นจริงๆ

แต่คุณคิดว่ามันสมควรแล้วหรือ ที่ประเทศชาติและประชาชน 60 กว่าล้านคน จะต้องมาถูกลงโทษ เพราะเหตุจากความไม่ได้เรื่องของพรรคนี้หรือพรรคอื่นใดก็ตาม ด้วยการถูกเหยียบไว้เป็นทาสของระบอบทักษิณ? นี่คือความยุติธรรมแล้วงั้นหรือ?

ตอนนี้ จะเป็นการโต้แย้งประเด็นโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ของระบอบทักษิณต่อจากคราวที่แล้ว ซึ่งมีอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ นั่นแหละ

"ศักดินา อำมาตยาธิปไตย ระบบอุปถัมป์ เป็นตัวถ่วงประเทศชาติและสังคมมาช้านาน จนมาถึงยุคนี้นี่แหละที่มีท่านทักษิณและพรรคพวกมาปลดปล่อยเรา จะได้พ้นจากระบบอุปถัมป์ให้เป็นเสรีชนกับเขาสักที"
เพ้อเจ้อ! หัดออกไปมองโลกความเป็นจริงดูบ้าง ทุกวันนี้มีหรือเปล่าที่ระบบศักดินา อำมาตยาธิปไตยที่ว่า (ซึ่งถ้าถามหาคำตอบจริงๆ ว่ามันหมายถึงอะไร หมายถึงใครบ้าง? ก็คงยากที่จะได้คำตอบชัดเจนแน่นอน ส่วนใหญ่ก็ดีแต่วาดภาพแบบคลุมเครือ ตีสำนวนกระทบกระเทียบไปเรื่อยๆ เท่านั้น) จะมามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไปได้ขนาดนั้น?

แล้วลองดูว่าบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ พ่อมดการเงิน นายทุนน้อยใหญ่ เข้ามาขูดรีดและกอบกินทรัพยากรของชาติโดยเบียดบังสิทธิของคนทำมาหากินอยู่แต่เดิม มีเท่าไหร่? ระบบการค้าที่เป็นธรรม ในปัจจุบันนี้มันมีจริงอย่างที่ถูกวาดภาพให้เคลิ้มฝันไว้โดยระบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์แค่ไหน? ใครที่ชอบจ้างแรงงานต่างด้าว ใครที่ชอบอาศัยความได้เปรียบในระดับโลกของตน มองหาประเทศกำลังพัฒนาที่จะยอมกดค่าแรงคนในชาติให้ต่ำๆ เพื่อให้พวกนี้เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อ ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินเราในการผลิต ทิ้งขยะและมลพิษมากมาย กับเศษเงินที่เป็นส่วนแบ่งเล็กๆ จากมูลค่าสินค้าไว้ให้เรา แล้วเราก็หลงชื่นชมยินดีกันว่า "ต่างชาติเอาเงินเข้ามาลงทุนแล้ว เราจะเจริญเป็นประเทศพัฒนาแล้วกับเขาเสียที" พวกนี้คือศักดินา อำมาตยาธิปไตยหรือเปล่า?

แล้วก็อย่าลืมมองที่พวกผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น แก๊งคนมีสี องค์กรอาชญากรรม อันธพาล ฯลฯ ที่โยงใยกับเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการดูด้วย ว่าคนพวกนี้รับใช้ใคร? ผูกติดกับอำนาจของใครบ้าง? ใช่พวกอำมาตย์ศักดินา ผู้ดีเก่า หรือว่าเป็นพวกนักการเมืองและนักธุรกิจที่ชอบอ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย?

ระหว่างสิ่งเหล่านี้ กับมโนภาพจากละครน้ำเน่าแนวๆ นางทาส หรือบ้านทรายทอง อย่างไหนที่มันเห็นเป็นจริงเป็นจัง ใกล้ตัวเราใน พศ. นี้มากกว่ากัน?

ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปี ก็มีผู้แทนราษฎรจากเขตพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไปนั่งหน้าสลอนอยู่ในรัฐสภา กล่าวกันว่าเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน มีอำนาจจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ออกกฎหมาย ทำโครงการต่างๆ มากมาย

ถามว่ามีมือที่มองไม่เห็นของอำมาตย์ศักดินาที่ไหน ไปฉุดรั้งไม่ให้พวกเขาใช้มืออันทรงเกียรติของพวกเขาในสภานั่นแหละ ยกชูขึ้นเพื่อประโยชน์กับประชาชน? มีมือที่มองไม่เห็นที่ไหนไปบีบขมับพวกเขาให้เกิดความคิดตีบตัน นึกประโยชน์ของชาติและพี่น้องประชาชนไม่ออกนอกจากหากินจากความเป็น สส. ความเป็น รมต. ไปวันๆ จนถึงทุกวันนี้ งั้นหรือ?

แล้วพวกนักการเมืองน้ำเน่าหน้าเก่าๆ นี่ไม่ใช่หรือ? ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเวทีการเมืองไทยไม่ยอมไปไหนสักที แล้วก็มีจำนวนไม่น้อยถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่รวมกันในคอกที่เรียกว่า "พรรครัฐบาล" ของ "ฝ่ายประชาธิปไตย" ในวันนี้

ถ้าพูดถึงระบบอุปถัมป์ ขอถามว่า ไม่ว่าเฉลิม อยู่บำรุง ก็ดี สมัคร สุนทรเวช ก็ดี และคนอื่นๆ อีกหลายคน คุณคิดจริงๆ หรือว่าคนพวกนี้ได้ขึ้นมาเป็นถึงนายกฯ เป็นถึงรัฐมนตรีของประเทศไทยด้วยความสามารถของตัวเอง โดยไม่เคยอาศัยเกาะชื่อทักษิณขึ้นมา? โดยไม่อาศัยการอุปถัมป์ค้ำชูจากพวกพ้องของทักษิณ?
ตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี ข้าราชการ สส. ถูกสืบทอดกันมาเหมือนสมบัติประจำตระกูลไม่กี่ตระกูล เรียกว่าระบบอุปถัมป์หรือไม่?
แล้วสภาพ "สภาผัวเมีย" ในยุคทักษิณเรืองอำนาจล่ะ เข้าข่ายระบบอุปถัมป์บ้างหรือเปล่า?

คำกล่าวว่า "ไม่เอาทักษิณ แล้วจะเอาใคร?" กับ "วัฒนธรรมเอื้ออาทร" แสดงถึงสภาพจิตแบบเสรีชน ประชาธิปไตยเต็มขั้น ไร้ภาวะที่หวังพึ่งพาผู้อุปถัมป์ แน่หรือ?


"พันธมิตรและฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ดึงฟ้าต่ำ ประโคมเรื่องขบวนการล้มเจ้า เอาสถาบันฯ มาโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดี เป็นการกระทำที่ใช้ได้หรือ?"
ตอแหล! อย่างที่พวกเราได้เห็นกันแล้วในระยะหลังๆ ว่าจักรภพ เพ็ญแข คิดและพูดอะไร? ดา ตอร์ปิโด คิดและพูดอะไร? คนพวกนี้อยู่กับใครและได้รับการโอบอุ้มจากใครบ้าง จนถึงทุกวันนี้คดีก็ยังไปไม่ถึงไหน ในขณะที่สนธิ ลิ้มทองกุล ไปเปิดเผยในม็อบพันธมิตร ให้คนทั่วๆ ไปได้รับรู้ว่ามีคนพวกนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่ ยังถูกสั่งฟ้องดำเนินคดีข้อหาเผยแพร่อย่างรวดเร็วทันใจ

คนพวกนี้มีอยู่ไม่น้อย ที่เวลาอยู่หน้าจอไม่มีใครมองเห็น ก็ไปเที่ยวสุมหัวกันในเว็บไซต์การเมืองหัวเอียงซ้าย เพื่อเขียนข้อความจาบจ้วงมุ่งร้าย ดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบันฯ เสียๆ หายๆ อยู่สารพัดเป็นขาประจำ (และแน่นอน ส่วนใหญ่จะควบคู่กับสรรเสริญเยินยอทักษิณเป็นเทวดาที่ห้ามใครแตะต้องไปด้วย) ถึงกี่เดือนกี่ปีกันแล้ว โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่รับผิดชอบดูแลด้านนี้โดยตรงไม่เห็นจะใส่ใจเข้ามาจัดการ
แต่พอมีโอกาสออกมาให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยกับคนอื่นกลางแจ้งเมื่อไหร่ คนพวกเดียวกันนี้แหละก็ทำฟูมฟายเป็นเดือดเป็นแค้นบอกว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ และผู้ที่ออกมาปกป้องสถาบันฯ ทั้งหลาย เป็นพวกเล่นวิธีสกปรก ดึงฟ้าต่ำ เอาสถาบันฯ มาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง (แบบที่พวกขวาจัดสมัยตุลาคม 2519 เขาทำกันใช่หรือเปล่า?)

ถ้าไม่หูหนวกตาบอดต่อความเป็นไปในบ้านเมืองจนเกินไป คงไม่ต้องบรรยายความให้มากไปกว่านี้ ขอจบประเด็น


"เมื่อตอนเลือกตั้ง 2 เมษายน ปี 49 พรรคฝ่ายค้านที่ขัดขวางบอยคอตการเลือกตั้ง และชักจูงให้คนเลือกไม่ออกเสียง เป็นการปฏิเสธวิถีทางประชาธิปไตย"
ตอแหล! ถ้าประชาชนมีสิทธิ์มีอำนาจอย่างแท้จริงตามที่คุยโม้ แล้วทำไมประชาชนจะลุกขึ้นมาแสดงเจตนาของตนเองว่า "ไม่พอใจกับตัวเลือกที่มีอยู่" บ้างไม่ได้?

ในเมื่อเกม "เลือกตั้ง 2 เมษา" ของพรรคไทยรักไทย เป็นการบีบทางเลือก และฉวยโอกาสยัดเยียดทางเลือกจอมปลอมนั้นให้กับทุกๆ คน ให้ลงมาเล่นในเกมที่ตนเองได้เปรียบ ซึ่งนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริง

ยังไม่นับว่าเป็นเกมที่เริ่มต้นด้วยความตระบัดสัตย์ หนึ่งในกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ไม่ทราบ ด้วยการยุบสภาหนีการอภิปราย
ทั้งที่เพิ่งจะประกาศก่อนหน้านั้นว่าจะไม่ยุบสภา
ทั้งๆ ที่สภาไม่ได้ผิด แต่เป็นปัญหาของรัฐบาลเอง
และทั้งๆ ที่ตนก็มีเสียงอยู่ล้นสภาอยู่แล้ว

เขาไม่จำเป็นต้องกลัวรัฐบาลจะล่มจากการยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจเลย
แล้วเขาทำไปทำไม?
ไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะมีโอกาสตอบโต้และชี้แจงในเวทีที่เปิดเผยต่อสาธารณะ อย่างเสมอหน้ากันหรอกหรือ?

พฤติกรรมฉกฉวยโอกาสประโคมข่าวพูดกรอกหูประชาชนอยู่ข้างเดียวซ้ำๆ ตลอดเวลา แล้วพอฝ่ายอื่นๆ จะลุกขึ้นมาโต้แย้งบ้าง ก็หาทางอุดปากหรือระดมมวลชนมาส่งเสียงตะคอกดังๆ กลบเสียงมันให้หมด ใครท้ามาดีเบท อภิปรายโต้ทางความคิดกัน ก็หัวหดทุกที แล้วพอเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ใช้อำนาจยุบเวทีมันเสียเลย

พฤติกรรมใช้การเลือกตั้ง ใช้ประชามติ อ้างเสียงสนับสนุนจำนวนมากเพื่อฟอกตัว และการเอาแต่ท้าให้มาลงเลือกตั้งแข่งกัน พยายามขีดเส้นนิยามระบบในความคิดของผู้คนใหม่เพียงแค่ว่า ประชาธิปไตย คือเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง เท่านั้น และ มีเสียงมาก มีพวกมาก ก็เท่ากับเป็นความถูกต้อง

ทำไมประชาชนที่ควรเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง จะต้องมายอมทนกับพฤติกรรมเหล่านี้? ทำไมเราต้องยอมให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งสักแต่เอาคำว่า "ประชาธิปไตย" มาหากินหลอกล่อเราอยู่ซ้ำๆ โดยที่เราไม่คิดจะมองหาความหมายที่แท้จริงของคำนี้กันเองบ้างเลย?

ในเมื่อต้องเลือกระหว่าง รูปแบบพิธีกรรมส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย กับ หลักการสำคัญของประชาธิปไตย
ก็ย่อมมีคนส่วนหนึ่งเลือกเอาสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นหลักการแท้จริง ยิ่งกว่าเปลือกชิ้นหนึ่งที่ชื่อ "เลือกตั้ง" นั่นเอง


vvvvvvvvv
บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #61 เมื่อ: 30-09-2008, 23:40 »


^^^^^^^^^

"พันธมิตรอยากได้การเมืองใหม่ เรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง แต่กลับไม่ยอมให้รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนแก้รัฐธรรมนูญ ก็เพราะคิดจะชิงเขียนรัฐธรรมนูญเองโดยไม่สนใจรับฟังเสียงของประชาชน ก็เพื่อจะยึดอำนาจกลับไปให้พวกเผด็จการ ศักดินา อำมาตยาธิปไตยเท่านั้น"
บิดเบือน! ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า นักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองในระบอบทักษิณที่มีประวัติบ่อนทำลายประชาธิปไตยมาแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่ควรได้รับความไว้วางใจให้ลงมือแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่เพียงผู้เดียว

ขออย่าได้ลืมว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เหนือกว่ากฎหมายอื่นๆ ทั้งหมด มีผลต่อความเป็นไปของประเทศชาติ ต่อชะตากรรมของคนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคน และจะกำหนดรูปร่างหน้าตาของระบบการเมืองโดยรวม

รัฐธรรมนูญกำหนดวิถีทางการขึ้นมามีอำนาจ การใช้อำนาจ และการพ้นไปจากอำนาจของนักการเมืองทั้งหลาย

ถ้าการแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น แล้วทำให้นักเลือกตั้งหากินลำบากขึ้น คิดว่าพวกเขาจะอยากแก้กันหรือ?

ถามจริงๆ คุณคิดว่า การให้นักเรียนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เลือกตั้งกันขึ้นมาเป็นสภานักเรียน แล้วมาทำหน้าที่ออกข้อสอบกันเอง มันสมเหตุสมผลหรือไม่?

จะให้กลุ่มโจรที่กำลังจะติดคุก มารวมหัวกันทำสำนวนฟ้องพวกตัวเองต่อศาลแทนตำรวจ มันสมเหตุสมผลหรือไม่?

ถ้ามีความจริงใจจะปฏิรูปการเมือง พัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ขอให้ตั้ง สสร. ขึ้นมา รวบรวมข้อมูลและสำรวจความคิดเห็นของสาธารณะให้กว้างๆ ก่อนร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นพื้นฐานระบบการเมืองประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งมั่นคง ให้ประชาชนลงประชามติรับรองจากตัวเลือกหลายๆ รูปแบบ จะเป็นไรไป?

คุณไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่า...
ทำไม ฝ่ายที่อวดอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถึงเสนอแต่วิถีทางที่จะรวบอำนาจทุกอย่างเข้ามาไว้เป็นกระจุกเดียว ให้ขึ้นอยู่กับนักเลือกตั้งไม่กี่คน ไม่กี่ตระกูล มาตลอด?
แล้วทำไม ฝ่ายที่ถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายรับใช้เผด็จการ ศักดินา อำมาตยาธิปไตย กลับเสนอวิถีทางที่จะเปิดเวทีการเมืองให้เป็นเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยทั่วไป เสนอวิถีทางที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ให้ความรู้กับชาวบ้านให้มีความตื่นตัวทางการเมือง และเรียกร้องการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง?


"การเมืองประชาธิปไตยต้องคุยกันในสภาเท่านั้น พวกม็อบข้างถนนไม่ใช่ประชาธิปไตย การมีม็อบออกมาประท้วงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศชาติล้มละลาย ต่างชาติหวาดผวาไม่กล้ามาเที่ยว ไม่กล้ามาลงทุน ชาวโลกจะมองเราอย่างประนามหยามเหยียดว่าด้อยพัฒนาทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย"
โกหก! โกหก! และ โกหก! การชุมนุมประท้วงเป็นการแสดงออกถึงความคับข้องใจของประชาชน แสดงออกให้นักการเมืองและสังคมสนใจรับรู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ม็อบมีมาคู่กับการพัฒนาทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย นานาประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตยก็ยังมีเรื่องของม็อบอยู่ไม่ขาด ก็ไม่เห็นว่าประเทศเหล่านั้นจะล่มจมเพราะม็อบแต่อย่างใด
และส่วนใหญ่ ประเทศที่ยอมรับกันว่า "พัฒนาแล้วในทางการเมือง" นักการเมืองของประเทศเหล่านั้นก็มักจะหน้าบางเพียงพอ เมื่อมีประชาชนออกมาชุมนุมประท้วงเป็นวงกว้าง ก็ไปทบทวนดู มองเห็นว่าประชาชนมีปัญหา เกิดความเดือดร้อนภายใต้การบริหารงานของตนจนถึงกับต้องออกมาชุมนุมประท้วง ก็เกิดความละอายแก่ใจ ลาออกจากตำแหน่ง การประท้วงก็จบลงได้โดยไม่ยืดเยื้อยาวนานสร้างความเสียหายมากนัก

เมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 เมื่อครั้ง 6 ตุลาคม 2519 เมื่อครั้ง 18 พฤษภาคม 2535 ก็เป็นสูตรสำเร็จเดิมๆ ของผู้ถืออำนาจรัฐไม่ใช่หรือ ที่จะตีโพยตีพายอ้างว่าการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน เป็นการก่อความวุ่นวาย เสียหายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ?
ทัศนคติว่าม็อบเป็นสิ่งเลวร้ายทำลายชาติ แสดงถึงจิตวิญญาณ "ประชาธิปไตย" หรือ "อำนาจนิยม" กันแน่?

จนมา พศ. 2551 นี้ นักการเมืองมีการพัฒนาความด้านหนาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการฉวยโอกาสโยนบาปทุกสิ่งทุกอย่างไปให้ผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลเป็นต้นเหตุของปัญหาสารพัด ไม่ว่าหุ้นตก คนตกงานเป็นเบือ ธนาคารล้ม ข้าวยากหมากแพง น้ำท่วม แผ่นดินไหว ก็เพราะม็อบทั้งนั้น ถ้าทุกคนยอมกลับบ้านไปอยู่อย่างเชื่องๆ คอกใครคอกมัน ให้รัฐบาลผู้เอื้ออาทรเป็นผู้ขุนเลี้ยง ยอมเชื่อฟังรัฐบาลแต่โดยดี ไม่ส่งเสียงโวยวายอะไรให้รำคาญหู ป่านนี้ประเทศเราก็เป็นมหาอำนาจไปแล้ว ฯลฯ
แล้วก็มีคนมากมายที่เชื่อตาม โดยไม่สนใจจะหันไปมองว่า รัฐบาลมัวทำอะไรอยู่? ได้ทำตามบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็นในการบริหารประเทศ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ในการปกครองให้เกิดความยุติธรรมในสังคมแล้วหรือยัง? แล้วประเทศนี้ ทั้งระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม มันเปราะบางถึงขนาดที่แค่มีม็อบ ที่พวกเขากล่าวอ้างว่าแค่คนส่วนน้อยจำนวนไม่เท่าไหร่ ออกมาแสดงความไม่พอใจรัฐบาลแล้วจะทำให้บ้านเมืองล่มจมเชียวหรือ?

อย่างสติ๊กเกอร์ที่พิมพ์คำว่า สนธิกับจำลอง ไล่ทักษิณได้ ต่อไปไล่ใคร? นั่นก็เหมือนจะสมเหตุสมผล แต่เป็นการอ้างเหตุผลแบบแคบๆ ไม่ต้องสนใจเลยว่า ทักษิณไปทำอะไรมาถึงถูกสนธิกับจำลอง (และผู้สนับสนุนอีกจำนวนไม่น้อย) ลุกขึ้นมาขับไล่?
ถ้าอ้างเหตุผลแบบนี้ ต่อให้ทักษิณจะไปทำอะไร ก็ห้ามใครออกมาไล่ทั้งนั้น ไม่งั้นคนอื่นทุกคนก็จะถูกไล่อีก งั้นหรือ?

อย่างใบปลิวที่เล่นสำนวนโวหารว่า ทักษิณทำอะไร แล้วสนธิทำอะไร นั่นก็เขียนได้ดูดีน่าเชื่อถือและปลุกเร้าอารมณ์มาก
แต่ทำเป็นลืมไปว่า ทักษิณอยู่ในบทบาทหน้าที่อะไร?
เป็นนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารประเทศชาติให้อยู่รอดเป็นชาติ ให้มีความสงบสุข
สนธิอยู่ในบทบาทหน้าที่อะไร?
เป็นสื่อมวลชน มีหน้าที่ตีแผ่ความจริงในสังคม ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนทั่วไป

เราไปกินร้านข้าวแกงที่คนนิยมกันมาก แล้วพบว่ามีสารพิษปนเปื้อนในซี่โครงไก่ต้มฟักจานเด็ด จนตัวเราต้องเข้าโรงพยาบาลเกือบตาย
แต่ตราบใดที่เราทำกับข้าวอร่อยๆ ไม่ได้อย่างร้านนั้น ไม่ได้เปิดร้านข้าวแกงที่มีคนแห่ไปกินกันอย่างหนาแน่นเทียบเทียมกับร้านนั้น ก็จงหุบปากไปเสีย ไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไร อย่างนั้นใช่หรือไม่?

ถ้าผู้ปกครองเป็นอธรรม แต่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญาจะขึ้นไปบริหารประเทศได้เหมือนอย่างเขา ตราบนั้นประชาชนก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น ต้องหุบปากก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เขาจะยัดเยียดมาให้ ใช่หรือไม่?

และยังอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่คนในกลุ่มการเมืองนี้ โกหกหลอกลวงประชาชนออกอากาศอย่างหน้าด้านๆ วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง ทำความผิดแล้วเฉไฉเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่อยไม่ยอมตอบตรงๆ

ในขณะที่ประชาชนทุกระดับชั้น ทุกสาขาอาชีพ ออกมาแสดงพลัง เรียกร้องจิตสำนึกจากนักการเมือง
- ให้รู้จักมียางอายในการทุจริต ใช้อำนาจโดยมิชอบ เอาเปรียบและกดขี่ประชาชน
- ให้รู้จักเคารพยำเกรงต่อเจตจำนงและเสียงเรียกร้องของประชาชนอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง
- ให้รู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองเสียบ้าง
- ให้มีความจริงใจกับคำว่า "ประชาธิปไตย" และ "พี่น้องประชาชน" สักที

แต่บรรดานักการเมืองระบอบทักษิณกลับเอาแต่ไปตีโพยตีพายกับมวลชนที่เป็นฐานเสียงของตนว่า
- พวกชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง คนเมือง นักวิชาการ หมั่นไส้ทักษิณที่เป็นที่รักของคนจนชาวรากหญ้า อิจฉาคนจนที่มีพ่อคนใหม่มาอุปถัมป์ ไม่อยากให้คนจนได้ดีขึ้นมาเท่าพวกตน
- พวกอำมาตย์ ลูกป๋า ฯลฯ ตามแต่จะเรียก ไม่พอใจเพราะทักษิณไม่ยอมก้มหัวให้ ไม่ยอมไปแสดงความคารวะ หรือเข้าพบขอคำปรึกษาในการบริหารประเทศ
- พวกนักคิด นักเขียน ศิลปิน ต่อต้านเพราะไม่ยอมไปแสดงความเคารพนับถือ ส่งกระเช้าไปอวยพรวันเกิดพวกเขา
- คนออกมาชุมนุมประท้วงป่วนเมือง เพราะอยากทำให้รถติด ให้คนเดือดร้อนเล่นๆ
ฯลฯ

เมื่อก่อนมีคำว่าดับเบิ้ล แสตนดาร์ด แต่มาถึงตอนนี้ เราคงต้องขยายความ โดยพูดถึงการอาศัยหากินอยู่กับความเท็จ ความหลอกลวง ความฉ้อฉล มารยาสาไถย อ้างสิ่งที่ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา

ที่ร้ายยิ่งกว่า มีการใช้การโฆษณาชวนเชื่อที่ผูกขาดช่องทางนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่ความคิดที่บิดเบือน ทั้งบนดินและใต้ดินอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ จนความเท็จฝังรากลึกในจิตใจคน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายฐานเสียงของระบอบทักษิณ และสร้างศรัทธาและพลังมวลชนขึ่้นมาบนพื้นฐานของความเท็จและบิดเบือนเหล่านั้น

นี่คือระบอบทักษิณ ที่สุดท้ายก็เป็นเพียง "ลัทธิแก้" ที่จะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

และจนถึงวันสุดท้าย ถ้าพวกเขาทั้งหมดยังไม่รู้สึกตัว...
ในเมื่อโลกนี้ ให้โอกาสเราทุกคนได้ชำระและแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ในเมื่อคนทุกคน เกิดมาแล้วย่อมต้องตาย
ผมเองเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า กฎแห่งกรรมมีจริง เป็นกฎธรรมชาติที่เที่ยงตรงที่สุด และจะตอบแทนทุกการกระทำไม่ว่าดีหรือร้ายอย่างเหมาะสม

สำหรับคนที่ชอบอ้างแต่เสียงข้างมากลากไป เมื่อไหร่ที่เขาไปสู่ปรโลก และถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนเองเคยทำไว้ทั้งหมด
หวังว่าคงไม่ต้องไปก่อม็อบประท้วงให้ยมบาลมาจากการเลือกตั้ง หรืออะไรทำนองนั้นอีกก็แล้วกัน


(มีต่อ)

*********

บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
Augustine
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 219



« ตอบ #62 เมื่อ: 02-10-2008, 23:53 »

อ้าวววว ตอนที่สิบ มาตั้งแต่ เมื่อไร
บันทึกการเข้า


ประชาธิปไตย...   ...ที่ไหนเค้าทำกันแบบนี้

หน้า: 1 [2]
    กระโดดไป: