อิทธิพลสุริยคราสเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑
อิทธิพลสุริยคราสเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑
พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์
ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑ จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติทางดาราศาสตร์ คือ เกิดสุริยุปราคา (สุริยคราส) ใน วันศุกร์ที่ ๑ เวลา ๑๗ นาฬิกา ๑๑ นาที ๔๓ วินาที ในราศีกรกฎ ๑๕องศา ๓๓ ลิปดา สามารถเห็นได้ประเทศไทยตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกา ๒ นาที จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อเวลา ๑๘ นาฬิกา ๔๒ นาที ๑๔ นาที รวมเวลาคราสที่เห็นได้ในประเทศไทยประมาณ ๔๐ นาที
จาก ผลการวิเคราะห์เรื่องอิทธิพลของคราสตามหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวทั้งไทย ฮินดู และตะวันตก ที่ผมได้ศึกษามาเป็นเวลานานพอสมควร น่าเชื่อว่า คราสที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งมีอิทธิพลต่อโลก ดวงชะตาเมืองและดวงชะตาบุคคลไม่น้อย สุริยคราสจะส่งผลเป็นคุณ เป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาตามช่วงเวลาที่เกิดคราส (ประมาณ ๑ ชั่วโมงต่อ ๑ ปี)
การ วิเคราะห์เรื่องอิทธิพลของคราสนั้น ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ตะวันตก หรือที่เรียกว่า โหราศาสตร์สากล จะเน้นหนักไปในเรื่องผลกระทบที่มีต่อดวงชะตาเมืองที่เรียกว่า
“Mundane Astrology” โดย เฉพาะเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น วาตะภัย อุทกภัย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ส่วนตามหลักวิชาโหราศาสตร์ไทย และฮินดู จะรวมไปถึงดวงชะตาบุคคลด้วย วิธีการตรวจสอบของโหราศาสตร์สากล จะคำนวณหาเส้นทางโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่ผ่านประเทศนั้น โดยการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณ ทำให้สามารถพล็อตเส้นทางโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆ และสามารถผูกดวงชะตาเมืองของประเทศนั้นในวันที่เกิดคราสขึ้นแต่ละครั้งเพื่อ ประกอบคำพยากรณ์ เรือนหรือภพที่สำคัญของดวงชะตาเมืองที่ได้ผูกขึ้นใหม่ซึ่งใช้เป็นหลักในการ พยากรณ์นี้ได้แก่ เรือนที่ ๑ หรือลัคนา เรือนที่ ๔ เรือนที่ ๗ และเรือนที่ ๑๐ ประการหลังนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะดาวพระเคราะห์ที่โคจรผ่านเรือน นี้จะอยู่เหนือศีรษะ ของเราเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์เมื่อเที่ยงวัน เรือนนี้มีความหมายเกี่ยวข้องกับประมุขของประเทศ การเมืองและการบริหารประเทศโดยตรง ส่วนของโหราศาสตร์ไทย และฮินดู จำเป็นต้องใช้ดวงชะตาเมือง หรือดวงชะตาของบุคคลที่ได้ผูกไว้มาตรวจสอบว่า ในวันที่เกิดคราสนั้น มีจุดที่เกิดคราสขึ้นในราศีใด เรือนหรือภพใด ทำมุมเบียนให้ทุกข์โทษ หรือให้คุณแก่ดาวพระเคราะห์ใดในดวงชะตาเดิม แล้วพยากรณ์ไปตามความหมายของดาวพระเคราะห์ และเรือนหรือภพที่ได้รับ
อิทธิพลจากคราสครั้งนั้น
ที่ จะกล่าวต่อไปนี้ จะเป็นรายงานผลการวิเคราะห์อิทธิพลของสุริยคราสที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ ว่าจะมีผลต่อดวงชะตาเมืองและนักการเมืองสำคัญที่ทราบวันเดือนปี และเวลาเกิดแน่นอน มากน้อยเพียงใด
๑.โดยการตรวจสอบดวงเมืองในวันที่เกิดคราส ในวันที่เกิดสุริยคราสเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ เมื่อนำเอาดวงเมืองมาเปรียบเทียบกับดวงประจำวันที่เกิดสุริยคราส ปรากฏว่า จุดที่เกิดคราสสถิตอยู่ในเรือน หรือภพที่ ๔ และทับดาวจันทร์ของดวงเมือง นอกจากนี้ ยังทำมุมเล็งเรือน หรือ ภพที่ ๑๐ และเล็งดาวพลูโตของดวงเมือง เรือนที่ ๔ นี้มีความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในประเทศ ดาวจันทร์หมายถึงประชาชน การแสดงความเห็นสาธารณะ การแสดงประชามติ ความเครียด กิจการประมง การขนส่งทางน้ำ เรือนที่ ๑๐ มีความหมายถึงการบริหารราชการบ้านเมือง ดาวพลูโตหมายถึงการลอบสังหาร แผ่นดินไหว น้ำท่วม การฝ่าฝืนกฏหมาย การก่อม็อบ เรื่องลามกทางเพศ ขบวนการก่อการร้าย ความตาย การปฏิรูป
เมื่อ ได้นำเอาความหมายเรือน หรือ ภพ ดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลของสุริยคราสครั้งนี้มาประมวลวิเคราะห์ทำให้เห็นภาพได้ค่อน ข้างชัดเจนว่า การปลุกระดมมวลชนเรียกร้องความถูกต้องของฝ่ายพันธมิตร และฝ่ายต่อต้านยังคงดำเนินต่อไป และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจมีการกระทบกระทั่งถึงขั้นเลือดตกยางออก เหตุการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ก็เช่นเดียวกันจะรุกลามรุนแรง มีการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นทุกที นอกจากนี้ยังอาจได้รับภัยธรรมชาติ คือ แผ่นดินไหว น้ำท่วม เป็นเหตุให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายสูญหายไม่น้อย
๒.โดยการตรวจสอบดวงชะตาของนักการเมืองสำคัญในวันที่เกิดคราส
๒.๑ ดวงชะตาของนายสมัคร สุนทรเวช
คุณสมัคร สุนทรเวช เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๗๘ เวลา ๒๒.๐๐ น. กรุงเทพ มหานคร เมื่อนำเอาดวงชะตาของคุณสมัครฯ มาเปรียบเทียบกับดวงประจำวันในวันที่เกิดสุริยคราส ปรากฏว่า จุดที่เกิดคราสสถิตอยู่ในเรือน หรือ ภพที่ ๗ และทับดาวศุกร์ของดวงชะตา เรือนที่ ๗ นอกจากนี้ จุดคราสยังทำมุมเล็งลัคนา (เรือน หรือ ภพที่ ๑) ซึ่งสถิตอยู่ในราศีมังกร โดยมีดาวเสาร์เป็นเจ้าของราศี
เรือนที่ ๗ มีความหมายถึงคู่ครอง หุ้นส่วน ผู้ร่วมงาน (สมาชิกพรรคพลังประชาชน) เรือน ที่ ๑ หรือ ลัคนา หมายถึงเจ้าชะตา และดาวเสาร์หมายถึง การเมือง นักการเมือง ความดื้อรั้นไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น ความเป็นความตาย การล้มละลาย การสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ความทุกข์โศกเศร้าเสียใจ การจองเวรผูกพยาบาท การเจ็บป่วยขั้นรุนแรงโดยเฉพาะโรคทางประสาท
เมื่อ ได้นำเอาความหมายเรือน หรือ ภพ ดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลของสุริยคราสครั้งนี้มาประมวลวิเคราะห์ทำให้เห็นภาพได้ค่อน ข้างชัดเจนว่า สถานภาพของพรรคพลังประชาชนซึ่งมีคุณสมัครฯ เป็นหัวหน้าพรรค กำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดดับ เป็นการปิดฉากชีวิตการเมืองของคุณสมัครฯ ในลักษณะโศกนาฏกรรมก่อนกำหนด วิบาก หรือผลกรรมที่คุณสมัครฯ กับลูกพรรค ได้กระทำไปในขณะที่กำลังมีอำนาจโดยการจองเวรพยาบาทคณะบุคคลที่ปฏิบัติ หน้าที่ในองค์กรอิสระ เช่น คตส. กกต. และผู้ที่มีความคิดเห็นตรงข้าม ขัดผลประโยชน์ จะติดตามมาถึงในอนาคตอันใกล้
ผม ขอทำความเข้าใจกับคุณสมัครฯ และท่านผู้อ่านว่า การเขียนบทความนี้ ผมมิได้มีเจตนาที่จะบิดเบือนความจริงให้เกิดความระส่ำระสายในหมู่คณะของคุณ สมัครฯแต่อย่างใด ผมได้เขียนขึ้นตามตำราโหราศาสตร์ที่ผมได้ศึกษาเล่าเรียนมา มีเอกสารอ้างอิงทุกประเด็น
ขณะ ที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ เป็นครบรอบวันเกิดปีที่ ๗๓ ของคุณสมัครฯ พอดี ในโอกาสนี้ ผมจึงขออวยพรให้คุณสมัครฯ หมดเคราะห์หมดโศกโรคภัย พ้นจากราชภัย ทัณฑ์ภัย อุปัทวะภัย รวมทั้งคราสภัย
อย่างไรก็ตาม พรของผมจะบังเกิดผลเป็นความจริงได้ ก็ต่อเมื่อคุณสมัครฯ ยึดถือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้แก่ “มงคลสูตร” หรือ มงคล ๓๘ ประการ โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่อง อเสวนา จะ พาลานัง (ไม่คบคนพาล) และ ปฏิรูปเทสวาโส (การอยู่ในสถานที่และสังคมที่เหมาะสม) มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความประพฤติดีทั้งกาย วาจา ใจ มีสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
๒.๒ ดวงชะตาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๗ ที่เมืองนิวคาสเซิล สหราชอาณาจักร เมื่อ นำเอาดวงชะตาของคุณอภิสิทธิ์ฯ มาเปรียบเทียบกับดวงประจำวันในวันที่เกิดสุริยคราส ปรากฏว่า จุดที่เกิดคราสสถิตอยู่ในเรือน หรือ ภพที่ ๑ (ลัคนา) แต่ เป็นโชคดีของคุณอภิสิทธิ์ฯ ที่จุดเกิดคราสนั้นมีองศาห่างจากลัคนา ๗ องศา ๔๕ ลิปดา ดวงชะตาของคุณอภิสิทธิ์ฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของคราสครั้งนี้อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ก้าวหน้า เมื่อคำนวณแล้วปรากฏว่า ดวงประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ของคุณอภิสิทธิ์ฯ (เริ่มตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ - ๓ สิงหาคม ๒๕๕๑) ไม่ ดีนัก เนื่องจากดาวเสาร์ บาปเคราะห์ใหญ่ทำมุมเบียนเป็นทุกข์โทษแก่เรือน หรือ ภพที่ ๑๐ เกี่ยวกับหน้าที่การงาน เช่นเดียวกับดาวอังคาร บาปเคราะห์ที่ทำมุมเบียนเป็นทุกข์โทษแก่เรือน หรือ ภพที่ ๗ เกี่ยวกับหุ้นส่วน ผู้ร่วมงาน (สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์) ดัง นั้น ถึงแม้ว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ จะได้รับส้มหล่นให้ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ก็ตาม แต่คงจะต้องเคร่งเครัยดทำงานหนักเพราะต้องเผชิญวิกฤตปัญหาของบ้านเมืองในรูป แบบต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน
๒.๓ ดวงชะตาของนายบรรหาร ศิลปอาชา
คุณบรรหาร ศิลปอาชา เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๗๕ เวลา ๔.๕๕ น. จังหวัด สุพรรณบุรี เมื่อนำเอาดวงชะตาของคุณบรรหารฯ มาเปรียบเทียบกับดวงประจำวันในวันที่เกิดสุริยคราส ปรากฏว่า จุดที่เกิดคราสสถิตอยู่ในเรือน หรือ ภพที่ ๑ (ลัคนา) ทำ มุมห่างจากลัคนาเพียง ๙ ลิปดาเท่านั้น ดังนั้น คุณบรรหารฯ จึงได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของคราสครั้งนี้อย่างเต็มที่ ดวงชะตากำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดดับ เป็นการปิดฉากชีวิตการเมืองของคุณบรรหารฯ ในลักษณะโศกนาฏกรรมก่อนกำหนด เช่นเดียวกับคุณสมัครฯ
๒.๔ ดวงชะตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎคม ๒๔๙๒ เวลา ๑๒.๒๐ น. จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อนำเอาดวงชะตาของพ.ต.ท.ทักษิณฯ มาเปรียบเทียบกับดวงประจำวันในวันที่เกิดสุริยคราส ปรากฏว่า จุดที่เกิดคราสสถิตอยู่ในเรือน หรือ ภพที่ ๑๐ ซึ่งหมายถึงหน้าที่การงาน แต่เป็นโชคดีของพ.ต.ท.ทักษิณฯ ที่จุดเกิดคราสนั้นห่างจากจุดที่ตั้งของเรือนที่ ๑๐ เท่ากับ ๘ องศา ๑๙ ลิปดา ดวงชะตาของพ.ต.ท.ทักษิณฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของคราสครั้งนี้อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ก้าวหน้า เมื่อคำนวณแล้วปรากฏว่า ดวงประจำปี พ.ศ.๒๕๕๑ ของพ.ต.ท.ทักษิณฯ (เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๑ - ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒) ไม่ ดีนัก เนื่องจากดาวเสาร์ และ ดาวอังคาร สองบาปเคราะห์ทำมุมเบียนเป็นทุกข์โทษแก่เรือน หรือ ภพที่ ๑๐ เกี่ยวกับหน้าที่การงาน ดังนั้น โอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะกลับคืนมาสู่เวทีการเมืองในช่วงเวลานี้ จึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามผลงานของผมมาโดยตลอด และได้เคยอ่านบทความเรื่อง “โหรอาหรับทำนายดวงทักษิณฯ” ซึ่งผมได้เขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ ได้กล่าวถึงจุดดับของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ไว้ดังนี้
“……จุดดับที่ ๑ อยู่ในราศีกันย์ ๗ องศา ๒๐ ลิปดา หมายถึง ความหายนะอย่างใหญ่หลวง (Catastrophe) อยู่ในเรือนที่ ๑๒ ภพวินาศของเจ้าชะตา
จุดดับที่ ๒ อยู่ในราศีตุลย์ ๗ องศา ๓๑ ลิปดา หมายถึง การถูกจับกุม (Captive) อยู่ในเรือนที่ ๑ (ลัคนา) ของเจ้าชะตา
เมื่อ ได้ตรวจสอบดูการโคจรของดาวอังคารซึ่งถือว่า เป็นบาปเคราะห์สำคัญที่จะส่งผลเป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาได้พบว่า ดาวอังคารจะโคจรถึงจุดดับที่ ๑ ในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ และจะโคจรถึงจุดดับที่ ๒ ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ ดังนั้น จึงน่าจะพยากรณ์ว่า จุดจบของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะอยู่ในช่วงเวลาที่กล่าวแล้วนี้….”
เมื่อ ได้นำเอาผลการพยากรณ์ดวงเมือง และดวงชะตาของนักการเมืองที่สำคัญ มาประมวลพิจารณาร่วมกัน จึงเห็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจนว่า อิทธิพลของสุริยคราสในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ จะส่งผลกระทบให้พรรคการเมืองถูกยุบอย่างน้อย ๒ พรรค ถึงแม้ว่า พรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของคุณอภิสิทธิ์ฯ จะมีโอกาสที่จะได้เข้าบริหารบ้านเมือง ซึ่งต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหาของประเทศในรูปแบบต่างๆ อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นอย่างไม่มีจุดจบ อัตราค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น เหตุการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ก็เช่นเดียวกันจะรุกลามรุนแรง มีการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นทุกที นอกจากนี้ยังอาจได้รับภัยธรรมชาติ คือ แผ่นดินไหว น้ำท่วม เป็นเหตุให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายสูญหายไม่น้อย ทั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรียังถูกเขย่าสั่นสะเทือนจากฝ่ายตรงข้ามทั้งภายในและ ภายนอกรัฐสภาอยู่ตลอดเวลา และต้องสิ้นสุดด้วยการยุบสภา มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า พรรคการเมืองใหม่ที่เป็นผลพวงของพรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย จะมีเสียงข้างมากในรัฐสภา มีโอกาสเข้าบริหารบ้านเมืองอีกต่อไป ส่งผลให้มีการปลุกระดมมวลชนเรียกร้องความถูกต้องของฝ่ายพันธมิตร และฝ่ายต่อต้านอีกต่อไป และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจมีการกระทบกระทั่งถึงขั้นเลือดตกยางออก มีการหมุนเวียนจองเวรจองกรรมเป็นวัฏฏจักรที่หาจุดจบไม่ได้
เมื่อได้วิเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนา เหตุปัจจัยที่ทำให้ประชาชนคนไทยต้องประสบกับความทุกข์โศกโรคภัยกันโดยทั่วถ้วนหน้าอยู่ในขณะนี้ ทุกข์สมุทัยประการหนึ่งก็คือ บทบาทของนักการเมืองทั้งภายใน และภายนอกรัฐสภา ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๗ ดังนี้
“.....โลก สมัยนี้กำลังขาดธรรม โดยเฉพาะในขั้นศีลธรรม ด้วยเหตุต่างๆ กัน จึงเกิดความระส่ำระสาย แล้วก็แก้ไขวิกฤติการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่องทั้งภายในชาติและระหว่างชาติ รัฐบาลต่างๆในโลกที่ตั้งขึ้นมา แก้ไขปัญหาแห่งประเทศนั้นๆ ไม่ได้ และทุกรัฐบาล แม้จะเป็นรัฐบาลที่ถือว่าดี ก็ยังมีอาการ เหมือนกับมีการเปลี่ยนหน้ากันขึ้นมาจับปูใส่กระด้งเท่านั้นเอง ไปคราวๆ หนึ่ง เราจะต้องรอกันไปอีกนานเท่าไรจึงจะถึงสมัยที่ทุกคนเข้าใจกันขึ้นมา........”
นอก จากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทให้แก่ ผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ณ ศาลาดุสิตาลัย เป็นการเตือนสติ เป็นการชี้แนะถึงเทคนิคการทำงานร่วมกัน โดยได้รับสั่งเป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางว่า "รู้ รัก สามัคคี"
หากจะหยิบยกนำเอาประโยคสั้นๆ ดังกล่าวมาพิจารณาวิเคราะห์ขยายความออกไปในเชิงรัฐศาสตร์ น่าจะได้ใจความว่า
๑. "รู้" คือ ปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในงานที่จะต้องทำ
๒. "รัก" คือ การมีความรัก ความพอใจในงานที่จะต้องทำนั้น
๓. "สามัคคี" คือ การร่วมกันทำงานด้วยความจริงใจ อย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทำงานนั้นเพื่อผล
ประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อเข้าพก
เข้าห่อของตน หรือ ญาติมิตรพรรคพวกของตน
ผม จึงใคร่ขอร้องนักการเมืองทั้งหลายในนามของประชาชนคนไทยได้น้อมนำเอาพระบรม ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และท่านพุทธทาสภิกขุ มาพิจารณาทบทวนบทบาทของตนเองตั้งแต่บัดนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคล ความสุขความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและ
หน้าที่การงานในอนาคต หากปฏิบัติได้เช่นนี้ ผมรับรองว่า ท่านจะปลอดพ้นจากพิษคราสทั้งปวงไม่ว่า จะเป็นสุริยคราส หรือ จันทรคราส ก็ตาม
http://www.horawej.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=582541&Ntype=14