บทนำ "สื่อ" ไทยทุกฉบับตีข่าวไปในทิศทางเดียวกัน
"ห้ามหามศพเน่า" กลับมานั่งตำแหน่งอีกครั้ง และขอไว้อาลัยให้กับ
"นักลากตั้ง" ที่นั่งหน้าสลอน อ้างตัวเป็น "ผู้ทรงเกียรติ" คำหนึ่งก็อ้างว่า
ประชาชนเป็นผู้เลือก คำหนึ่งเป็นตัวแทนประชาชน..แต่แนวคิดหามศพเน่าอย่าง "สมัคร สุนทรเวช" ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
มีการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญในการไปเป็นพิธีกรรายการเอกชน
ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง
แล้วยังหวังฉีดฟอร์มาลิน ราดน้ำหอมกลบความเน่าเหม็น ฟอนเฟะ แต่งหน้าแต่งตา ให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีก บอกได้คำเดียวว่า แค่คิดก็ทุเรศแล้ว...หากทำจริงก็เชื่อ "หัวไอ้เรือง" ได้เลย งานนี้คนชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งปรามาสว่ามีแค่หยิบมือ หรือประมาณ 3,000 คน งานนี้จะได้เห็นมวลชนระดับหมื่นระดับแสนแห่แหนกัน มาสวดชยันโตไล่สวดส่งวิญญาณแบบ "ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง" ไม่ทันทีเดียว..ความไม่เหมาะไม่ควรในการดึงดันเสนอ "นายสมัคร" จากเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ยังเป็นการ ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท อีก เพราะต้องไม่ลืมว่า ในวันที่ 25 กันยายนนี้ ก็จะมีคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทของ "นายสามารถ ราชพลสิทธิ์" ของศาลอุทธรณ์อีก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออก "หัวหรือก้อย" ซึ่งหากตัดสินตามศาลชั้นต้น คำถามมีว่าจะให้เป็น "นายกรัฐมนตรี 2 สัปดาห์หรือ??
นอกจากนักการเมืองไทยไร้ซึ่ง "ยางอาย" แล้ว ความหนาของหน้ายังอุดมอย่างยิ่ง เพราะความจริงนอกจากไม่ควรนำแม้แต่ชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีใหม่แล้ว ยังต้อง "เช็กบิล" และสะสางในเรื่องที่ศาลวินิจฉัยไว้ว่ามีการทำ "หลักฐานเท็จ" ย้อนหลัง เพราะหากปล่อยเลยตามเลย มันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ชัดเจนว่า
สังคมไทยนั้น หากใครมี "อำนาจ" และ "เงินตรา" กฎหมายก็ไม่กล้าแตะต้อง เพราะ เมืองไทยบังคับใช้กฎหมายกับคนจนและคนไม่มีทางสู้เท่านั้น... ในบรรดา ครม.รักษาการ คนที่น่าเศร้าที่สุด คงไม่พ้น "นายสาโรจน์ ชวนะวิรัช" รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 กันยายน ยังไม่ได้ถวายสัตย์ฯ วันที่ 9 ก.ย.ก็กลายเป็นรักษาการซะแล้ว... แม้ชื่อชั้นเป็นผู้เฒ่าทางการเมือง "เสนาะ เทียนทอง" แห่งพรรคประชาราช ที่บางครั้งก็แปรปรวน ขึ้นๆ ลงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังกล้ายืนยันชัดเจนว่า หากเสนอชื่อ "หมัก" กลับเข้ามาก็จะไม่โหวตให้ ก็ไม่รู้บรรดาพรรคร่วมที่จับมือเหนียวแน่นจะกล้าประกาศแบบ "ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังน้ำเย็น" หรือไม่ โดยเฉพาะ "มังกรเติ้ง-บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทย...น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อพรรคพลังประชาชนต้องดึงไปลาก "ยงยุทธ ติยะไพรัช" อดีตรองหัวหน้าพรรค เข้ามาคีย์แมนหลักเจรจาต้าอ่วยในการแก้ไขปัญหาวิกฤติภายในพรรค
เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเป็นสายตรงของมือที่มองเห็นจะจะ จากลอนดอน ที่เข้ามาเกี้ยเซี้ยปัญหา แล้วอย่างนี้ จะสลัดคราบนอมินีไปได้อย่างไร...เห็นแล้วก็ขำ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระเห็จอยู่ที่กรุงลอนดอน ถูกพิษ "ซุกหุ้น" คนใช้เล่นงานเข้าเต็มเปา ส่วนนายกฯ นอมินีอย่าง "ออหมัก" ก็ถูกพิษ "ซุกเงินเดือน" คนขับรถบ้าง หรือว่าสเปกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ข้อหนึ่งที่สำคัญที่บรรจุไว้ คือต้องซุกต้องซ่อนเท่านั้น...เริ่มมีคำถามเข้ามามากขึ้น ถึงท่าทีของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวจะชุมนุมยืดเยื้อต่อไป ก็ขอเตือนด้วยความหวังดีว่า ระวัง "แนวร่วมมุมกลับ" ด้วย ก็ฝากไปยังแกนนำ 5-6 คน ว่าคิดสารัตถะให้ดีแล้วกัน...ผลพวงการยึดทำเนียบรัฐบาลเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ก็ส่งผลให้รัฐบาลรักษาการคิดจะใช้ "อาคารสนามบินดอนเมือง" เป็นศูนย์บัญชาการแทนแล้ว..แหม! เพิ่งจะคิดกันได้ หรือว่าที่ผ่านมาหวังสลายผู้ชุมนุมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในเร็ววัน แต่
"ทหาร-ตำรวจ" ไม่เล่นด้วยก็เลยต้องหาที่ทำมาหากินใหม่ ได้ยินแคนดิเดตนายกฯ ใหม่ว่ามีแค่ 3 ส. ก็ได้แต่ส่ายหัว
ไหนบอกนักบอกหนาว่ามีบุคลากรเปี่ยมล้น แต่ชื่อนายกฯ ทำไมเวียนว่ายอยู่แค่ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" "สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" และ "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" เท่านั้น. หันมามองประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย การเมืองของเขาก็กำลังเข้าไคลเช่นกัน โดยงานนี้ก็ไม่ต่างจากไทยในอดีต (อนาคต) เรื่องของงูเห่า เมื่อ "อันวาร์ อิบราฮิม" ผู้นำฝ่ายค้านของมาเลเซียกำลังทาบทาบ ส.ส.รัฐบาลที่แปรพักตร์ 30 คน เพื่อโค่นรัฐบาล... ชัดเจนอย่างยิ่งว่าการเมืองไทยแม้เราจะพร่ำบอกว่าจะถึงทางตันบ้าง ไร้ทางออกบ้าง บ้านเมืองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ บ้าง แต่สถาบันระดับโลกอย่าง "ธนาคารโลก" กลับมองแค่เป็นปัญหาระยะสั้น และเศรษฐกิจไทยยังน่าลงทุน ก็เป็นการ ตบหน้ารัฐมนตรีที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ บางคนที่มักชอบอ้างว่าการชุมนุม หรือปัญหาการเมืองฉุดรั้งเศรษฐกิจได้ดีทีเดียว...
ที่มา.บันทึกหน้า 4...ท.ศักดิ์ 11 กันยายน 2551 กองบรรณาธิการไทยโพสต์http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=11/Sep/2551&news_id=163774&cat_id=500