ในความเห็นของผม
แนวคิดของอาจารย์มีชัย ที่ชี้ให้มองดูว่ากระบวนการทางกฎหมาย แยกเป็นสองขั้นตอน น่าจะเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า การตัดสินของศาลปกครอง ที่เพิกถอนกฎหมายแปรรูปการไฟฟ้านั้น ถูกต้องหรือไม่
แม้กระบวนการออกกฎหมายแปรรูปการไฟฟ้าจะทำไม่ถูกต้อง ไม่ชอบ ควรต้องเป็นโมฆะ แต่กฎหมายได้ผ่านไปจนลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว.. ดังนั้นกฎหมายแปรรูป แม้จะไม่ถูกต้องในเบื้องต้น แต่ก็ถูกต้องในที่สุด.. และศาลปกครองไม่น่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะถอนกฎหมายที่ลงพระปรมาภิไธยไปแล้วได้เอง เมื่อศาลเห็นว่ากฎหมายมีต้นตอที่มาที่ไม่ชอบ ก็ควรต้องสรุปส่งให้รัฐสภาหรือรัฐบาลทำการยกเลิกกฎหมายตามขั้นตอน
ความจริงผมเบื่อที่จะพูดหลายรอบ แต่ในเมื่อคุณขยันตั้งหลายรอบ ผมก็จะตอบอีกสักรอบก็แล้วกัน
ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ กฎหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้น แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงอยู่ภายใต้กฎหมาย
แต่กฎหมายนั้นมีศักดิ์ของมัน รัฐธรรมนูญใหญ่สุด พรบ. ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ พรฎ. ที่ออกตามความใน พรบ. ก็ต้องไม่ขัดกับ พรบ. เป็นต้น
และหลักสำคัญคือ
"กฎหมายลูกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแม่ย่อมไม่สามารถบังคับใช้ได้" เช่นกฎหมายใดที่เห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ ก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้เป็นต้น ซึ่งเมื่อตีความออกมาแล้วก็ให้ถือเอาตามนั้น
กระบวนการแก้ไขย่อมต้องมีตามมา แต่ถึงแม้จะยังไม่มีกระบวนการแก้ไข และถึงแม้มีการลงพระปรมาภิไธยแล้วก็ตาม
กฎหมายนั้นๆ ก็ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วว่าขัดกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด
มาดูเรื่องของศาลปกครอง พรบ. ศาลปกครองระบุชัดเจนให้อำนาจพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของ พรฎ.
ในเมื่อศาลปกครองตัดสินชัดเจนว่า พรฎ. แปรรูปนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ต่างกับกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ย่อมเป็นโมฆะไปโดยปริยาย กฎหมายถึงจะมีอยู่ก็แค่เศษซากของตัวอักษร ไม่สามารถใช้ได้
คุณจะอ้างว่าจะต้องส่งเรื่องไปให้แก้ไขอะไรนั่นผมเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะมันเป็นโมฆะไปแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว
ถ้าไม่ชอบใจก็ต้องไปยื่นกับศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่คุณชูชีพเขาทำ ไม่ใช่มาเถียงกับตัวบทกฎหมายที่เขียนไว้ชัดเจน มันเปล่าประโยชน์