ดร.เจิมศักดิ์ ทำเอกสารออกมาสรุปข้อเท็จจริง และเสนอมุมมองกรณีปราสาทพระวิหาร
น่าจะครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งหมดแล้วนะครับ
ลองพิมพ์ดู ด้วย font 15pt แล้วออกมาประมาณ 3 หน้าเศษ คิดว่าจะพยายามย่อประเด็น
ให้พิมพ์ได้ใน A4 2 หน้า (1แผ่น) เพื่อทำเป็นเอกสารเผยแพร่อีกชุดนะครับ 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อเท็จจริงและมุมมองกรณีปราสาทพระวิหารโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 23 มิถุนายน 2551 09:48 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000073467ข้อเท็จจริง 1. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตัดสินกรณีพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา
กรณี “ปราสาทพระวิหาร” เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย
(1) ลงความเห็นว่า “ปราสาทพระวิหาร” ตั้ง อยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3
(2) ลงความเห็นว่า ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหาร หรือตำรวจผู้เฝ้ารักษาหรือดูแลซึ่งประเทศไทย
ส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือในบริเวณใกล้เคียง ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3
2. คำฟ้องของกัมพูชาระบุเฉพาะอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้ง อยู่ มิอาจขยายให้กว้างออกไป
นอกพื้นที่จนครอบคลุมเขาพระวิหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของทิวเขาดงรัก ฉะนั้น การกล่าวถึงข้อพิพาทในคดีว่าเป็น
“คดีเขาพระวิหาร” หรือ “คดีปราสาทเขาพระวิหาร” จึงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ที่ถูกต้องคือ “คดีปราสาทพระวิหาร”
โดยจำกัดพื้นที่เฉพาะบริเวณที่ตั้งของปราสาท
คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงจำกัดเฉพาะภายในกรอบคำร้องที่กัมพูชายื่นฟ้องโดยไม่อาจขยายพื้นที่
นอกเหนือจากบริเวณที่ตั้งของปราสาท
3. ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีตข้าราชการระดับสูงกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความเห็น
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ชี้ให้เห็นประเด็นข้อเท็จจริงสำคัญ ได้แก่
3.1 คำพิพากษาของศาลไม่มีกลไกบังคับคดี ในทางปฏิบัติจึงไม่อาจนำมาบังคับคดีได้ แต่ไทยก็ได้ปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืน
หรือละเมิดคำพิพากษา โดยไทยได้ถอนบุคคลากรไทยผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาปราสาทพระวิหาร ย้ายเสาธงชาติไทยออกมา
นอกพื้นที่ปราสาทพระวิหารและสร้างรั้วล้อมตัวปราสาท ไว้ เป็นการถอนการครอบครองปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษา
3.2 เนื่องจากไทยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา จึงไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาและยื่นประท้วงคัดค้านคำพิพากษาดังกล่าว
และตั้งข้อสงวนไว้ โดยไทยถือว่าปราสาทพระวิหารยังอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย และจะกลับไปครอบครองปราสาทพระวิหาร
อีกเมื่อคำพิพากษาได้รับการพิจารณาทบทวน แก้ไขอีกครั้ง
3.3 ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไทยจึงไม่สมควรเปลี่ยนท่าทีหรือยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร
ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบในระดับรัฐบาลและประชามติ
3.4 หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นว่า ศาลเชื่อในหลักการว่าเส้นสันปันน้ำยังคงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
ในบริเวณเทือกเขาดงรัก เส้นสันปันน้ำที่เขาพระวิหารอยู่ที่ขอบหน้าผา ฉะนั้น ถ้าจะมีการสำรวจใหม่ เส้นแบ่งเขต
น่าจะเป็นเช่นเดิมโดยใช้สันปันน้ำเป็นหลัก ปราสาทพระวิหารจึงยังอยู่ในเขตแดนไทย
4. ปัจจุบัน แนวรั้วลวดหนามที่กั้นปราสาทพระวิหารส่วนที่ยกให้แก่กัมพูชา ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี
พ.ศ.2505 นั้น ได้ถูกประชาชนกัมพูชารื้อถอนนำไปจำหน่ายจนหมดไม่เห็นแนวรั้วเดิมแล้ว
การที่กัมพูชาได้ครอบครองพระวิหารที่ยอดเขา และยังอ้างเส้นเขตแดนบริเวณดังกล่าวตามแผนที่ท้ายฟ้องของกัมพูชาเอง
จึงก่อให้เกิดปัญหาการทับซ้อนเส้นเขตแดนขึ้น โดยที่กระทรวงการต่างประเทศไทยถือว่าอาณาเขตไทยต้องยึดตามคำพิพากษา
ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2505 ซึ่งในปัจจุบันนี้ ปรากฏว่า มีพื้นที่หลายส่วน เช่น บริเวณทางทิศตะวันตก
ของปราสาทพระวิหาร ฝ่ายกัมพูชาได้ก่อสร้างชุมชนและวัด ก่อสร้างถนนขึ้นมาจากประเทศกัมพูชา รวมทั้งกรณีชุมชนร้านค้า
โรงแรม สถานบันเทิง คาราโอเกะ และที่ทำการช่องปราสาทพระวิหาร ก็อยู่นอกแนวเขต 20 เมตรจากบันไดนาค ซึ่งในกรณี
เหล่านี้ กรมแผนที่ทหารชี้ว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย
5. ท่าทีของฝ่ายกัมพูชาที่มีมาโดยตลอด คือ รัฐบาลกัมพูชาพยายามผลักดันการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว
6. วันที่ 28 มิถุนายน 2550 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่เมืองไครส์เซริต์ ประเทศนิวซีแลนด์ ได้มีมติเกี่ยวกับ
การที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เห็นว่า ปราสาทพระวิหารมีคุณค่าที่เป็นสากลอย่างเด่นชัด
และสมควรได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยให้ไทยและกัมพูชาตกลงที่จะร่วมกันจัดทำแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการ
บริเวณ ปราสาทพระวิหาร โดยให้มีการพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนอีกครั้งหนึ่งในการประชุมสมัยที่ 32 ณ เมืองคิวเบกท์
ประเทศแคนาดา ในเดือนกรกฎาคม 2551
วันที่ 3-4 มกราคม 2551 คณะกรรมการมรดกโลกฝ่ายไทย โดยมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศ กรมศิลปากร
กรมแผนที่ทหาร ร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลกจากกัมพูชา และจากต่างประเทศ ร่วมเดินทางสำรวจภูมิประเทศ จัดทำ
แผนผังบริเวณภาพสลักนูนต่ำผามออีแดง, สถูปคู่, สระตราว และแหล่งตัดหินในฝั่งประเทศไทย ปราสาทพระวิหาร,
ช่องบันไดหัก และสระน้ำต่างๆ รอบบริเวณปราสาทพระวิหารฝั่งประเทศกัมพูชา เพื่อนำข้อมูลเข้าการร่วมประชุมจัดทำแผนร่วมกัน
การประชุมจัดทำแผนฯ ที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 12-13 มกราคม 2551 ปรากฏว่า รัฐบาลกัมพูชา นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรี
แสดงท่าทีไม่ยอมรับข้อเสนอฝ่ายไทย โดยยังย้ำถึงเส้นเขตแดนที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ของฝรั่งเศส เมื่อปี 2451 และการ
นำเสนอปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว (เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไปกัมพูชาจะมีขึ้น
ในเดือนกรกฎาคม 2551)