ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #200 เมื่อ: 10-10-2007, 00:13 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
login not found
|
|
« ตอบ #201 เมื่อ: 10-10-2007, 09:15 » |
|
เรื่องของพริกที่ไม่พลิกแพลงค่ะ
ตอนนี้พริกขี้หนูสวนขีดละ 15 บาท ขาดตัว แถมครัวไทยขาดพริกได้ซะที่ไหน
แต่บางครั้งอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อประกอบอาหาร ในวันที่ต้องการแต่อาจเป็นในเวลาที่ว่างจริงๆ
มาดูอีกที เน่าขั้วดำจนใช้ไม่ได้ เสียดายจริงๆ
วิธีการเก็บพริก เอาไว้ใช้ได้นานๆ เพราะบางเวลาเราไม่ได้ประกอบอาหารทุกมื้อจากพริก
คือ ล้างพริกให้สะอาดเด็ดขั้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ลงในกล่องพลาสติกที่รองด้วยกระดาษทิชชู่นุ่มๆ
ปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถยืดอายุพริกของเราๆท่านๆได้นานกว่าที่ซื้อแล้วสามสี่วันมาพบอีกที
เน่าซะแล้ว ใส่กระจาด ใส่ถุงพลาสติกซะจนเคย จริงๆใส่กล่องก็ดี จะได้วางเก็บได้เป็นระเบียบ เพียงแต่ว่า.....ที่บ้านปลูกพริกไว้ใช้เอง มีใช้แค่วันต่อวัน ไม่มีเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นนานๆซักทีน่ะสิครับ ส่วนชามะละกอ...ผมว่ามันจะกลายเป็นส้มตำก่อนจะเป็นชา แซ่บอีหลีเด้อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #202 เมื่อ: 10-10-2007, 20:40 » |
|
ใส่กระจาด ใส่ถุงพลาสติกซะจนเคย จริงๆใส่กล่องก็ดี จะได้วางเก็บได้เป็นระเบียบ เพียงแต่ว่า.....ที่บ้านปลูกพริกไว้ใช้เอง มีใช้แค่วันต่อวัน ไม่มีเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นนานๆซักทีน่ะสิครับ ส่วนชามะละกอ...ผมว่ามันจะกลายเป็นส้มตำก่อนจะเป็นชา แซ่บอีหลีเด้อ เคยปลูกพริกไว้ใช้แล้วค่ะ มีสองต้นเป็นพริกขี้หนูพันธุ์กระเหรี่ยง
เผ็ดมาก แต่ตอนนี้เค้าตายไปหมดแล้วค่ะ เลยต้องซื้อเอา
ส่วนชามะละกอ ดอกฟ้าฯใช้วิธีแบ่งครึ่งค่ะ ซื้อมะละกอมาหนึ่งลูก
ตำบักหุ่งครึ่งลูก แล้วเอามาทำชามะละกอครึ่งลูก เพราะชามะละกอเก็บไว้ไม่ได้นาน ห้ามเกิน 3 วัน
แค่นี้ก็สบายใจหายห่วง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
SEFAH
น้องใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 10
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: 11-10-2007, 19:16 » |
|
เรื่องเบคอนที่ไม่เคยรู้เลยอาะครับขอบคุรจริงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: 29-10-2007, 20:39 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: 01-11-2007, 22:51 » |
|
วิธีดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในตู้เย็นด้วยวิธีธรรมชาติและปลอดภัย
คือ หาแตงโม จะพันธุ์ จินตหรา พูนลาภ หรือจินตหรา สุขพัฒน์ หรืออื่นๆก็ได้ค่ะ
แต่ห้ามใช้แตงไทย หรือแตงกวาเป็นอันขาดเพราะผิดสูตร
นำแตงโมลูกขนาดย่อมๆ มาผ่าครึ่งลูก แล้วนำไปแช่ตู้เย็นที่อาจมีกลิ่นของอาหาร
ของเราที่หลงลืมแช่ไว้จนส่งกลิ่นที่ไม่ชวนดม แม้กระทั่งทำความสะอาดแล้วแต่กลิ่นก็ยังไม่ยอมหายไป
วางแตงโมผ่าครึ่งลูกแช่ใว้สัก 1 วัน กลิ่นต่างๆที่รบกวนก็จะหมดไปค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: 08-11-2007, 19:35 » |
|
"เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง....หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า"
ได้ยินเพลงนี้ลอยมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ บังเอิญช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง
มีอาการเจ็บคอคล้ายจะเป็นหวัด เลยเอาน้ำผึ้งเดือนห้าแท้ๆที่ได้มาจากคนที่น่ารัก
ผสมน้ำอุ่น มะนาว 1 ซีก เกลือนิดหน่อย ตามสูตรที่คุณแม่สอนไว้มาจิบ
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีขึ้นมากเลยค่ะ
เพราะที่จริงเมื่อก่อนเวลาเริ่มเจ็บคอ จะทานยาละลายเสมหะ Flumucil 100 mg
เป็นประจำ แต่พอได้ยินเพลงที่ได้ยินมา เลยนึกถึงว่า ของธรรมชาติย่อมดีกว่ายาสังเคราะห์
ด้วยคำที่ว่า "ธรรมชาติย่อมรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ"
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรดูแลสุขภาพให้มากกว่าเดิมนะคะ
เดี๋ยวจะเอาสาระประโยชน์เกี่ยวกับน้ำผึ้งมาฝากใครที่สนใจค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
อธิฏฐาน
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: 08-11-2007, 19:51 » |
|
ที่บ้านมีน้ำผึ้งป่าเป็นยาสามัญประจำบ้านค่ะคุณดอกฟ้าฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: 08-11-2007, 20:34 » |
|
ที่บ้านมีน้ำผึ้งป่าเป็นยาสามัญประจำบ้านค่ะคุณดอกฟ้าฯ
น่าอิจฉาจัง ตอนนี้น้ำผึ้งป่าจากธรรมชาติหายากขึ้นทุกวัน
เพราะระบบนิเวศน์ของเราเริ่มถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์
หากคุณอธิฏฐาน มีเกร็ดความรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำผึ้ง
เอามาบอกเล่าแลกเปลี่ยนกันก็จะขอบคุณมากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: 08-11-2007, 21:09 » |
|
น้ำผึ้ง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
น้ำผึ้งน้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar)
โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง
จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้น
จนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง
เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า น้ำผึ้งสุก เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์
ทดสอบน้ำผึ้งแท้
ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก
นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก
วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้
มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
อธิฏฐาน
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: 08-11-2007, 21:29 » |
|
บางอำเภอของจังหวัดสงขลา ยังมีป่าไม้และภูเขาอยู่ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น้ำผึ้งป่าจะมีรสหวานแปลก ๆ มีรสเปรี้ยวเจือนิดหน่อย เพราะมาจากเกสรดอกไม้หลากชนิด ราคาต่ำสุดขวดแบน 200 บาท ขวดกลมราคา 400 บาท หากถูกกว่านี้คงไม่ใช่น้ำผึ้งรวงแท้
บางครั้งชงกาแฟก็ใส่น้ำผึ้งรวงแทนน้ำตาลทราย หรือราดขนมปังก็อร่อยไม่แพ้แยม น้ำผึ้งใหม่ช่วยให้ท้องไม่ผูก และเผาผลาญพลังงานได้ด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: 08-11-2007, 22:16 » |
|
บางอำเภอของจังหวัดสงขลา ยังมีป่าไม้และภูเขาอยู่ค่ะคุณดอกฟ้าฯ น้ำผึ้งป่าจะมีรสหวานแปลก ๆ มีรสเปรี้ยวเจือนิดหน่อย เพราะมาจากเกสรดอกไม้หลากชนิด ราคาต่ำสุดขวดแบน 200 บาท ขวดกลมราคา 400 บาท หากถูกกว่านี้คงไม่ใช่น้ำผึ้งรวงแท้
บางครั้งชงกาแฟก็ใส่น้ำผึ้งรวงแทนน้ำตาลทราย หรือราดขนมปังก็อร่อยไม่แพ้แยม น้ำผึ้งใหม่ช่วยให้ท้องไม่ผูก และเผาผลาญพลังงานได้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ....พูดถึงเรื่องน้ำผึ้งแก้ท้องผูก
ดอกฟ้าฯ มีสูตรได้มาจากรุ่นน้องที่บอกมา
ใช้น้ำผึ้งผสมโยเกิรต์ใส่มะนาวสดเล็กน้อย เพื่อแก้ท้องผูกได้ดีทีเดียว
ข้อควรระวังคือ...ต้องทานในวันหยุดค่ะ เพราะได้ผลชงัดดีนักแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: 08-11-2007, 22:46 » |
|
อุ๊ย....มีคนชอบชื่อนี้ด้วย
อะห๊า...มีกำลังใจมาอักโขเลยค่ะ
พอดีหมาวัดไม่รักดีโดนรถทับแบบแต๊ดแต๋เลย
สงสารก็สงสาร แต่ต้องทำใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: 11-11-2007, 00:24 » |
|
สารสำคัญในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ
เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย
ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์
ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์
และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์
โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า
องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง
ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต
รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย
ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง...จากที่เดิมค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: 12-11-2007, 20:36 » |
|
ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง
ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย
แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ
คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก
สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ
น้ำผึ้งในตำรายาจีน
ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้
ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย
และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว
และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี
ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย
แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว
ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา
ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้
..............................................
เอามาฝากต่อค่ะ....
จากแหล่งอ้างอิงเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: 12-11-2007, 21:16 » |
|
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ แม่ค้าตอบ แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง ผมถาม เท่าไหร่เหรอครับ แม่ค้าตอบ ขวดละ 150 จ้า ผมถาม ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย แม่ค้าตอบ ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง ขำขำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: 12-11-2007, 21:41 » |
|
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ แม่ค้าตอบ แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง ผมถาม เท่าไหร่เหรอครับ แม่ค้าตอบ ขวดละ 150 จ้า ผมถาม ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย แม่ค้าตอบ ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง ขำขำ แบบนี้ต้องให้เครดิตแม่ค้านะคะ
แปลว่าเธอไม่เอาเปรียบผู้บริโภค...อิ อิ ฮา..ซะไม่มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: 12-11-2007, 22:07 » |
|
เรื่องการหาน้ำผึ้งป่าจากแหล่งธรรมชาติ
เคยได้ไปคุยกับคนหาของป่านะคะ เป็นคนกะเหรี่ยงเค้าบอกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า เป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุด
คือไม่มีน้ำฝนเจือปน คือจะไปตีผึ้งตอนเดือนปลายเดือนมีนาคมหรืออย่างช้า ไม่เกินกลางเมษา
เพราะช่วงนั้นฝนจะไม่ตก ทำให้น้ำผึ้งที่ได้จะไม่มีน้ำฝนเจือปนเก็บไว้ได้นานนับสิบปี
ยิ่งเก็บนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคุณสมบัติเป็นกระสายยาได้ดี บางคนเล่าว่าน้ำผึ้งสามารถ
รักษาโรคต้อทางสายตาต่างๆได้ ตรงนี้ไม่ยืนยันค่ะ หากใครมีข้อมูลดีๆ อยากให้เอามาแลกเปลี่ยนกัน
บางครั้งธรรมชาติก็มีอะไรที่น่ากลับไปอยู่แบบธรรมชาติ
โดยเราไม่ต้องขวนขวายพึ่งเทคโนโลยี่จากต่างประเทศให้เสียงบประมาณไปมากมาย
หากประชากรเราแข็งแรง งบประมาณที่ต้องเสียไปกับยาสังเคราะห์ ที่มีผลข้างเคียงแบบยาปฎิชีวนะ
รักษาโรคได้แต่ก็ไปกดภูมิคุ้มกันบางอย่างให้เสียไป
แบบว่าได้อย่างเสียหลายอย่าง....ก็น่าคิดนะ
โดยส่วนตัวไม่เคยทานยาแผนปัจจุบันมาหลายปีแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
อธิฏฐาน
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: 12-11-2007, 23:33 » |
|
มีเรื่องเล่าของน้ำผึ้ง มาฝากครับ วันก่อนผมไปซื้อน้ำผึ้งจากร้านที่นึง ผมถามแม่ค้าว่า แม่ค้า น้ำผึ้งแท้ร้อยเปอร์เซ็น หรือเปล่าครับ แม่ค้าตอบ แท้ร้อยเปอร์เซ้น จร้า เพิ่ง ไปเอามาเมื่อ เย็น เมื่อวานเอง ผมถาม เท่าไหร่เหรอครับ แม่ค้าตอบ ขวดละ 150 จ้า ผมถาม ลดหน่อยได้มั้ยครับแม่ค้าสัก130 ได้มั้ย แม่ค้าตอบ ไม่ได้หรอกจร้า ช่วงนี้น้ำตาลมันแพง ขำขำ น้ำเชื่อมแท้ค่ะ ไม่มีปลอมปน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: 18-11-2007, 20:41 » |
|
นํ้าผึ้ง
เรียบเรียงโดย นว.5 สุกัลยา พลเดช
นํ้าผึ้ง เป็นสารให้ความหวานตามธรรมชาติที่ได้จากผึ้ง ลักษณะเป็นของเหลวค่อนข้างข้น
สีเหลืองจนถึงนํ้าตาล ผึ้งผลิตโดยใช้นํ้าหวานจากดอกไม้ผ่านกระบวนการในตัวผึ้ง ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนํ้าหวาน
และทำ ให้เข้มข้นขึ้นโดยดึงนํ้าออกบางส่วนนํ้าผึ้งจะเหลือนํ้าไม่เกิน 20%
นํ้าผึ้งประกอบด้วยนํ้าตาลเชิงเดี่ยว 2 ชนิดคือ นํ้าตาลกลูโคส และนํ้าตาลฟรุกโทส
จัดเป็นแหล่งพลังงานได้เป็นอย่างดีสำ หรับทุกเพศทุกวัย ร่างกายสามารถดูดซึมและนำ ไปใช้ได้ทันที
นํ้าผึ้งเหมาะสำหรับเด็กๆที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี เนื่องจากอยู่ในวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต
ต้องการพลังงานมาก นอกจากนี้นํ้าผึ้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิดจากธรรมชาติ เช่น ฟอสฟอรัส
ช่วยเสริมร่างกายให้แข็งแรง เหล็กจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกติ ทองแดง แมงกานีส แคลเซียม
โพแทสเซียม โซเดียม และเกลือแร่อีกหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและทำ ให้ระบบไหลเวียน
เลือดและระบบนํ้าย่อยทำ งานได้ดีขึ้น ที่สำ คัญคือในนํ้าผึ้งยังมีวิตามินต่างๆซึ่งได้แก่ วิตามินบี1 บี2
บี3 บี5 บี6 ซี อี เค และแคโรทีน รวมทั้งโปรตีน กรดอมิโนที่จำ เป็นต่อร่างกาย ส่วนเอนไซม์และ
ฮอร์โมน ถึงแม้จะมีปริมาณน้อยแต่ช่วยเสริมให้นํ้าผึ้งมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น
สรรพคุณของน้ำผึ้ง มนุษยไ์ด้รู้จักและนำ น้ำผึ้งมาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยนำ น้ำผึ้งมา
ใช้เป็นอาหาร เป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรต่างๆ และยังใช้เป็นสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
นํ้าผึ้งนอกจากจะให้รสหวานแล้วยังมีกลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้แต่ละชนิด
จึงนำ มาใช้เป็นสารประกอบของอาหารหลายๆอย่าง เช่น ทาบนขนมปัง เติมลงในนม นมเปรี้ยว เพื่อช่วยเสริมรสชาติและกลิ่น
หรือเติมในเครื่องดื่มผลไม้ต่างๆ เช่น นํ้ามะนาว ทำ ให้ชุ่มคอและแก้กระหายนํ้าได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังสามารถนำ มาประกอบอาหารได้หลายชนิดแทนนํ้าตาลทราย เช่น ขนมคุกกี้ ขนมเค้ก ลูกกวาด ผลไม้แช่อิ่ม
นอกจากนี้นํ้าผึ้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้
เนื่องจากการที่นํ้าผึ้งมีความชื้นน้อย มีแรงดูดซึม(osmosis pressure)สูง สามารถดึงนํ้าจากเซลล์จุลินทรีย์
ออกมาจนทำ ให้จุลินทรีย์ตายได้
สรรพคุณของนํ้าผึ้งอีกประการหนึ่งที่เรารู้จักกันมานาน คือถ้าใช้นํ้าผึ้งบริสุทธิ์ทาผิวหน้าทิ้งไว้ราว 3-4 นาที
แล้วจึงใช้ผ้าขนหนูชุบนํ้าอุ่นๆเช็ดออก จะช่วยให้ผิวหน้าสดใส
เนื่องจากนํ้าผึ้งมีสารแอนติออกซิแดนท์ วิตามิน และกรดอมิโนซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหนัง
และช่วยชะลอการเสื่อม ของเซลล์ ปัจจุบันมีการใช้นํ้าผึ้งเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ สำหรับดูแลผิวหน้า
ตั้งแต่การทำ ความสะอาดผิว กระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุมชื้น
ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เช่น สบู่ครีมล้างหน้า ครีมขัดหน้า ครีมพอกหน้า
...........................................................
ดอกฟ้าเพิ่งทำกล้วยตากอบน้ำผึ้งเดือนห้าเก็บใส่กล่องไว้ทานเมื่อเร็วๆนี้เอง
โชคดีที่ฝนไม่ตก มีแดดแรงทุกวัน
อร่อยจริงๆค่ะ ตอนนี้ยังทานไม่หมด
เลยทำแจกเพื่อนฝูงดีกว่าค่ะ มีความสุขดีจัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: 19-11-2007, 00:38 » |
|
มาต่อค่ะ...
กล้วยตากอบน้ำผึ้ง
กล้วยน้ำว้าสุกลูกสีเหลืองๆ กี่ลูกก็ได้
ตั้งน้ำบนเตาใส่เกลือทะเลประมาณนึง จนเดือดเล็กน้อย
ใส่กล้วยน้ำว้าที่ปอกเปลือกลงไปลวก เพื่อให้ยางและเศษใยกล้วยหลุดออกเกือบหมด
นำมาผึ่งบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ นำไปตากแดด สักสามสี่วัน พอกล้วยเริ่มมีสีคล้ำ
นำกล้วยใส่ถุงพลาสติค เอาไม้คลึงแป้งหรือขวดอะไรก็ได้ ถ้าไม่มี ไม้เบสบอลก็ไม่เกี่ยง
คลึงกล้วยเบาๆจนแบน นำไปตากต่ออีก 2 วัน จนหน้าตา สีสันเหมือนกล้วยตากที่เค้าขายกัน
ใช้แปรงทำขนม ชุบน้ำผึ้งทาให้ทั่วกล้วยตากทั้งสองด้าน นำไปตากต่ออีกสักสองวัน
หลังจากนั้นเก็บใส่กล่องไว้ทานได้ทุกเมื่อเวลาต้องการ
จบแล้วค่ะ...
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2007, 23:20 โดย ดอกฟ้ากับหมามุ่ย »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
เล่าปี๋
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: 19-11-2007, 00:54 » |
|
คุณดอกฟ้าครับ ขอถามนิดนะว่า กล้วยน้ำว้าเอาแบบไหนใช้ครับ
คือๆๆๆๆๆๆๆว่าๆๆๆๆๆๆ เท่าที่ผมทราบมันมีสองพันธุ์ครับ
คือแบบ กล้วยน้ำว้าใส้ขาว กับ กล้วยน้ำว้าใส้(ใน)สีเหลืองครับ
กล้วยแบบแรกผมว่ารสชาติ อร่อยที่สุดตอนทานกล้วยสุกครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว ไม่พราวไสว หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น พลันมืดมัว....
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: 19-11-2007, 01:04 » |
|
คุณดอกฟ้าครับ ขอถามนิดนะว่า กล้วยน้ำว้าเอาแบบไหนใช้ครับ
คือๆๆๆๆๆๆๆว่าๆๆๆๆๆๆ เท่าที่ผมทราบมันมีสองพันธุ์ครับ
คือแบบ กล้วยน้ำว้าใส้ขาว กับ กล้วยน้ำว้าใส้(ใน)สีเหลืองครับ
กล้วยแบบแรกผมว่ารสชาติ อร่อยที่สุดตอนทานกล้วยสุกครับ อืมมม......ตอนทำก็ลืมดูนะคะ
แต่ว่ากล้วยน้ำว้าจะแบบไหนใส้สีอะไรก็น่าจะอร่อยได้ทุกแบบ
เพราะว่าเป็นผลไม้ที่ซื้อหาได้ไม่ยาก และราคาก็ไม่แพง
ที่ดอกฟ้าฯได้มาพอดีได้ของฟรี เพื่อนเอามาฝากตั้งเครือนึง
หลังจากบวชชีก็แล้ว เชื่อมก็แล้ว ยังทานไม่หมด เลยมานั่งนึกถึงวิธีถนอมอาหารให้ทานได้นานๆ
เลยเอามาทำกล้วยตากไงคะ
อยากได้สูตรกล้วยบวชชีป่าว ถ้าอยากได้จะบอกให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
เล่าปี๋
|
|
« ตอบ #231 เมื่อ: 19-11-2007, 01:16 » |
|
อืมมม......ตอนทำก็ลืมดูนะคะ
แต่ว่ากล้วยน้ำว้าจะแบบไหนใส้สีอะไรก็น่าจะอร่อยได้ทุกแบบ
เพราะว่าเป็นผลไม้ที่ซื้อหาได้ไม่ยาก และราคาก็ไม่แพง
ที่ดอกฟ้าฯได้มาพอดีได้ของฟรี เพื่อนเอามาฝากตั้งเครือนึง
หลังจากบวชชีก็แล้ว เชื่อมก็แล้ว ยังทานไม่หมด เลยมานั่งนึกถึงวิธีถนอมอาหารให้ทานได้นานๆ
เลยเอามาทำกล้วยตากไงคะ
อยากได้สูตรกล้วยบวชชีป่าว ถ้าอยากได้จะบอกให้ เรียนคุณดอกฟ้าฯครับ ที่ผมเรียนบอกกับคุณเรื่องจริงนะครับ
แม้จะเอาทำกล้วย(สาวอกหัก) บวชชี หรืออีกหลายๆขนมนะ
ผมถึงได้เรียนถามไงครับ อยากทราบสูตรกล้วยสาวอกหักเหมือนกันครับ
อิอิ ผมพูดล้อเล่นนะครับ เรื่องสาวอกหัก(กล้วยบวชชีอ่ะ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว ไม่พราวไสว หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น พลันมืดมัว....
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #232 เมื่อ: 19-11-2007, 01:30 » |
|
"อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" แต่ไปเกี่ยวกับกล้วยบวชชียังไงไม่ทราบ ประมาณว่าอกหักแล้วต้องหนีไปบวชเหรอคะ ว่าแล้วก็จะบอกให้ กล้วยน้ำว้าของเราทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง ทำกล้วยฉาบเป็นของทานเล่นก็ได้ ขนมกล้วยห่อใบตองผสมมะพร้าวขูดเยอะๆก็ได้ เอาไปต้มใส่มะพร้าวน้ำตาลทานเป็นของหวานก็ได้ ให้เด็กอ่อนทานแทนอาหารเสริมก็ได้ กล้วยน้ำว้าห่ามๆ ทานแก้ท้องเสียก็ยังได้ ฯลฯ สารพัดประโยชน์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: 07-12-2007, 22:06 » |
|
เอาภาพกล้วยบวชชี มีแต่คนรักมาฝากค่ะ....
ที่มีแต่คนรัก..เพราะทำให้คนอื่นทานไงคะ อิ อิ
ปล. กล้วยบวชชีหม้อนี้ ไม่ต้องใส่น้ำผึ้งนะคะ
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #235 เมื่อ: 07-12-2007, 23:14 » |
|
น้ำผึ้ง :: ที่มีมากกว่าคำว่าความหวาน
เป็นที่รู้กันว่า น้ำผึ้งมีประโยชน์ต่างๆ ซึ่งมากกว่าความหวานโดยทั่วไปมากมาย
เพราะในน้ำผึ้งนั้นอุดมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวนุ่มเนียน วิตามินบี
และกรมอะมิโนที่จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซล์ผิว ให้ผิวคงความสดใส เปล่งปลั่งอยู่เสมอ
สูตรแรก
เป็นการบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสำหรับสาวผิวแห้ง เพียงแค่ใช้ไข่แดง 1 ฟอง กับน้ำผึ้ง 1 ช้อน
นำมาผสมให้เข้ากัน และพอกหน้าเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
จะช่วยให้ผิวนุ่มเนียน และไม่แห้งกร้านอีกต่อไป
สูตรที่สอง
ผสมน้ำผึ้งกับนมสดคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้า และลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งอีกเช่นเดียวกัน
สูตรที่สาม
เป็นการใช้น้ำผึ้งผสมกับแอปเปิ้ลที่นำมาปั่นรวมกันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า
พร้อมกับนวดใบหน้าเบาๆ ซึ่งจะเหมือนกับ SCRUB ที่ใช้ในการขัดหน้า
เพื่อเป็นการขจัดเซลล์ผิวเก่าออกให้หมด รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิดเปล่งปลังอีกทางหนึ่งด้วย
สูตรที่สี่
นำกล้วยหอมมาบดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำผึ้งลงไปสักเล็กน้อย นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักพัก
แล้วล้างออกให้สะอาด ก็จะเพิ่มความนุ่มเนียนให้กับผิวหน้า
แต่สูตรนี้สามารถนำไปใช้ในการพอกเส้นผมได้เช่นเดียวกัน
ก็จะเป็นการเพิ่มความนุ่มสลวยให้กับผมเส้นสวยของคุณอีกด้วย
สูตรที่ห้า
นำแครอทสัก 1 หัวเล็กๆ มาปอกเปลือก และปั่นให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาพอกหน้า
สูตรนี้จะเป็นการลดริ้วรอย และรอยหมองคล้ำบนใบหน้าได้ คุณผู้ชายท่านใดที่ระมัดระวังดูแลผิวพรรณ
จะนำไปปฎิบัติ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดนะคะ
ดอกฟ้าฯ ได้ทดลองทำบางสูตรแล้ว ปรากฎว่าได้ผลดีเหลือเชื่อค่ะ
อีกทั้งประหยัดเงินตราได้ดีอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
เล่าปี๋
|
|
« ตอบ #236 เมื่อ: 19-12-2007, 07:12 » |
|
แอบมาอ่านเรื่อง "น้ำผึ้ง" ของคุณดอกฟ้าฯแล้ว
ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่มีสูตรน้ำผึ้งของผู้ชาย ใช้ได้ด้วยครับบบบบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว ไม่พราวไสว หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น พลันมืดมัว....
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #237 เมื่อ: 29-01-2008, 23:41 » |
|
โองการแช่งน้ำ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (เปลี่ยนทางมาจาก ลิลิตโองการแช่งน้ำ)
โองการแช่งน้ำ กวี : ? ประเภท : พิธีกรรม คำประพันธ์ : ร่ายดั้น และ โคลงห้า ความยาว : 35 บท? สมัย : ต้นสมัยอยุธยา ปีที่แต่ง : ? ชื่ออื่น : ลิลิตโองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า, โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา ลิขสิทธิ์ : - โองการแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีเก่าแก่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย มีความสำคัญทั้งด้านวรรณคดี
นิรุกติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และสังคมของไทย เป็นวรรณคดีที่มีความยาวเพียงไม่กี่หน้า
แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นโองการสำหรับใช้อ่านเมื่อมีพิธีถือน้ำกระทำสัตย์สาบานต่อพระมหากษัตริย์
ชื่อ
โองการแช่งน้ำนั้น เรียกด้วยชื่อต่างๆ กัน กล่าวคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ใช้ในตำราหรือแบบเรียน),
โองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า หรือ โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่หมายถึงวรรณคดีเล่มเดียวกันนี้
ประวัติ
โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ของไทย นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกัน ว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น
แต่นักวิชาการบางท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าวรรณคดีเรื่องนี้น่าจะแต่งขึ้นอย่างน้อยก็ในสมัย พระเจ้าอู่ทอง
ผู้ทรงสถาปนาเมืองอโยธยา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอยุธยา) ขึ้น
คำศัพท์และสำนวนภาษา
โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ใช้คำเก่า แต่เป็นคำไทยแม้เป็นส่วนมาก ทำให้อ่านเข้าใจยาก ทำให้นักวิจารณ์สับสน
ซึ่งแตกต่างจากวรรณคดีที่ใช้ภาษาบาลีหรือสันสกฤต ที่สามารถสืบหาความหมายได้ง่ายกว่า
เช่น ลิลิตยวนพ่าย ซึ่งใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตปะปนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำริ ว่า "โองการแช่งน้ำนี้เรียกว่า โคลง เขียนเป็นหนังสือพราหมณ์
แต่เมื่อตรวจดูจะกำหนดเค่าว่าเป็นโคลงอย่างไรก็ไม่ได้สนัด ได้เค้าๆ บ้างแล้วก็เลือนไป แต่เนื้อความนั้นเป็นภาษาไทย ถอยคำที่ใช้ลึกซึ้งที่ไม่เข้าใจบ้างก็มี..."
("พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล", พระราชพิธีสิบสองเดือน)
คำศัพท์ในโองการแช่งน้ำมีการผสมผสาน เริ่มตั้งแต่คำศัพท์บาลีและสันสกฤต
โดยเฉพาะในช่วงต้นที่เป็นการบูชาเทพเจ้าทั้งสาม เช่น โอม สิทธิ มฤตยู จันทร์ ธรณี เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ไทยโบราณ มีลักษณะของคำโดดพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่ หลายคำปรากฏอยู่ในเอกสารภาษาไทย
และจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัย และอยุธยา นอกจากนี้ยังปรากฏคำในภาษาถิ่นของไทยด้วย เช่น สรวง แผ้ว แกล้ว แล้งไข้ แอ่น แกว่น ฯลฯ
สำหรับคำเขมรนั้นปรากฏไม่มากนัก เช่น ถวัด แสนง ขนาย ขจาย ฯลฯ
ในส่วนของสำนวนภาษานั้นมีลักษณะการแช่งที่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทย เช่น
"ขอให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี"
ยังมีต่อค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #238 เมื่อ: 29-01-2008, 23:54 » |
|
เนื้อหา
เนื้อหาในลิลิตโองการแช่งน้ำอาจแบ่งได้เป็น 5 ส่วนด้วยกัน ดังนี้
สดุดีเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ตามความเชื่อของฮินดู ได้แก่ พระผู้ประทับเหนือหลังครุฑ "สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี"(พระนารายณ์)
พระผู้ประทับบนวัวเผือก "เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนปิ่น" (พระศิวะ) และผู้ประทับ "เหนือขุนห่าน" (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้นๆ กล่าวถึงกำเนิดโลก และสังคมมนุษย์ อัญเชิญเทพยดา พระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีต่างๆ มาเป็นพยาน ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า
คำสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภยันตรายนานา ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า
เป็นเนื้อหาที่ยาวที่สุดในบรรดา 5 ส่วน คำอวยพรแก่ผู้จงรักภักดีแก่ผู้ที่มีความจงรักภักดี มีเนื้อหาสั้นๆ ถวายพระพรเจ้าแผ่นดิน เป็นร่ายสั้นๆ เพียง 6 วรรค
อ้างอิงจากที่เดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: 30-01-2008, 00:53 » |
|
โองการแช่งน้ำ : คำสั่งศักดิ์สิทธิ์หรือวรรณคดี?
โองการแช่งน้ำที่แต่งขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาโดยเฉพาะ
มิได้มุ่งหมายเหมือนวรรณคดีทั่วไป ที่มุ่งหมายให้ประชาชนอ่านกันมาก ๆ แต่ใช้ในพระราชพิธี
ด้วยมีความไพเราะ จึงจัดว่าเป็นวรรณคดีอีกชิ้นหนึ่ง
โองการแช่งน้ำ คือ คำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงไปในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
เพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป
ตามคำสาปแช่งนั้น การแช่งน้ำนี้ พราหมณ์เป็นผู้อ่าน
เมื่ออ่านจบแต่ละตอนจะนำพระแสงราชศัสตรา "แทง" ลงในน้ำนั้น
เป็นพิธีที่ใช้สร้างความจงรักภักดีและสถาปนาความมั่นคงของแผ่นดิน
สำหรับบทอ่าน "โองการ" นั้น เป็นคำร้อยกรองแบบโคลงห้า
มีมาแต่สมัยตั้งกรุงศรีอยุธยา เนื้อความเป็นภาษาไทย ถ้อยคำที่ใช้ลึกซึ้งกินใจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่า
น่าจะแต่งขึ้นในสมัยก่อนแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช
แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อใด อาจจะสมัยพระเจ้าอู่ทองก็ได้
แต่ที่แน่ ๆ น่าจะแต่งขึ้นก่อนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์อย่างแน่นอน
เพราะถ้อยคำในโองการแช่งน้ำนี้ไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับถ้อยคำ ในพระราชนิพนธ์ในสมัยนั้น
ด้วยเหตุนี้พระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสันนิษฐานว่า
ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้น่าจะเป็นวรรณคดีเก่าแก่มาก
และของเราเอามาโดยที่ไม่มีการปรับปรุงเลย เราเอามาทั้งหมดเลย และคนที่แต่งนั้นน่าจะเป็นพราหมณ์
ตัวพระมหากษัตริย์โปรดให้แต่งขึ้น หรือไม่ก็พราหมณ์เอามาจากอินเดียก็อาจจะเป็นไปได้
มีสองทางคือพราหมณ์ที่ประกอบพิธีในมัยกรุงเก่าเอามาจากอินเดียทั้งหมด
เอาคำเหล่านี้มาหรือเอาต้นฉบับมาเลย
หรือมิฉะนั้นก็พระรามาธิบดีองค์ใดองค์หนึ่ง (ถ้าไม่หนึ่งก็สอง)
โปรดให้พราหมณ์ที่ประกอบพิธีนั้นแต่งขึ้น ก็จะมีอยู่สองประเด็นนี้
เนื้อความที่ว่านั้นเริ่มด้วยการสรรเสริญพระนารายณ์ก่อน แล้วสรรเสริญพระอิศวร
แล้วสรรเสริญพระพรหม ความต่อไปจึงเดินเรื่องสร้างโลก
แล้วสรรเสริญพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดิน แช่งผู้ซึ่งทรยศคิดร้าย
ให้พรผู้ซึ่งตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริตจงรักภักดีเป็นจบความกัน
พิเคราะห์ดูในคำโคลงแช่งน้ำนี้ ไม่มีเจือปนพระพุทธศาสนาเลยเป็นของไสยศาสตร์โดยแท้
จึงคาดว่าโองการแช่งน้ำนี้จะมิใช่เกิดขึ้นในครั้ง พระรามาธิบดีที่หนึ่ง
แต่น่ากลัวจะแปลคัดลอกต่อๆ กันมาจากเมืองที่ถือไสยศาสตร์ไม่ได้ถือพุทธศาสนาแต่โบราณ
แต่สำหรับการจะชุบพระแสงศรศัสตราสามองค์นี้
เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลักจริยธรรมที่ปรากฏในลิลิตโองการแช่งน้ำ ไม่ได้มีหลักจริยธรรมเป็นข้อ ๆ แต่สรุปประเด็นก็คือ
เป็นการปรามผู้ที่คิดคดทรยศต่อพระมหากษัตริย์
โดยขอให้ตายด้วยภัยพิบัตินานาประการ ด้วยคมหอกคมดาบ ภายในสามวันเจ็ดวัน
อย่าให้เกิดสามเดือน อย่าให้เคลื่อนสามปี
และนอกจากนี้เตือนข้าราชการให้ปฏิบัติงานด้วยความมีศีลธรรม จริยธรรม ให้ปฏิบัติงานด้วยหลักจริยธรรม
แล้วใครที่ทำดีก็จะมีการปูนบำเน็จรางวัลให้
มีการอวยพรโดยเทพยดาให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองทั้งเกียรติยศบารมีด้วยทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ
คำถวายสัตย์สาบานตน : ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับการอ่านคำสาบานก่อนที่จะดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ข้าราชการจะต้องมีการอ่านคำสาบานกันถ้วนหน้าไม่มียกเว้น
และคำสาบานนี้ก็ได้ใช้กันต่อ ๆ มาโดยที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ
คำปฏิญาณสาบานตนในสมัยโบราณจะเป็นอย่างไร ยังค้นไม่พบ
คำสาบานที่เก่าที่สุดปรากฏครั้งรัชกาลที่ ๕
ในรัชกาลที ๖ และที่ ๗ ก็ใช้คำสาบานทำนองเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิต
ทรงครองแผ่นดินในระบบราชาธิปไตย
ก็จำเป็นอยู่เองที่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทจะต้องปฏิญาณว่าจะไม่คิดกบฏประทุษร้ายต่อองค์ผู้ทรงอำนาจอธิปไตย
เป็นคำสาบานที่เป็นไปและเหมาะสมตามกาลเวลา ครั้นมาในปัจจุบันนี้กาลสมัยได้เปลี่ยนไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกร่างคำสาบานขึ้นใหม่
ให้ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์ปฏิญาณว่า จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง
จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของชาติเท่านั้น
ไม่โปรดให้ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย
ดังนั้น คำปฏิญาณของผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในสมัยปัจจุบันจึงมีความดังนี้
" ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์สาบาน) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณตัวต่อประเทศชาติ
และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า
ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่
จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ
เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย
จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม ่
หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด
ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที
อย่าให้มีความสุขความสวัสดีด้วยประการใดๆ
หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป
ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ พระสยามเทวาธิราช เป็นต้น
จงบันดาลความสุขสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ
ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ
เป็นกำลังทะนุบำรุงประเทศชาติสืบไป
ได้สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
ในปัจจุบันนี้คำสาบานต่างๆ เลือนความขลังไป จึงใช้แต่เพียงกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำการด้วยความสุจริต
โดยตัดตอนที่กล่าวสาปแช่งออกเสียทั้งหมดเหลือเพียง "การให้สัญญา" ต่อกันอย่างที่นิยมกันทั่วโลก
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ที่ทุกคนต้องมีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน พระมหากษัตริย์มิได้มีอำนาจสูงสุดอย่างเช่นเดิม แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่ในทางปฏิบัติแล้วพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ในฐานะสมมติเทพอยู่
จะเห็นได้ชัดเจนจากพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้
การผสมผสานหรือการทับซ้อนกันอยู่ระหว่างความเชื่อผี พรหมณ์และพุทธนี้
ยังคงดำเนินมาอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ด้วยดี ตามคำกล่าวของเบลล่าห์
จะเห็นได้ว่าพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาซึ่งเป็นพิธีมีมาแต่โบราณ
ก็ยังได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกละทิ้งไป
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปก็ตาม
ด้วยความสัมพันธ์ของความเชื่อระหว่างพรหมณ์ พุทธ และผี สังคมผสมผสาน
ไม่ใช่คนไทยแท้ มีการติดต่อ ยกย่องกษัตริย์ หรือผู้นำ ....
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย
เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันเป็นเวลา 700 ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว
เรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว"
สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่
การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือ อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย
การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้คือ
1. พระมหากษัตริย์
2. สภาผู้แทนราษฎร
3. คณะกรรมการราษฏร 4. ศาล
ลักษณะการปกครอง มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ
เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์
การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎร
ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร
จึงใช้ได้ สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร มีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ
อาทิ ได้เปลี่ยนระบบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475
ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง
เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรีให้บริหารราชการแผ่นดิน
แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน
แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้
หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัย
หรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ
ผู้ใดจะละเมิดมิได้เมื่อการปกครองเปลี่ยนแปลงไป
ส่งผลให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจทางการเมืองได้อย่างจำกัด
ต้องเป็นระเบียบพิธีมากขึ้น ทำให้มีการยกเลิกพิธีถือน้ำในปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
อาจเพื่อเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นได้
หลักการของระบอบประชาธิปไตยคือการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน เน้นความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ดังนั้นการจะทำให้ข้าราชการมีความรู้สึกจงรักภักดี ไม่ก่อการปฏิวัติ
หรือทำรัฐประหารตามอำเภอใจ คงจะอาศัยกฎหมายไม่เพียงพอ
จึงได้เกิดการรื้อฟื้นพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
แต่ได้ปรับเปลี่ยนพิธีการบางอย่าง
และตัดทอนคำกล่าวสาปแช่งให้น้อยลง กลายเป็นเพียงการกล่าวคำปฏิญาณทั่วไป
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะต้องการสื่อให้เห็นว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
และเป็นการยืนยันการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วย
ที่ให้ข้าราชการกล่าวคำสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา
และบ้านเมืองแทนองค์พระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันว่า พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้น
เป็นพิธีที่แสดงให้เห็นถึงการสวามิภักดิ์ และความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
และยังสอดคล้องกับบัญญัติในกฏรัฐธรรมนูญว่า
พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ก็มันัยในความหมายที่ยกย่ององค์พระมหากษัตรย์ให้อยู่สูงสุดตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย
อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าประเทศไทยของเราจะมีการพัฒนาไปสักเพียงใด
ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเก่าๆ เดิมๆ จะต้องสูญหายไปตามกาลเวลาเสมอไป
แต่ยังคงสืบเนื่องต่อมาได้อีกยาวนาน
หากพิจารณาตามแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ก็คงจะเห็นได้ชัดเจนว่า
พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเมืองการปกครองกับสถาบันศาสนา
และมีหน้าที่ในการปลุกจิตสำนึกให้ผู้เข้าร่วมพิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุจริต
และเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการควบคุมข้าราชบริพารทั้งหลายมิให้กล้ากระทำผิดคำสัตย์สาบาน
และตั้งใจกระทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความสวัสดิมงคลของชีวิตตน
เพราะฉะนั้น แม้ปัจจุบันจะเป็นโลกแห่งโลกาภิวัฒน์
แต่เรื่องสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือต่อสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะนั้นมีอยู่เกือบทุกประเทศ
แม้ประเทศที่กำลังเจริญทางวิทยาศาสตร์อย่างสุดขีด
เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งคนไปถึงดวงจันทร์แล้ว
แต่ก็ยังถือเอาคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความจำเป็นที่จะต้องพึงปฏิบัติอยู่
เช่น ในพิธีที่สำคัญที่สุดของเขา
คือพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็ยังมีการสาบานตนต่อพระคัมภีร์
หรือในอังกฤษเองก็ยังมีการสาบานตนในพิธีการต่างๆ อยู่หลายพิธี
อาจเนื่องมาจากคำสาบานนั้นมีประโยชน์
เพราะจะคอยเตือนใจของผู้สาบานให้ระลึกถึงคำสาบานอยู่เสมอ
จึงอาจทำให้มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดียิ่งขึ้นกว่าผู้ที่มิได้สาบานตน
และยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำสาบานร่วมกันกับพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว
ก็จะยิ่งเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจมิให้เราสลัดคำสานนั้นยิ่งขึ้น
ดังนั้นคงไม่ต้องแปลกใจหากเรายังพบสัญลักษณ์หรือร่องรอยความเก่าแก่ของอดีต
ปรากฏอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ในทุกวันนี้
บรรณานุกรม
คณะกรรมการการวัฒนธรรมแห่งชาติ, สำนักงาน.กระทรวงศึกษาธิการ.
วันสำคัญโครงการปีรณรงค์วัฒนธรรมไทย และแนวทางในการจัดกิจกรรม. 2537
เรียบเรียงโดย ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดีไทย สมปราชญ์ อัมมะพันธ์
ศิริวรรณ คุ้มโห้.วันและประเพณีสำคัญ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #240 เมื่อ: 04-02-2008, 19:16 » |
|
ใครซื่อแท้ อำนาจเปี่ยมฟ้าสำเร็จไม่สิ้น ใครใจคดขบถโกง
ไฟนรกเผาให้ดิ้น(โองการแช่งน้ำ) (คอลัมน์ร่มรื่นในเงาคิด)
ที่มา : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร คอลัมน์ ร่มรื่นในเงาคิด
นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๐๖๘ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔
นั่งอ่านหนังสือโองการแช่งน้ำ ของ ไมเคิล ไรท์ ก็ได้แต่ทึ่ง
ทึ่งกับอุตสาหะของฝรั่งคนหนึ่งที่รักและเทิดความเป็นไทยเหนือเจ้าของชาติหลายๆ คน
โดยค่อยๆ บรรจงถอดเอกสารไทยโบราณที่เก่าที่สุดออกมาเป็นภาษาปัจจุบันที่อ่านง่ายและงดงาม
ทำให้ "โองการแช่งน้ำ" มีชีวิตชีวายิ่ง ไมเคิล ไรท์ เขียนไว้ในคำนำว่า
"โองการแช่งน้ำ เป็นเอกสารไทยที่เก่าที่สุดและสำคัญที่สุดในภาษา
แต่ยังเป็นเอกสารที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะความคร่ำครึของภาษา
และเพราะเรื่องการแช่งน้ำดูจะไม่มีความสำคัญ สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาให้เทียมนานาอารยประเทศ"
แต่ความพยายามพัฒนาให้เทียมนานาอารยประเทศ จะมีความหมายอะไร เพราะยิ่งเราพัฒนาเท่าใด
เรายิ่งกลายสภาพเป็นทาสในเรือนเบี้ย ของคนอื่นยิ่งขึ้นทุกที
คงมีแต่การต้องหวนคืนสู่ความเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้นแหละ
ที่จะทำให้เราลุกขึ้นยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ นานาอารยประเทศได้--อันนี้ ไมเคิล ไรท์ ไม่ได้ว่า
แต่คนเขียนว่าเอง
และอยากบอกไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่
ว่าถ้าอยากทำให้ (คน) ไทยรัก (คน) ไทยที่กำลังจะมาเป็น "เจ้านาย" ปกครองประเทศในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ลองกลับไปให้ความสำคัญเรื่องโบราณคร่ำครึอย่าง "เรื่องการแช่งน้ำ" ดูบ้างก็ได้
ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก แค่ ว่าที่นายกรัฐมนตรีควักเงินไม่กี่บาท ซื้อหนังสือ "โองการแช่งน้ำ"
ของ ไมเคิล ไรท์ นี่แหละไปแจก ส.ส. ทั้ง 500 คน
แล้วให้นโยบายกำกับไปด้วยว่า ส.ส. ทุกคนควรอ่าน
อ่านแล้ว ให้ยึดถือเป็นคำสัตย์ปฏิญาณแบบไทย-ไทย สำหรับการดำรงตนเป็น "นักการเมือง" ที่ดีของประเทศต่อไป
ใครทำดี ซื่อสัตย์ ก็ขอให้ได้รับ "คำพร" อันน่าชื่นอกชื่นใจจาก โองการแช่งน้ำ
"ใครทำดีซื่อแท้ / พระเจ้าป่าวอวยพร / อำนาจเปี่ยมฟ้าสำเร็จไม่สิ้น
ท่านมีศรีมีบุญเป็นปิ่นตระกูล / ยศท่านเทียมอิศวรนารายณ์ ใครซื่อเจ้าเพิ่มนาง
แผ่บุญศักดิ์ขวัญเมือง ใครซื่อได้รางควายทอง / เพิ่มช้างม้าแผ่วัวควาย ใครซื่อส่องเรือนเร่งรู้ก่อน
ยื่นแก้วพรรณพราวให้ ใครซื่อได้สินเภตรา / เพิ่มพูนหมื่นมหาชัย ใครซื่อใครรักเจ้าให้ยศ
ครองไพร่ให้ยั่งยืน / มียศเท่าเทพล้ำฟ้า / อย่ารู้จักอันตราย / ให้ได้ใจกล้าดังเพชร
บุญอเนกขจรขจาย / สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชครองโลกเป็นนิตย์
ให้สุขเกินฟ้าใส / สมบูรณ์ ท่าน สมบูรณ์"
ในทางตรงกันข้ามสำหรับนักการเมืองโกง ไม่ซื่อ ก็จะต้องได้รับการ "ลงโทษ"
ตามพระอาชญาสิทธิ์ ขององค์พระมหากษัตริย์ ที่คนไทยทุกคนเทิดทูน
ดังที่ปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำ ว่า
"เขาผู้ไม่ซื่อ / ซื่อใครใจคด / ขบถตัวโกง / ไม้ตีฟาดฟัด
มัดศอกแขวะให้ปวดร้าว ถอกเท้ากระเด้าหอก / ลอกเท้าให้ไปมิทันตาย / นอนหงายระทมระทม
จนยมบาลลากไป / ไฟนรกเผาให้ดิ้นต่อ / เหนือขุมอเวจี ผู้ไม่ดีไม่ซื่อ / ซื่อใครใจคด / ขบถต่อเจ้าท่าน
ผู้ครองอยุธยา / สมเด็จพระพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชาธิราช /ท่านมีอำนาจมีบุญ / มีคุณอเนก
ใครอาศัยร่มท่าน / บังอาจข่มชัก / หักกิ่งค่า / ต้องถอนด้วยฤทธิ์อานุภาพ
ทั้งต้นคิดบาป / พันธุ์พวกพ้อง / ทั้งญาติมิตร / ที่ไขว้เขวหรือผูกใจรัก
ชักเกลอสหาย / ทุกคนที่ร่วมการขบถคิดร้ายต่อเจ้าของตน"
นอกจากนี้ นักการเมืองโกง ไม่ซื่อ จะต้องเผชิญกับ "คำสาปแช่ง" อันหนักหนาสากรรจ์ ซ้ำลงไปอีกว่า
"จงเทพยดาฝูงนี้ / ให้ตายในสามวัน / อย่าให้เห็นสามเดือน / อย่าให้รอดสามปี
อย่าให้มีสุขสวัสดีเมื่อไร อย่าให้กินข้าวเพราะไฟจนตาย / จงไปเป็นเปลวปล่อง
อย่าอาศัยน้ำจนตาย / น้ำคลองกลายเป็นพิษ นอนเรือนคาคำรนจนตาย / ฟ้าถล่มลงทับ
ก้มหน้าลงดินจนตาย / แผ่นดินแยกอาชีพ / ไปสี่ขุมกินไฟแทนหวาน จระเข้งับเสือฟัด
หมีแรดฉีกด้วยเล็บนอ / ปลายหอกลูกศรปักรอบ / ใครเจอะจอบจงตาย / งูพิษทั้งหลายใต้ฟ้า
ให้ตายหน้าทิ่มดิน" "ไม่ซื่อน้ำตัดคอ ตัดคอเร็วให้ขาด ไม่ซื่อให้ขังมันไว้
ไม่ซื่อให้น้ำหยดท้องเป็นแผล ไม่ซื่อแร้งกาจิกตา เจาะพุงแย่งไส้
ไม่ซื่อหมาหมีเสือเข่นเขี้ยว ใช้เขี้ยวฉีกย่ำยี"
สำหรับนักการเมืองกะล่อนทั้งหลาย ถ้าคิดจะเลี่ยงบาลีว่าอ่านภาษาโบราณอันแสลงใจนี้แล้ว ไม่เข้าใจ
เพราะเป็นภาษาโบราณคร่ำครึนั้น อย่าแอะออกมาทีเดียว เพราะ ไมเคิล ไรท์
ได้อรรถาธิบายเอาไว้อย่างละเอียดในหนังสือเลยทีเดียวว่า อะไรเป็นอะไร
อย่างที่ โองการแช่งน้ำ บอกว่า
"อย่าให้กินข้าวเพราะไฟจนตาย / จงไปเป็นเปลวปล่อง /
อย่าอาศัยน้ำจนตาย / น้ำคลองกลายเป็นพิษ นอนเรือนคาคำรนจนตาย / ฟ้าถล่มลงทับ /
ก้มหน้าลงดินจนตาย / แผ่นดินแยกอาชีพ / ไปสี่ขุมกินไฟแทนหวาน" นั้น
ไมเคิล ไรท์ บอกว่านี่แหละคือการแช่ง ที่เรียกว่า "เป็นการแช่งด้วยสิ่งที่ดีที่ทุกคนต้องอาศัย (ข้าว น้ำ เรือน ฟ้าดิน)
ให้กลายเป็นสิ่งร้ายสำหรับผู้ไม่ซื่อ หนักนะ ขนาดกลืนข้าว เหมือนกลืนไฟนี่
นักการเมืองที่ประกาศอาสามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง กล้าไหมที่ให้คำสัตย์ตาม "โองการแช่งน้ำ" นั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2008, 19:32 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #241 เมื่อ: 23-04-2008, 22:19 » |
|
***เรื่องของในหลวงที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้***
1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับบลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนามภูมิพลได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี
มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า H.H Bhummibol Mahidolหมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่าแม่
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง
ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่าบ๊อบบี้
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ
เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที
ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ โดยระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จักการให้โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่ากระป๋องคนจน
หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูกเก็บภาษีหยอดใส่กระปุกนี้ 10%
ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน
สมเด็จย่าก็ตอบว่าลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
http://www.watthummuangna.com
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2008, 22:21 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #242 เมื่อ: 23-04-2008, 22:34 » |
|
พระอัจฉริยภาพ
19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจากการเล่นสมัยพระเยาว์
เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง
ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย
โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ บเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น
โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือแสงเทียน
จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย
ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลงเราสู้
26.รู้ไหม
? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. - - - -
28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉาย
แล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนายอินทร์และติโต ทรงเขียนด้วยพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ
ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกีฬาซีเกมส์)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า
ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ กังหันชัยพัฒนา เมื่อปี 2536
33.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน
เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว
34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #243 เมื่อ: 23-04-2008, 22:58 » |
|
เรื่องส่วนพระองค์
35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36.ร ักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่าน่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ
เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38.หลังอภิเษกสมรส ทรงฮันนีมูนที่หัวหิน
39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม
ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล
เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
44.หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด
ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า
วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว
ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่
ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2008, 23:05 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #244 เมื่อ: 23-04-2008, 23:36 » |
|
งานของในหลวง
46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ
แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง
เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท
ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่
ในหลวงตอบว่า ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"
54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง
(20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้
เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #245 เมื่อ: 24-04-2008, 01:33 » |
|
ของทรงโปรด
55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตั้งช่าย
57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย
โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ
และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ
ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร
ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล
ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #246 เมื่อ: 24-04-2008, 22:42 » |
|
รู้หรือไม่?
66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "นายหลวง" ภายหลัง จึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง 67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน 68. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ" 69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี 70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็น แซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนัก มาก ยกไม่ไหวหรอก" 71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด 72. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อ ไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี 73. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์ จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์ 74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน 75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน 76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง 77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง 78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่ง รวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด 79 - - - - 80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน เอามาฝากให้อ่านกัน เพื่อให้ซึมซับถึงพระราชกรณีกิจ
พระอัจฉริภาพ ความเสียสละ ความรักและเมตตาที่มีต่อปวงชนชาวไทยเสมอ
ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปนานแสนนาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #247 เมื่อ: 07-08-2008, 22:21 » |
|
จารุวรรณ เมณฑกา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา (5 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 ) ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
เกิดที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนโต ในจำนวน 8 คนของ นายเต็ม-นางยรรยง สมรสกับ นายทรงเกียรติ เมณฑกา นักธุรกิจด้านสิ่งพิมพ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 3 คน คือ
นายกิตติวัฒน์ เมณฑกา วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันเป็นเลขานุการ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน น.ส.ขจาริน เมณฑกา บัญชีบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (เกียรตินิยม) เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ปัจจุบันได้รับทุน มหาวิทยาลัย IUJ International University ประเทศญี่ปุ่น ศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท สาขา Finance Innovation น.ส.ศุภางค์ เมณฑกา วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันทำงานที่บริษัทวิทยุการบิน
คุณหญิงจารุวรรณ จบการศึกษาจากโรงเรียนศึกษาวัฒนา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และได้รับทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน (ปัจจุบัน คือ ทุนเอเอฟเอส)
ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงเข้าเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง เมื่อ พ.ศ. 2510
จากนั้นจึงเริ่มทำงานที่สำนักงานบัญชีไชยยศ สมบัติ เป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ที่บริษัท NCR และ ได้เข้าทำงานด้านบัญชี
ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานของรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานราชการ
หลังจากนั้นสอบชิง ทุน ก.พ. ในโควต้าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้อันดับ 1 ในจำนวน 4 คนที่สอบผ่าน ได้ไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านการบัญชีและการตรวจสอบ
ที่ มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต สหรัฐอเมริกา และได้มีโอกาสทำงานด้านการตรวจเงินแผ่นดินที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สหรัฐอเมริกา
ปี พ.ศ. 2516 กลับมาเริ่มงานที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เติบโตในหน้าที่จนกระทั่งได้เป็นผู้อำนวยการ สตง.ภูมิภาค,
ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน สตง. และ เป็นข้าราชการซี 10 ในตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ สตง. ตามลำดับ
เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มีผลบังคับใช้ และกำหนดให้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นองค์กรอิสระ โดยมีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 10 คน
และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 1 คน ทำหน้าที่คานอำนาจกัน คุณหญิงจารุวรรณจึงสมัครเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ในขณะนั้น การสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินประสบปัญหาล่าช้า เนื่องจากผู้สมัครขาดคุณสมบัติ จึงมีผู้เสนอชื่อให้คุณหญิงจารุวรรณเป็นผู้ว่าการฯ
และได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนแรก
ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุตถจุลจอมเกล้า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 จึงใช้คำนำหน้านามว่า "คุณหญิง"
หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.
เนื้อหา [ซ่อน] 1 ประวัติการศึกษา 2 ประวัติการทำงาน 3 การดำรงตำแหน่งอื่นๆ 4 รางวัลเกียรติยศ 5 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ 6 อ้างอิง
[แก้] ประวัติการศึกษา
ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ Vista High School USA บัญชีบัณฑิต(เกียรตินิยม) จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย MBA (Accounting & Auditing) มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต นักเรียนทุนของรัฐบาล
ประกาศนียบัตรจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จากสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้ตรวจสอบภายในวิชาชีพ
หลักสูตรการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จากสถาบันพระปกเกล้า
ประวัติการทำงาน เลขานุการกรม สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รองผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
การดำรงตำแหน่งอื่นๆ เลขาธิการและอุปนายกสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาตรฐานมหาวิทยาลัยเอกชนของทบวงมหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงวุฒิ สาขาการเงินและการบัญชีสำนักงาน ก.พ. กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตรวจสอบภายในภาคราชการ กระทรวงการคลัง กรรมการกลุมปรับปรุงชุดวิชาประสพการณ์วิชาชีพการสอบบัญชี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อนุกรรมการมรรยาทผู้สอบบัญชีรับอนุญาต อนุกรรมการทดสอบการปฏิบัติงานเพื่อเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้สอบบัญชีกิตติมศักดิ์ มูลนิธิเพื่อการกุศลต่าง ๆ ที่ปรึกษาในการวางระบบตรวจสอบรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ประเทศจีน ที่ปรึกษาโครงการตรวจสอบเงินกู้ธนาคารโลก
รางวัลเกียรติยศ นิสิตเก่าดีเด่น จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จตุตถจุลจอมเกล้า วันที่ 5 พฤษภาคม 2546 ตติยจุลจอมเกล้า วันที่ 5 พฤษภาคม 2548 คดีหวยบนดิน และคดีกล้ายาง ที่ต่อสู้อยู่บนความโดดเดี่ยว
ศาลได้ประทับรับฟ้องแล้ว
ขอกราบขอบพระคุณ...คนดี...ศรีแผ่นดินทุกๆท่านค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2008, 22:40 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
paper punch
|
|
« ตอบ #248 เมื่อ: 08-08-2008, 14:56 » |
|
ขอชื่นชมในความในความแกร่งกล้าของคุณหญิงครับ ทองแท้ แม้จะถูกไฟลน ก็ยังเป็นทองแท้เสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง
ปล.วันนั้น(พยายาม)นั่งดูลูกสุนัข 3 ตัวเห่าหน้าจอทีวีเรื่องบ้านคุณหญิง อยากกระโดดถีบซะเหลือเกิน..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
|