ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
14-05-2025, 22:39
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ดูมันทำ =ปฏิรูปสื่อ= ผลงาน ครม.สมัคร 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ดูมันทำ =ปฏิรูปสื่อ= ผลงาน ครม.สมัคร  (อ่าน 3232 ครั้ง)
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« เมื่อ: 11-06-2008, 10:52 »

ครม.อนุมัติพ.ร.บ.คลื่นความถี่ฉบับใหม่ เปิดช่องการเมืองแทรก-กสช.ไม่เป็นอิสระ
11 มิถุนายน พ.ศ. 2551 08:45:00

ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฉบับใหม่ ที่มา กสช. จากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี กำหนดแผนแม่บทสื่อ-โทรคมนาคมต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐ นักวิชาการ-นักกฎหมาย ระบุเป็นกฎหมายพิการ ต่อต้านการปฏิรูปสื่อ เปิดช่องการเมืองแทรกแซง และเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

ขณะที่ กทช.หวั่น ที่มาขัดรัฐธรรมนูญ โดยที่ กสช.ไม่ใช่องค์กรอิสระอีกต่อไป ทั้งนี้ สมาชิกวุฒิสภา-สื่อภาคประชาชน เตรียมเคลื่อนไหวคัดค้าน เหตุละทิ้งสื่อชุมชนอย่างสิ้นเชิง


        น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (10 มิ.ย.) ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ... ซึ่งเป็นการแก้ไขพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.2543 เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ระบุว่า องค์กรอิสระกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จะต้องเป็นองค์กรเดียว ในรูปของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสช.) และต้องทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 180 วัน หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา

        แหล่งข่าวจาก ครม. เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เป็นวาระแรก และได้มีการตั้งข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ มีความกังวลเรื่องอำนาจของ กสช.ที่จะมีอำนาจมากเกินไป โดยเฉพาะกรณี กสช.ไม่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล จะมีบทลงโทษอย่างไร ซึ่งไม่มีบทลงโทษ

        นอกจากนี้ยังมีเรื่องคุณสมบัติของกรรมการ กสช.ว่า ที่กำหนดไว้ว่า บุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งที่เกี่ยวกับกิจการวิทยุ โทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม ไม่ต่ำกว่า 5 ปี แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า สามารถเปลี่ยนเป็น 3 ปีได้หรือไม่ เนื่องจากเอกชนท้วงติงและยังได้ทำหนังสือถึงนายสุวิทย์ด้วย ทำให้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมครม.ว่าให้นำเรื่องดังกล่าวไปถกกัน ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร

ชี้ร่างพ.ร.บ.ต่อต้านปฏิรูปสื่อ

       วาน นี้ (10 มิ.ย.)  "กรุงเทพธุรกิจ"  จัดเสวนา "ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ตอบโจทย์ปฏิรูปสื่อ?"  โดยเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.องค์กรฯ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์  ผู้อำนวยการวิจัย ด้านเศรษฐกิจยุคสารสนเทศ สถาบันวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ที่ผ่านการพิจารณาของ ครม. เป็นการปรับจากโครงร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในรัฐบาลชุดก่อน

        แต่สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะในประเด็นที่มาขององค์กรอิสระองค์กรหนึ่ง ที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้ชื่อว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสช. ที่แตกต่างจากพ.ร.บ.องค์กรฯ ปี 2543 ซึ่งกำหนดให้องค์กรอิสระมาจากการสรรหา แต่จะพบปัญหากลุ่มผลประโยชน์แทรกแซงครอบงำ แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีปัญหาความไม่ชัดเจนของการออกแบบหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นองค์กรอิสระ หรือไม่อิสระ

        ตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ การแต่งตั้ง กสช. จะดำเนินการโดยรัฐมนตรีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอรายชื่อที่มาจากการเสนอชื่อของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ต่อ ครม.แต่งตั้ง และให้นายกฯนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง โดยขั้นตอนการแต่งตั้ง กสช. จะไม่เกี่ยวกับวุฒิสภา

        แต่ในการถอดถอนกลับกำหนดให้ถอดถอนโดยวุฒิสภา ทั้งนี้ ในร่างพ.ร.บ.พยายามเขียนให้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ กสช.ทำแผนแม่บทโดยยึดถือตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา  จึงไม่ชัดเจนเรื่องความรับผิดชอบต่อกัน เพราะรัฐบาลแต่งตั้งเพื่อให้ปฏิบัติตามรัฐบาล แต่เวลาถอดถอนกลับให้วุฒิสภาถอดถอน

        ขณะที่รัฐบาลชุดนี้กับวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่เชื่อมโยงกัน  ถือเป็นการออกแบบหลักการใช้อำนาจขององค์กรอิสระที่มีความสับสนอย่างมาก

        นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจากกระบวนการสรรหา โดยมี 2 องค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ กสช. และสำนักงาน กสช. (สำนักงาน กทช.ในปัจจุบัน) ทั้งการกำหนดคุณสมบัติของหน่วยงานที่จะเสนอรายชื่อ และคุณสมบัติของ กสช.  หรือคือการที่ กสช. กำหนดสเปคของคนที่จะมาเป็น กสช.  คุณสมบัติองค์กรอิสระที่สำคัญระดับนี้ สภาควรเป็นผู้กำหนด และตามมาตรา 8 สำนักงาน กสช. ก็จะเป็นผู้รับหน้าที่ขึ้นทะเบียนหน่วยงานที่จะเสนอรายชื่อ กสช. โดยเป็นผู้กำหนดว่าหน่วยงานใดจดทะเบียนได้ หน่วยงานใดไม่ได้ ทั้งที่คนที่มาจดทะเบียน คือคนที่จะเลือก กสช. และต้องเลือกหน่วยงานตามหลักเกณฑ์ที่ กสช. กำหนด

        "เป็นเรื่องที่แปลกมากในการเลือก กสช. เพราะ กสช. เป็นเจ้านายของสำนักงาน กสช. ที่ทำหน้าที่เป็นเลขา กสช. แต่กลับเป็นผู้กำหนดคุณสมบัติของหน่วยงานที่จะคัดเลือก กสช. ที่ก็คือหน่วยงาน กทช. ในปัจจุบัน   โดยโครงสร้างของ กทช. คือกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับการแต่งตั้ง กสช. เพราะเป็นผู้กำหนดกติกาเอง และให้ลูกน้อง คือสำนักงาน กสช.เป็นคนขึ้นทะเบียน จึงเป็นโครงสร้างการแต่งตั้งที่มีปัญหามาก และมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก" ดร.สมเกียรติ กล่าว

'ทีดีอาร์ไอ'แนะรัฐถอยปรับร่างฯ

       ดร. สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นร่างพ.ร.บ.ที่ต่อต้านการปฏิรูปสื่อ เพราะเป็นการรักษาสถานภาพเดิมขององค์กรกำกับดูแล จากการแต่งตั้ง กสช.และสำนักงาน กสช. ที่กำหนดกติกากันเอง ที่สำคัญสาระในมาตรา 67 วรรค 1 และมาตรา 68  ที่รักษาสิทธิของผู้ได้รับสัมปทานเดิมให้ยังมีอยู่ต่อไป 

    ทางออกของการแก้ปัญหาที่จะเกิดจากการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ คือให้รัฐบาลชะลอการนำร่าง พ.ร.บ. เสนอต่อสภา และรัฐมนตรีไอซีที นำร่างกลับมาแก้ไข โดยตั้งกรรมาธิการคณะหนึ่ง ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการแสดงความคิดเห็น เพื่อแก้ไขร่าง

        "แม้จะมีข้อกำหนดเรื่องเวลาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ดำเนินการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน  แต่หากไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ก็ไม่ได้ระบุบทลงโทษไว้  รัฐบาลจึงจะถอยหนึ่งก้าว เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เรื่องนี้แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีทาง" ดร.สมเกียรติ  กล่าว

        แต่หากรัฐบาลยืนยันที่จะเสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ สู่สภา ฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ในการเสนอร่างประกบ เพื่อให้สภามีทางเลือกในการพิจารณา ไม่ใช่ต้องยึดร่างของรัฐบาลมาพิจารณาปรับแก้เพียงฉบับเดียว และวุฒิสภาจะต้องทำหน้าที่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และตัวแทนจากภาคต่างๆ 

กทช.หวั่นกฎหมายขัดรธน.

        นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า ส่วนตัวมีความเป็นห่วง พ.ร.บ.องค์กรฯ ฉบับใหม่ ว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพราะตาม ม.47 กำหนดชัดเจนให้องค์กรกำกับดูแลต้องเป็นองค์กรอิสระ แต่เมื่อ พ.ร.บ.องค์กรฯ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เป็นผู้เสนอและที่ประชุม ครม. เป็นผู้แต่งตั้ง ก็มีโอกาสที่ฝ่ายการเมืองจะเข้าแทรกแซงการทำงานได้ ดังนั้นแนวทางหนึ่ง อาจเสนอให้วุฒิสภาเป็นผู้อนุมัติแต่งตั้ง และถอดถอนได้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ให้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไว้

        กฎหมายฉบับนี้ ต้องมีการปรับปรุงมาก ถ้าเป็นไปได้ควรหยิบยก พ.ร.บ.องค์กรฯ ปี 2543 มาเป็นต้นแบบ เพราะเป็นฉบับที่มีความสมบูรณ์ จากนั้นจึงกำหนดโครงสร้างใหม่ และเพิ่มเติมส่วนความโปร่งใส การตรวจสอบ การถอดถอน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ดีกว่าเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งวุฒิสภาสามารถเปิดเวทีกลาง ให้มีการอภิปราย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการแก้ไข

ส.ว.สายสื่อ-ภาคประชาชนเตรียมค้าน

        นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า รู้สึกหดหู่และรับไม่ได้กับสาระของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างมาก เพราะเป็นการนำร่างเดิมของกรรมาธิการวิทย์ฯ สมัย สนช. ไปตัดต่อพันธุกรรม จนไม่เหลือสาระของร่างพ.ร.บ.องค์กรฯ ปี 2543 แสดงให้เห็นเจตนารมย์ของรัฐบาลที่ยังมีอคติ กับการปฏิรูปสื่อ  โดยเฉพาะการตัดสาระเรื่องสัดส่วน 20% ของสื่อภาคประชาชนออกไป และที่มาของ กสช. ที่มาจากการแต่งตั้งของ ครม.

        "ส.ว.ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านสื่อ คงไม่ยอมให้ผ่านร่างพ.ร.บ.ที่พิการแบบนี้  โดยจะเคลื่อนไหวผ่านกรรมาธิการด้านสิทธิเสรีภาพในการเปิดเวที ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับอื่นประกบกับร่างของรัฐบาล ในการพิจารณาของสภาด้วย"

        ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ประธานสถาบันพัฒนาสื่อภาคประชาชน กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของสื่อภาคประชาชน เพราะสาระสำคัญเรื่องสื่อภาคประชาชนที่กำหนดสัดส่วนไว้ 20% ในพ.ร.บ.องค์กรฯ ปี 2543 ไม่มีอยู่ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เท่ากับสิทธิภาคประชาชนหายไปจากร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่

        "ไม่เข้าใจว่า ครม.ผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาได้อย่างไร เพราะตามบทบาทหน้าที่ของกฎหมายฉบับนี้ จะต้องตอบสนองตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 ด้วยการมีองค์กรอิสระกำกับดูแล"


เอกชนหวังเห็นกสช.พัฒนากิจการ

       นายธัช บุษฎีกานต์ รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และวิทยุโทรทัศน์ เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงนับแสนล้านบาท จากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นวันนี้ภาคเอกชนต้องการให้เกิดองค์กรอิสระที่มาดูแล กำหนดกติกาการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและการพัฒนากิจการทัดเทียมประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้  เพราะกิจการโทรคมนาคม วิทยุและโทรทัศน์ของไทย ถือว่าล้าหลังหลายประเทศในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามมองว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่คุ้มครองผู้ได้รับสัมปทานเดิม เป็นไปตามมาตรา 305 ของรัฐธรรมนูญปี 2550" นายธัชกล่าว

        นายทวี เส้งแก้ว ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ กล่าวว่า มองว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ใช่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ  แต่เป็น พ.ร.บ. จัดสรรประโยชน์ที่มาของ กสช. ผู้ที่จะมาใช้อำนาจ หรืออาวุธที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน ์พ.ศ.2551 สาระในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ขัดแย้งกับ พ.ร.บ.วิทยุทีวีฯ โดยเฉพาะในมาตรา 20 ที่ระบุว่า อำนาจของ กสช. ต้องไม่ขัดแย้งกับกฎหมายวิทยุทีวี และกฎหมายโทรคมนาคม ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นกฎหมายทั่วไป ที่มีสาระและบทบาทมากกว่ากฎหมายเฉพาะอย่างกฎหมายวิทยุทีวี และกฎหมายโทรคมนาคม ถึงถือได้ว่าเป็นร่างพ.ร.บ.พิกลพิการฉบับหนึ่ง


http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=3127


ผลงานแต่ละเรื่อง เฮงซวย ห่วยแตก
ติดหนวดยิ่งกว่าคณะทหาร






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2008, 10:57 โดย Cherub Rock » บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 11-06-2008, 11:13 »

เดี๋ยวมันก็จมกองขี้ กองเยี่ยวตายเองแหล่ะ ลุแก่อำนาจขนาดนี้ 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 11-06-2008, 11:36 »

รู้สึกว่าพักหลังๆมานี่ รัฐบาลทำแต่เรื่องเหรี้ยๆห่วยแตกนะ 
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #3 เมื่อ: 17-06-2008, 12:04 »

หยุดปล้นคลื่นความถี่ของชาติ หยุดระบอบลูกกรอก
สารส้ม
วันที่ 12/6/2008

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ และกำหนดให้มีองค์กรอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม

หมายความว่า จะต้องมีองค์กรอิสระหนึ่งองค์กร ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ทั้งหมด ว่าจะเป็น กิจการโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ โทรคมนาคม ฯลฯ และกำกับดูแลการประกอบกิจการ

เรื่องนี้ จึงต้องให้มี "องค์กรอิสระ" ขึ้นมาทำหน้าที่ เพื่อให้เกิดการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างอย่างแท้จริง และป้องกันมิให้ฝ่ายการเมืองและธุรกิจครอบงำ แทรกแซง บิดเบือนการจัดสรรคลื่นความถี่

เพื่อนำไปสู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ (1) ปฏิรูปกิจการโทรคมนาคมทั้งระบบ และ (2) ปฏิรูปกิจการโทรทัศน์และวิทยุทั้งระบบ

โดยการรื้อโครงสร้างความเป็นเจ้าของทั้งหมด เพื่อจัดสรรใหม่ให้เกิดความสมดุล ไม่ใช่ปล่อยให้นักธุรกิจผูกขาดนำคลื่นความถี่ของรัฐไปหากินในทางธุรกิจลูก เดียวอย่างเป็นมา และไม่ใช่ปล่อยให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือเป็นสมบัติผลัดกันชมของนักการเมืองที่เข้ามามีอำนาจ เหมือนอย่างที่เป็นมา

หลักในเรื่อง "ความเป็นอิสระ" ขององค์กรผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว คือ (1) อิสระจากอำนาจการเมือง และ (2) อิสระจากอำนาจธุรกิจที่ยึดครองผลประโยชน์อยู่ในขณะนี้ จึงเป็นหลักสำคัญยิ่งยวด !

ถ้าองค์กรอิสระหนึ่งองค์กร นี้ ไม่มีกระบวนการสรรหาเพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่มีความอิสระ ตรวจสอบได้ โปร่งใส มีธรรมาภิบาล ก็เท่ากับว่า ปล้นคลื่นความถี่อันเป็นของส่วนรวมไปเป็นของคนที่ชักใยอยู่ข้างหลังองค์กร นี้

เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มูลค่ามหาศาล หลายแสนล้านบาท และเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางการเมืองอันยากที่จะประเมินค่า !

แค่นี้ คงนึกออก ว่าบรรดาธุรกิจที่ครอบครองและใช้คลื่นความถี่ทำมาหากินอยู่ จะต้องการยึดครองคลื่นความถี่ต่อไป รวมทั้งต้องการจะมีส่วนหรือมีอิทธิพลในการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแล กิจการเหล่านี้มากแค่ไหน และฝ่ายการเมืองก็จะต้องการเข้ามามีบทบาท มีอำนาจ เหนือการจัดสรรและกำกับดูแลกิจการเหล่านี้มากขนาดไหน

จะมีความพยายามสอดแทรก แทรกซึม แทรกแซง แทรกซื้อ แทรกอิทธิพล ล้วงเข้ามาในกระบวนการปฏิรูปและจัดสรรคลื่นความถี่เหล่านี้ มากแค่ไหน

เรียกว่า มีขบวนการ "ฮุบคลื่นความถี่" ตีคู่มากับกระบวนการ "ปฏิรูปคลื่นความถี่" อย่างน่ากลัว !

ที่ผ่านมา ในช่วงที่พยายามปฏิรูปสื่อตามรัฐธรรมนูญ 2540 ในการสรรหา กทช.ก็ดี หรือ กสช. ก็ดี จึงปรากฎว่า มีการแทรกแซงกระบวนการสรรหาอย่างหนัก อาทิ กรณีสินบน กทช. กรณีการลงมติเลือก กทช.ของวุฒิสภา หรือกรณีแทรกแซงกระบวนการสรรหา กสช. ถึงขนาดมีเรื่องราวไปถึงศาล ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนการสรรหา ต้องเริ่มสรรหาใหม่ เป็นต้น

มาบัดนี้ ภายใต้อำนาจของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปรากฏว่า ขบวนการ "ฮุบคลื่นความถี่" แสดงออกถึงความเหิมเกริม และอุกอาจอย่างยิ่งยวด

ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมฯ โดยที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีเนื้อหาสาระสำคัญที่บิดเบือนและทำลายเจตนารมณ์ของการปฏิรูปกิจการ โทรคมนาคมและโทรทัศน์วิทยุทั้งหมด

องค์กรอิสระหนึ่งองค์กร จะกลายสภาพเป็นองค์กรที่ตั้งโดยรัฐบาลองค์กรเดียว

เนื่องจาก ครม. จะเป็นผู้เลือกคนที่ตนต้องการเข้าไปเป็นกรรมการในองค์กรดังกล่าว ตัดตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ไม่มีกระบวนการสรรหาเพื่อให้ได้คนที่เป็นอิสระโดยไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของ กลุ่มผลประโยชน์ในรัฐบาล

กำหนดให้ กสช. มีอำนาจล้นฟ้า จัดสรรและดูแลผลประโยชน์มูลค่าหลายแสนล้านบาท ทั้งคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม เบ็ดเสร็จ

กล่าวได้ว่า รัฐบาลสมัครเพิ่งจะใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร เห็นชอบและผลักดันร่างกฎหมายที่ไม่ใช่แค่แทรกแซงองค์กรอิสระเท่านั้น แต่เป็นการกลืนองค์กรอิสระให้กลายเป็นองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่ง

กลายเป็นองค์กรที่ฝ่ายการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในรัฐบาล สามารถเลือกคนของตนเองเข้าไปมีอำนาจในตำแหน่งสำคัญดังกล่าว

นอกจากนี้ ข้อกำหนดสำคัญที่เป็นหลักประกันแห่งผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเคยมีอยู่ใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่เดิมฯ ก็ถูกทำลายไปเกือบทั้งหมด อาทิ ที่เคยกำหนดให้รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่โทรทัศน์วิทยุ 20% ให้ประชาชนใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น วิทยุชุมชน ก็หายไป กลายเป็นการยกคลื่นความถี่ไปให้ อบต. ควบคุมดูแล เป็นต้น

กฎหมายฉบับนี้ กำลังจะถูกเร่งรัดผลักดัน ในเวลาไม่เกิน 2 เดือน แต่กรรมการ กสช. จะมีวาระอยู่ในตำแหน่งถึง 6 ปี

ไม่น่าเชื่อว่า จะเหิมเกริมและอุกอาจ ถึงเพียงนี้

ไม่น่าเชื่อ ก็ต้องเชื่อ

รัฐบาลลูกกรอก กำลังจะทำให้องค์กรอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ปฏิรูปสื่อโทรทัศน์วิทยุและ กิจการโทรคมนาคมทั้งระบบ กลายสภาพเป็น "องค์กรลูกกรอก" ภายใต้อาณัติและการชักใยของกลุ่มผลประโยชน์และฝ่ายการเมือง

ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็เชื่อว่า ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำคลอด "ลูกกรอก" หรือปลูกถ่ายพันธุกรรมความเป็น "ลูกกรอก" ฝากเชื้อไว้เป็นผู้สืบสันดานต่อไป มากขึ้นเท่านั้น !

หยุดระบอบลูกกรอก.. ที่นี่.. เดี๋ยวนี้ !

http://www.naewna.com/news.asp?ID=109697

บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #4 เมื่อ: 17-06-2008, 12:10 »

กฎหมายฮุบคลื่นความถี่? [17 มิ.ย. 51 - 18:05]

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวหารัฐบาล ว่ากินรวบ หวังฮุบทั้งกิจการวิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม ด้วยการเสนอร่าง พ.ร.บ.องค์กร จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แทนที่จะให้ กสช.เป็นองค์กรอิสระ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เปลี่ยนหลักการให้ กระทรวงไอทีซีเป็นผู้คัดเลือกกรรมการ กสช.และคณะรัฐมนตรีคัดเลือกขั้นสุดท้าย

บทบัญญัติที่ว่า ให้มีองค์กรอิสระเป็น ผู้จัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการวิทยุ โทรทัศน์ และโทรคมนาคม มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งประกาศใช้เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว รัฐธรรมนูญ 2550 ได้สืบทอดต่อ เพียงแต่ว่าให้ มีเพียงองค์กรเดียว หลักการเดิมก็คือให้มี คณะกรรมการสรรหากรรมการ กสช. และให้วุฒิสภาเป็นผู้เลือกในขั้นสุดท้าย ไม่ใช่ให้หน่วยงานของรัฐบาลหรือรัฐบาลเป็นผู้คัดเลือก

ตามหลักการใหม่ในร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล ที่จะเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมสมัยวิสามัญ ในสัปดาห์นี้ และคาดว่ารัฐบาลจะรวบรัดให้สภาพิจารณา 3 วาระรวด เพราะเชื่อมั่นในเสียงข้างมาก นอกจากจะให้ กระทรวงไอทีซีเป็นผู้กำหนดนโยบายโทรคมนาคม แทนองค์กรอิสระแล้ว ยังให้เป็นผู้คัดเลือกตัวแทนจากภาคต่างๆ เป็นกรรมการ กสช. และให้คณะรัฐมนตรีคัดเลือกเหลือ 10 คน

คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสช. ที่มาจากกระทรวงเทคโนโลยีสาร-สนเทศ และสื่อสาร หรือไอซีที ซึ่งเป็นกระทรวงในสังกัดของรัฐบาล ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ อาจกลายเป็น “องค์กรอิสระ” ขึ้นมาได้ จึงขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 47 ที่เขียนไว้ชัดเจนว่าผู้จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแล จะต้องเป็น “องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ”

เนื่องจากรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับระบุไว้ ชัดเจนว่าจะต้องเป็น “องค์กรอิสระ” จึงทำให้การแต่งตั้ง กสช.ทำได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญ และตั้งไม่สำเร็จด้วยซ้ำไปในกว่าสิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากแค่มีเรื่องไม่ชอบมาพากล ในขั้นตอนการสรรหา ก็ต้องถูกตีกลับไปตั้งต้นสรรหากันใหม่ เพื่อให้ได้ กสช.ที่อิสระจริงๆ แต่รัฐบาลนี้กลับจะมารวบหัวรวบหาง ตั้งกรรมการ กสช.เสียเอง

ถ้าหากจะตั้งกันอย่างรวบรัดอย่างนี้ รัฐบาลที่ผ่านๆมาคงตั้ง กสช.เรียบร้อยไปแล้ว แต่ที่ตั้งไม่ได้เนื่องจากมีกลุ่มผลประโยชน์แทรกแซง จนอาจทำให้ กสช.สูญเสียความเป็นอิสระ เหตุผลสำคัญที่ กสช.จะต้องเป็นองค์กรอิสระ เพราะเป็นผู้จัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ และเป็นผู้กำกับกิจการวิทยุ โทรทัศน์และโทรคมนาคม เพื่อ “ประโยชน์สูงสุดของประชาชน” มิใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ถ้าร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาลฉบับนี้ถูก ประกาศใช้เป็นกฎหมาย จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสรีภาพของวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์และโทรคมนาคม การปฏิรูปสื่อของรัฐคือวิทยุและโทรทัศน์ จะพังทลายทันที สื่อจะตกอยู่ใต้อิทธิพลการเมือง ส.ว.หรือ ส.ส.ผู้คัด ค้านเรื่องนี้ จึงควรหาช่องทางยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยร่างกฎหมายรัฐบาลฉบับนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดแจ้งหรือไม่?

http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics01&content=93709




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2008, 12:13 โดย Cherub Rock » บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 17-06-2008, 12:21 »

สื่อต้องเกาะติด ภาคประชาชนและนักวิชาการต่างรู้เท่าทัน ขบวนการฮุบสื่อ ของนักการเมืองระบบอบทักษิณ

ถ้าให้เป็นองค์กรอิสระ เราก็ยังรู้ว่ามีโอกาสแทรกแซงได้เสมอ

ถ้าให้อำนาจรัฐบาล หรือ หน่วยงานอื่นที่มิใช่ระบบการสรรหาแบบที่องค์กรอิสระอื่นได้มีบรรทัดฐานไว้

คงให้ผ่านไปได้ยากครับ
บันทึกการเข้า

phutorn connection
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 263



« ตอบ #6 เมื่อ: 17-06-2008, 12:26 »

รัฐบาลหาเรื่องจุดประเด็นการเมืองข้างถนนอีกแล้วค่ะท่าน
บันทึกการเข้า

หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้

หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
phutorn connection
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 263



« ตอบ #7 เมื่อ: 17-06-2008, 12:34 »

รัฐบาลหาเรื่องจุดประเด็นการเมืองข้างถนนอีกแล้วค่ะท่าน แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่บ้านเมืองจะสงบสุขกันล่ะเนี่ย
บันทึกการเข้า

หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้

หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #8 เมื่อ: 17-06-2008, 12:39 »

สป.จัดเสวนาวิพากษ์ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปธ.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคเผยมีการแก้ไขให้ผิดเพี้ยนจากเจตนารมณ์เดิม ชี้รบ.ครองกิจการเองดูไม่เที่ยงธรรม

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) จัดเสวนา 'วิพากษ์ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม กับผลกระทบต่อประชาชน' โดย นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ประธานคณะทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภค สป. กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯกำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งปรากฏว่า มีการแก้ไขให้ผิดเพี้ยนไปจากเจตนารมณ์เดิม โดยเฉพาะประเด็นที่ให้อำนาจ ครม. คัดเลือกคณะกรรมการ กสช. โดยที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว ทั้งที่ผิดหลักการตัดตอนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพราะให้ตัวแทนผู้ประกอบการ คณาจารย์ ผู้บริโภค เสนอชื่อผู้เป็นคณะกรรมการไปที่ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศฯ จำนวน 20 คน จากนั้น เสนอ ครม.คัดเลือกให้เหลือ 10 คน และให้นายกฯนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดนี้มีวาระดำรงตำแหน่งถึง 6 ปี มีอำนาจล้นฟ้า ดูแลจัดสรรคลื่นทั้งหมด พิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม กำหนดค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขทุกอย่าง กำหนดค่าบริการของผู้ใช้บริการด้วย

'คณะกรรมการ กสช.ที่อำนาจล้นฟ้า ดูแลสื่อทุกชนิดมูลค่าเป็นแสนๆ ล้าน แต่ที่มากลับให้อำนาจสิทธิขาด ครม. แล้วความเป็นองค์กรอิสระจะอยู่ที่ไหน อีกทั้งรัฐบาลเป็นเจ้าของกิจการเอง เช่น ทศท กสท อสมท ช่อง 11 และคลื่นอื่นๆ การให้เจ้าของกิจการมาเลือกผู้กำกับดูแลกิจการไม่น่าจะเหมาะสม ดูไม่เที่ยงธรรม ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ จะจัดทำข้อเสนอเรื่องนี้ถึงรัฐบาล' นพ.ประวิทย์ กล่าว

ด้าน ดร.อนุภาพ ถิรลาภ ผอ.สถาบันการบริหาร และการจัดการโทรคมนาคมไทย กล่าวว่า หากหลักการสรรหาคณะกรรมการถูกเปลี่ยนไปเช่นนี้ กสช.ก็ไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป และไม่ใช่แค่การแทรกแซง แต่เป็นการกลืนให้เป็นองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่ง และยังเปลี่ยนหลักการให้ผู้ประกอบการกลายเป็นเสียงข้างมาก สามารถเสนอชื่อคณะกรรมการได้ถึง 14 คน คณาจารย์เสนอได้ 4 คน ผู้บริโภคได้ 2 คน ความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน สัดส่วนคณะกรรมการก็ประหลาดให้มีได้ 10 คน ทั้งยังไม่ได้ระบุว่า ประธานคณะกรรมการห้ามออกเสียง โดยทั่วไปคณะกรรมการจะเป็นเลขคี่ จึงไม่รู้ว่ามีอะไรแอบแฝงหรือไม่

'ถ้าทำกันแบบนี้มันก็เหลวแหลกเต็มที่ แย่มาก ไม่มีหลักเกณฑ์ รวบอำนาจ บิดเบือน รัฐบาลก็สมควรที่จะโดนไล่ เพราะสังคมไม่มีขื่อแป คิดแค่ฉันมีเสียงข้างมาก อยากได้อะไรก็ทำ สังคมไทยจะกลายเป็นสังคมของการแก้แค้น แถม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ยังไม่มีบทลงโทษคณะกรรมการที่มีอำนาจล้นฟ้า ไม่มีการตรวจสอบ เป็นไปได้อย่างไร' ดร.อนุภาพ ระบุ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=35521&catid=8

ขาดค่ายมติชน

เก็บตกให้ครบ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2008, 12:41 โดย Cherub Rock » บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
บักหัวเถิก
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 438



« ตอบ #9 เมื่อ: 17-06-2008, 13:08 »

อุ๊ยๆๆๆๆๆ  นี่มันจะทำให้ประเทศพัฒนา หรือล้าหลังลงไปนี่
บันทึกการเข้า

1ktip
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,457



« ตอบ #10 เมื่อ: 17-06-2008, 13:34 »

ลูกกรอกไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ เรื่องเลวๆ ที่กะว่ามันต้องทำแน่ มันก็ทำจริงๆ
บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 17-06-2008, 16:09 »

ปฏิรูปกลับให้เป็นเหมือนเดิม

 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
1ktip
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,457



« ตอบ #12 เมื่อ: 18-06-2008, 10:41 »

อ้างถึง
“มั่น”ผวาเสียงต้าน ชะลอ พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ไว้ก่อน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 18 มิถุนายน 2551 00:04 น.

หลายฝ่ายรุมต้าน พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ "มั่น"เปลี่ยนแผน ชะลอการนำเข้าสภาฯ ไว้ก่อน รอคุยกับองค์กรสื่อให้ได้ข้อสรุป ด้านนักวิชาการสื่อ รุมจวกงุบงิบเสนอ พ.ร.บ. ส่อเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองครอบงำสื่อ
       
        คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคมชัดลึก : http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026%2F1026%2D2254%2Ewma+&program_id=15468
       
       วานนี้ (17 มิ.ย.) ดร.มั่น พัฒโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชลแนล ดำเนินรายการโดยนางสาวจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ถึงการนำร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับใหม่) เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรว่า ในขณะนี้ทางกระทรวง ไอซีที คงจะเลื่อนการนำร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวออกไปก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะนำขึ้นเป็นญัตติพิจารณาของสภา ในวันนี้ แต่หลังจากได้รับข้อท้วงติงจากหลายฝ่าย ตนจึงเห็นว่าควรระงับไว้ก่อน เพื่อไปรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ก่อน ดังนั้นในวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย.นี้ จะนัดเจรจาและรับฟังความคิดเห็นของนักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการสื่อสารมวลชนก่อนจึงค่อยนำ พ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา
       
       ดร.มั่น กล่าวด้วยว่า ตนเห็นด้วยว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ดี ที่จะสามารถพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารของประเทศให้ก้าวหน้าไปได้ ส่วนการที่ร่างดังกล่าวระบุว่า การคัดเลือกคณะกรรมการ กสช.ในขั้นสุดท้ายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณานั้น ตนคิดว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องเข้ามามีส่วนร่วมคัดสรรกรรมการด้วย ก็เนื่องจากตนเห็นว่าการดำเนินการเรื่องจัดสรรสื่อ รัฐบาลควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลการสื่อสารของประเทศ เพื่อเวลามีการติดต่อเจรจาเรื่องโครงข่ายระหว่างประเทศจะเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น และถึงแม้ ครม.จะเป็นด่านสุดท้ายที่เลือก แต่ก่อนหน้านั้นก็มีองค์กรสื่อมวลชนอื่นๆ ทำการคัดเลือกมาก่อนถึง ครม.อยู่ดี จึงไม่น่าจะกล่าวว่า อำนาจคัดเลือกทั้งหมดอยู่ที่ฝ่ายการเมือง
       
       ด้าน รศ.จุมพล รอดคำดี อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนเพิ่งได้เห็นร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อวานนี้ จึงทำให้แปลกใจมากว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะ พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารมวลชนของประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นก่อนนำเสนอเข้าสภาก็น่าจะมีการนำมาเผยแพร่ให้ประชาชน หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแวดวงสื่อสารมวลชนได้ศึกษาเพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เร่งรัดนำเข้าสู่สภาอย่างนี้
       
       อีกทั้ง ร่างดังกล่าวเท่าที่ตนเห็นก็มีข้อบกพร่องและไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง โดยเฉพาะในประเด็นการสรรหาบุคคลเข้ามาเป็น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสช.)ทั้ง 10 คน ซึ่งตามร่างดังกล่าวระบุว่าเบื้องต้นจะให้องค์กรสื่อต่าง ๆ ร่วมพิจารณาสรรหาบุคคลเข้าไป แต่โดยท้ายที่สุดคณะรัฐบาลก็จะเลือกคณะกรรมการในขั้นสุดท้ายจนเหลือ 10 คนอยู่ดี ดังนั้นตนจึงมองว่าเรื่องดังกล่าวถือเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระโดยรัฐบาล “องค์กรนี้เป็นองค์กรอิสระ แล้วเมื่อกระบวนการได้มาของกรรมการ รัฐบาลมีส่วนเข้ามาแทรกแซงอย่างชัดเจน แล้วองค์กรนี้จะยังเป็นองค์กรอิสระได้อย่างไร”
       
       ขณะที่ ผศ.สุรสิทธิ์ วิทยารัตน์ รองประธานสภาสถาบันนักวิชาการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ตนคิดว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่น่าจะผ่านการพิจาณาจากสภา เพราะมีหลายภาคส่วนในสังคมไม่เห็นด้วย แต่หากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของสภาจริง ทางองค์กรสื่อมวลชน 18 องค์กรก็จะมีการรวมตัวกัน ไปยื่นคัดค้านต่อศาลปกครอง เพราะหาก พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้จริง จะส่งผลเสียต่อวงการสื่อสารมวลชนของไทยเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะไม่ได้จัดสรรคลื่นความถี่ให้เป็นไปอย่างยุติธรรมแล้ว ยังทำให้อำนาจของรัฐเข้ามาครอบงำสื่อ อันจะเป็นการบิดเบือนการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนด้วย
       
       นายบุญส่ง จันทร์ส่องรัศมี ผู้ประสานงานสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ กระบวนการ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผิดต่อเจตนารมณ์ของ รธน.มาตรา 57 อย่างชัดเจน เนื่องจาก มาตราดังกล่าวระบุว่า การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมาก จะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น แต่การกระทำในครั้งนี้ไม่ใช่เลย เพราะไม่มีใคร หรือสื่อใดได้รับรู้หรือแสดงความคิดเห็นเลย อยู่ ๆ ก็มีตัวร่างออกมาแล้วก็บอกว่า ต้องรีบนำเข้าพิจารณาในสภาฯ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เกี่ยวของกับผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับคลื่นความถี่ซึ่งมีรายได้นับแสนล้านต่อปี ดังนั้นกระบวนการร่าง หรือจัดทำควรทำอย่างโปร่งใส ให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้ และแสดงความคิดเห็นในวงกว้างไม่ใช่งุบงิบทำเช่นนี้


ถอยแล้วครับ ถ้าไม่โดนถลกหนังรายวัน คงมีงานปล้นชาติผ่านรอดไปได้หลายงาน
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #13 เมื่อ: 24-06-2008, 07:59 »

รมว.ไอซีที ยอมรับ ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นฯ ฉบับรัฐบาล มีปัญหา พร้อมรับข้อเสนอ 22 องค์กรสื่อ วิชาการและภาคประชาชน ภายในหนึ่งสัปดาห์ ตั้งกรรมธิการร่วมเพื่อแก้ไข เน้นหลักการเปิดรับฟังความเห็นและการมีส่วนร่วมจากสังคม

ดร.มั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพร้อมตัวแทนฝ่ายกฎหมาย เดินทางพบผู้แทนองค์กรสื่อ วิชาการและภาคประชาชน 22  องค์กร ที่อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมาเพื่อรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ....ซึ่งองค์กรต่างๆ ได้คัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวและยื่นข้อเสนอ 2  ประเด็นหลักคือ

1.ให้ถอนร่างออกจากวาระในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเปิดโอกาสให้ มีกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายดังกล่าว โดยรับฟังความเห็นอย่างทั่วถึงทุกภาคทั่วประเทศ และมีตัวแทนของฝ่ายต่างๆ เข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความเห็น

2..ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ โดยมีสัดส่วนตัวแทนคณะกรรมการปรับปรุงร่างกฎหมายนอกเหนือจากตัวแทนภาครัฐ ดังนี้ นักวิชาการ   ด้านกฎหมาย  ด้านโทรคมนาคม และด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์  ผู้ประกอบการโทรคมนาคม วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ องค์กรวิชาชีพสื่อที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติและท้องถิ่น   ผู้แทนสื่อภาคประชาชน และวิทยุชุมชน  ผู้แทนองค์กรผู้บริโภค ทั้งด้านโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์ ผู้แทนภาคประชาสังคม  และองค์กรภาคเอกชนที่ติดตามกระบวนการปฏิรูปสื่อ รวมทั้งกลุ่มสื่อ เยาวชน เด็ก ครอบครัว ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส

 ด้าน นายมั่น ยอมรับว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีปัญหาจริงอย่างที่ภาคสังคมท้วงติง แต่อธิบายว่า เหตุที่มาของการเสนอแก้ไขให้ ครม.เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัสฯืและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสช.)เพราะต้องการแก้ปัญหาจาก กระบวนการสรรหา กสช.เก่าที่มีปัญหา

“เราพยายามแก้ปัญหาเก่า ก็เห็นชอบในหลักการสำคัญๆ และต้องการเร่งให้กฎหมายเสร็จเร็ว ทันตามเวลาที่กำหนดภายใน 180 วัน แต่ยอมรับว่า มีหลายส่วนที่เป็นปัญหา เช่น การตัดสาระรับรองสิทธิของภาคประชาชนในการใช้คลื่นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ออกไป รวมทั้งเรื่องที่มาของ กสช.และประเด็นอื่นๆ” ดร.มั่นกล่าว

ดร.มั่นรับปากว่า  จะแก้ไข ร่างกฎหมาย พร้อมตั้งกรรมาธิการร่วมภายในสัปดาห์หน้า และเปิดรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง โดยกลุ่ม 22  องค์กรเครือข่าย เสนอให้ตั้งคณะอนุกรรมการร่วมไม่น้อยกว่า 3 ชุด ได้แก่ ชุดพิจารณาประเด็นเพื่อเปิดรับฟังความเห็น ชุดรับฟังความคิดเห็นและชุดยกร่างปรับปรุงกฎหมาย และเมื่อร่างกฎหมายแล้วเสร็จก็เสนอให้นำกลับมาให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ให้ ความเห็นอีกครั้ง



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=37426&catid=5

ระดับ รมต. แยกไม่ออกว่าอะไรคือหลักการสำคัญ
ครม. ชุดนี้ไม่ใช่แค่ขี้เหร่ แต่ไร้ความสามารถ ปราศจากวิสัยทัศน์

เฮงซวย ห่วยแตกของแท้


บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #14 เมื่อ: 24-06-2008, 09:40 »

เรื่องแบบนี้ ต้องเอามาเผยแพร่ กันบ้างครับ....

ต้องคอยระวังไอ้รัฐบาลชั่วนี่ มัน จะแอบหลังเขาพระวิหาร ทำเรื่องไม่ดี....

นี่ยังมีเรื่อง จะมีการเปลี่ยนผู้ว่าแบ็งค์ชาติ...ผมพยายามหาข่าวมาแปะหลายวันแล้ว...

แต่ยังไม่เจอ..........
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: