“เอกยุทธ” สับแหลก “การเมืองใหม่” ของพันธมิตรฯ ก็แค่หวัง “ส้มหล่น”

“เอกยุทธ” สับแหลก “การเมืองใหม่” ของพันธมิตรฯ ก็แค่หวัง “ส้มหล่น” อยากเล่นการเมือง แต่ไม่อยากลงเลือกตั้ง ชี้หลายคนที่ขึ้นเวที ส่วนใหญ่ก็พวกแพ้ศึกเลือกตั้ง เชื่อการเพิ่มอำนาจให้ปชช. ไม่จำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ก็ทำได้

ยังชูจุดเดิมคือ “สำแดงภาษีย้อนหลัง” ให้สอดรับกับรายได้ อยู่ที่ว่าจะมีใครกล้ารับแนวทางนี้หรือไม่ ขณะที่ปชป.ยังเชื่อมั่นโครงสร้างระบบรัฐสภายังไปได้ มีจุดอ่อนก็ต้องแก้ไขกันไป

วันที่ 7 ก.ค. 2551 นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ กล่าวถึงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปล่อยข่าวว่า จะมีการปฏิวัติตัวเองของรัฐบาล โดยเฉพาะตท.10 ว่า ไม่ควรจะมาพูดกันเล่นๆ คนที่พูดก็ไม่ได้อยู่ในแวดวงทหาร แต่เป็นกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลอยู่ จึงมีการโยนหินถามทางออกมา อย่าลืมว่า “เงื่อนไขการทำปฏิวัติ” ไม่ได้อยู่ที่การเมืองอย่างเดียว แต่มันมี “ปัจจัยสำคัญ” ที่ไม่สามารถระบุถึงได้ ที่หากไม่ได้รับการยอมรับจากเบื้องบน การปฏิวัติก็จะกลายเป็นกบฏทันที การพูดถึง “ปฏิวัติตัวเอง” สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังไม่สุกงอมพอที่จะทำเช่นนั้นได้

สำหรับแนวคิดเรื่อง “การเมืองใหม่” ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯป่าวประกาศบนเวทีปราศรัย โดยตั้งตุ๊กตาว่า ให้มีเลือกตั้ง 30% จัดตั้ง 70% นายเอกยุทธ กล่าวว่า ก็เป็นการย้อนยุคถอยหลังลงไปอีก จะเป็นลักษณะการเมืองส้มหล่น อยากเล่นการเมือง แต่ไม่อยากลงสู้ศึกเลือกตั้ง อย่าลืมว่า การเมืองจะใสสะอาดไม่ได้ หากคนที่จะลงมาเล่นการเมืองไม่มีคุณธรรม ตนย้ำมาเสมอว่า การตรวจสอบบุคคลที่จะเข้ามาเล่นการเมือง สำคัญกว่าเรื่องอื่นใด ได้เสนอเรื่องการสำแดงการเสียภาษีให้สอดรับกับรายได้ที่มีอยู่ แต่ไม่มีใครกล้ายอมรับในจุดนี้ เพราะถ้ารับเงื่อนไขนี้ทุกคนก็จะโดนกันหมด

“การเพิ่มอำนาจให้ประชาชน ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ถามว่าจะเราจะเอาคนข้างถนนเหล่านี้มาเล่นการเมืองหรือ พวกที่ขึ้นเวที หลายคนลงเลือกตั้งก็แพ้ เป็นข้าราชการเกษียณที่อยากได้เก้าอี้ก็มี เป็นนักวิชาการที่พูดแล้วเลอะเทอะ จึงต้องการ “ส้มหล่น” ทางการเมือง หากการเมืองรูปแบบนี้เกิดขึ้นได้ ระบอบประชาธิปไตยก็อย่ามีดีกว่า เพราะไม่มีการยอมรับความเห็นของคนอื่น คิดเพียงว่า ความเห็นของพวกพ้องตัวเองถูกต้องฝ่ายเดียว ไม่รับฟังความเห็นคนอื่น อีกทั้งยังเป็นการเรียกร้องโดยไม่มีวันจบสิ้น วันนี้พวกโจรจะชอบมาก เพราะตำรวจไม่ต้องมาดูแลทรัพย์สินของประชาชน แต่ต้องมาดูแลม็อบข้างถนนเหล่านี้ ขณะที่หน่วยความมั่นคงเราไม่แข็งแรงพอ เพราะไม่จัดการกับ “ตัวปัญหาที่แท้จริง” ถ้าไม่จัดการ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเกิดปัญหาตลอด”นายเอกยุทธกล่าว

นายเอกยุทธ กล่าวอีกว่า สัปดาห์ที่แล้ว “ศรราม เทพพิทักษ์” ดารานักแสดงออกมาพูดพาดพิงพันธมิตรฯ ก็ปรากฏว่า ถูกกลุ่มพันธมิตรฯนำม็อบที่สิงห์บุรีไปประท้วงและด่าทอ ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะหากไม่ยอมรับคำติติงของคนอื่น โอกาสที่จะมีการปะทะจะมีสูง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดี ตนขอประณามการเมืองข้างถนน ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ในแง่ดีของพันธมิตรฯก็ดี แต่การยุยงให้กระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และไม่สมควร ทางออกที่ดีคือ หากขัดแย้งกันทางความคิด ก็ควรตั้งเวทีสาธารณะขึ้นมา เป็น Public Hearing ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากมีการกล่าวหากันเรื่องใดๆ ก็สามารถใช้เวทีสาธารณะมาแสดงความเห็นกันได้ นำคนกล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา มาพูดคุยกันบนเวที ประชาชนจะได้รับรู้ข่าวสารของทั้งสองฝ่าย ดีกว่าต่างคนต่างพูด เรียกมวลชนมาปิดถนน อีกฝ่ายมีสื่อในมือก็โจมตีซึ่งกันและกัน

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองเรากำลังย่ำแย่ การจัดตั้ง-การประท้วง มีเงินหมุนเวียนมากมาย ไม่มีการแสดงบัญชีค่าใช้จ่าย การเคลื่อนพลมาปิดถนน ก็ไม่อยากจะบอกว่า การมาปิดย่านธุรกิจ ก็เพื่อหวังให้นักธุรกิจต้องลงขันกันจ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงอย่ามาประท้วงในแถบธุรกิจเลย ขอเรียนว่า การต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ใจเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าไปเป็นเครื่องมือของใครที่คิดจะหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง”นายเอกยุทธกล่าว