บทบรรณาธิการ
คำพิพากษาคดีพจมานขอให้ส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลสถานการณ์
2 สิงหาคม 2551 กองบรรณาธิการ
คำพิพากษาความยาว 48 หน้า ในคดีที่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน
เป็นจำเลยร่วมกันกระทำความผิดร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีการโอนหุ้น บริษัท ชินวัตร นอกจากข้อเท็จจริงทางคดีที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายแล้วยังพบว่าในคำพิพากษาช่วงหนึ่ง ศาลต้องการให้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจาก
ภาวการณ์แบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายของคนในชาติ ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางความคิด และเกิดการกระทำที่รุนแรงไม่มีใครยอมใครเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นั่นเท่ากับว่า ศาลตระหนักถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น หลังจากคำพิพากษาดังกล่าวได้ปรากฏต่อหน้าสาธารณชน
เพราะด้วยข้อหา และเหตุผลที่ได้บรรยายให้คำพิพากษานั้นหนักแน่นและมีเหตุผล ที่ต้องใช้หลักกฎหมายควบคู่ไปกับหลักรัฐศาสตร์อย่างรัดกุม
ที่แน่นอนว่าผู้ที่นิยมชมชอบในฝ่ายของ พันตำรวจโททักษิณ ย่อมไม่เห็นด้วย และไม่พอใจต่อคำพิพากษาดังกล่าว
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเราเชื่อว่าศาลต้องการให้หลักของบ้านเมืองอยู่ต่อไปได้
และไม่เห็นด้วยกับคนที่มีฐานะที่สูงจะเอาเปรียบสังคม ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า
มีช่องว่างที่ทุกคนมีโอกาสจะอาศัยหาประโยชน์ได้เหมือนกัน
เราเชื่อว่า ศาลได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มถึงสถานการณ์ที่จะตามมาด้วย เพราะท่านย่อมทราบดีว่าปมประเด็นที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจในการต่อสู้ของ พันตำรวจโททักษิณ และครอบครัว
หลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 คือคดีความทั้งหลายที่ทยอยเข้าสู่การพิจารณาของศาลสถิตยุติธรรม เครือข่ายและขุมกำลังที่แวดล้อม พันตำรวจโททักษิณ นอกจากจะต่อสู้ในหลักการต้านรัฐประหารแล้ว แต่ปฏิเสธได้ยากว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ สอดรับกับการช่วยเหลือและสนับสนุน พันตำรวจโททักษิณ อย่างชัดแจ้ง และยิ่งมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
แม้วันนี้กลุ่มพันธมิตรฯ จะชูธงเรื่องการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ตาม
แต่ทว่า โดยแก่นหลักของการต่อสู้มาตั้งแต่ต้นคือการหยุด ยับยั้ง
การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในทุกรูปแบบเพื่อช่วยเหลือให้
อดีตผู้นำและครอบครัวหลุดพ้นจากความผิดในทุกวิถีทาง
ยิ่งเมื่อปรากฏประเด็นถุงขนม 2 ล้านบาท ที่แม้ไม่ใช่การซื้อศาลเพื่อเอื้อประโยชน์ทางคดี แต่สะท้อนให้เห็นปมประเด็นของการต่อสู้ของพันตำรวจโททักษิณและพวก
ซึ่งเมื่อสมทบกับการต่อสู้ของกลุ่ม นปก. และเครือข่าย
ยิ่งทำให้เห็นว่ามีความเคลื่อนไหวในการต่อสู้เพื่อให้พ้นความผิดในหน้าฉาก ทั้งทางศาลและใต้ดิน
การถอยฉากของ นปก. และพรรคพลังประชาชนในการเลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้หมายถึงการอ่อนล้าและยอมรับในการตัดสินของศาล
จนไม่เคลื่อนไหวสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
หากแต่ว่าเป็นการหยุดเพื่อกลับมาตั้งหลัก และสู้อย่างเป็นกระบวนมากขึ้น
เพราะสัญญาณจากคำพิพากษาของศาลทำให้ระบอบทักษิณ ต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงและรุนแรงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและแตกหักในทุกอำนาจของประเทศ
สัญญาณที่ไม่สู้ดีเช่นนี้ คนที่ต้องจับตาดูอย่างไม่กะพริบตาคือฝ่ายความมั่นคง
เริ่มตั้งแต่ด่านแรกคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องเร็วและไวต่อข้อมูลการเคลื่อนไหวในทุกๆ ส่วน
เพื่อป้องกัน และสกัดกั้นไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า หรือนองเลือดให้เกิดขึ้นในสังคม
หรือแม้กระทั่งต้องจับอารมณ์ความรู้สึกของกลุ่มต่างๆ ที่มีต่อกัน รวมถึงที่มีต่อศาล เพื่อจะได้วางแผนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งคนที่เสียไม่ใช่ใคร
แต่เป็นประเทศชาติและประชาชนที่เสีย และไม่ได้อะไรจากเกมเลือกข้างนี้แม้แต่น้อย
ในส่วนของกองทัพเอง ก็คงตระหนักดีว่าในสัญญาณที่ศาลขอความร่วมมือมานั้น ต้องการให้ฝ่ายความมั่นคงปฏิบัติหน้าที่และวางน้ำหนักอยู่ตรงไหน เพราะอย่าลืมว่ากองทัพเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปิดทางในการตรวจสอบอำนาจรัฐ โดยเฉพาะระบอบทักษิณ จนพบถึงความผิดตามคำพิพากษาที่ออกมา และเมื่อผลออกมาอย่างไรแล้ว คนที่เป็นผู้ตัดสินย่อมต้องได้รับการพิทักษ์รักษาดูแล ส่วนความเป็นไปในบ้านเมืองนับจากนี้กองทัพต้องจัดการให้อยู่ในความสงบให้ได้
และไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งฝ่ายต้านและฝ่ายหนุน ใช้โอกาสตรงนี้เพื่อตีกระแสให้เกิดการเผชิญหน้าเกิดขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่คำพิพากษาได้ขอไว้.
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=2/Aug/2551&news_id=161926&cat_id=100ทักษิณไม่ยอมถอย พี่น้องงงงงงงงงงงง
คำพิพากษาของศาลไม่ทำให้คนตระกูลนี้รู้สึกอะไร เหมือนภาพที่ลูกสาวยืนแสยะยิ้ม ส่ายหน้า
ต่อหน้าศาล ขณะฟังคำพิพากษา
ระบอบแม้ว ไม่ยอมถอยแน่นอน
ถึงแม้วถอย แต่พวกลิ่วล้อก็ไม่ยอมถอย ทุกคนคิดเลียนแบบแม้ว
มีแม้วเป็นตัวอย่าง แต่แม้วไม่ถอย ก็หมายความว่า ลิ่วล้อกับแม้วสู้ตายและพวกมันจะได้ตายสมใจ