ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
05-02-2025, 21:01
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด  (อ่าน 2593 ครั้ง)
pornchokchai
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 53


« เมื่อ: 26-06-2008, 06:07 »

ดร.โสภณ พรโชคชัย* (sopon@thaiappraisal.org)
.
ท่านทราบหรือไม่ ธุรกิจใดที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด คำตอบก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด นั่นเอง!
.
บางท่านอาจแย้งว่า ธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุด อาจเป็นเพราะขูดรีดแรงงานสูงสุด หรือเป็นธุรกิจที่หลบเลี่ยงภาษีก็ได้ นี่คือมโนทัศน์ที่เกิดขึ้นจากสังคมที่บิดเบี้ยว บิดเบือนและด้อยพัฒนาที่เราเห็นจนเคยชินอยู่ทุกวัน
.
แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุด ย่อมหมายถึงธุรกิจที่มีระบบการบริหารที่ดีที่สุดในเชิงเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น ระบบบริหารที่ดีไม่ใช่ได้มาด้วยการเอาเงินไปซื้อมาเป็นสำคัญ แต่แสดงถึงการมีทักษะ หรือ Know-how ที่ดี ไม่ใช่ต้อง Know-who อย่างที่พบเห็นบ่อยครั้งในสังคมที่ต้องหมอบราบคาบแก้วกับความชั่วร้ายเพียงเพื่อการเอาตัวรอดทางธุรกิจไปวัน ๆ
.
ระบบบริหารที่ดีที่ทำให้ธุรกิจได้กำไรสูงสุดยังหมายถึงการมี CEO ที่ดี เราจึงควรส่งเสริมการเรียนรู้ว่า ธุรกิจและ CEO จะบริหารจนธุรกิจทำกำไรสูงสุดได้อย่างไร (บนพื้นฐานที่ไม่โกง) การทำกำไรสูงสุดโดยไม่เบียดเบียนใคร ไม่ใช่ตราบาปหรือเคราะห์กรรมที่เราพึงปกปิด หลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึง แต่ความสามารถในการทำกำไรสูงสุดควรได้รับการยกย่องอย่างโอ่อ่าเปิดเผย และเป็นการแสดงทักษะในการบริหารอย่างน่าภาคภูมิใจของ CEO ที่แท้จริง
.
นี่จึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ศาสตร์และศิลปของการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา สัตย์ซื่อถือคุณธรรมอย่างแท้จริง ที่ไม่ใช่การทำธุรกิจแบบ “มวยวัด” หรือเป็นแบบ “ปากคาบคัมภีร์ (CSR)” หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร
.
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุดนั้น ย่อมเสียภาษีสูงสุด ผู้ที่เสียภาษีสูงสุดย่อมเป็นผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมสูงสุดในทางหนึ่ง จะเห็นได้ว่าภาษีรายได้ของธุรกิจของไทยนั้นเสียในอัตราประมาณ 30% ของกำไรสุทธิ ยิ่งธุรกิจใดมีกำไรมาก ก็ยิ่งเสียภาษีมาก
.
กลุ่มผู้ที่เสียภาษีมากที่สุดในประเทศไทยก็คือธุรกิจเอกชนนั่นเอง เสียภาษีมากกว่าตาสีตาสาที่เสียภาษีทางอ้อมต่าง ๆ เสียอีก อาจกล่าวได้ว่าเฉพาะเขตบางรักเขตเดียว ธุรกิจทั้งหลายเสียภาษีสูงกว่าชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาคด้วยซ้ำไป
.
เราควรเข้าใจว่าภาษีทุกบาททุกสตางค์ นำไปพัฒนาประเทศ ที่ประเทศเรามีทางด่วน รถไฟฟ้า โทรศัพท์ ถนน ฯลฯ ก็ล้วนมาจากภาษีแทบทั้งสิ้น ส่วนที่จะมีใคร “งาบ” ภาษีไป ก็อยู่ที่กลไกของรัฐในการตรวจสอบ เราจะ “มั่ว” ใช้ “อารยะขัดขืน” พาลไม่จ่ายภาษี คงไม่ได้
.
ผมขอขยายความประเด็นการ “งาบ” หรือโกงกินทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ ซึ่งผู้มีอำนาจควรดำเนินการให้เด็ดขาด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง การโกงกินไม่อาจหมดไปได้ด้วยการออกมารณรงค์ต่อต้าน ซึ่งถือว่าเป็นการ “เกาไม่ถูกที่คัน” และดำเนินไปเพียงเพื่อปกปิดความชั่วด้วยการเบนให้ประชาชนเข้าใจว่าเราพยายามต่อสู้กับการโกงกิน แต่แท้ที่จริง กลับ “เอาหูไปนา ตาไปไร่” เปิดโอกาสให้เกิดการโกงกินเพิ่มขึ้นทุกหย่อมหญ้านั่นเอง
.
กลับมาเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม เราลองคิดดูว่า ธุรกิจที่เสียภาษี 10 ล้านบาท กับธุรกิจที่เสียภาษี 1 ล้านบาท ใครแสดงว่ามีความรับผิดชอบหรือเกื้อหนุนต่อประเทศชาติมากกว่ากัน หรือถ้าคิดให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นก็คือการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจที่เสียภาษี 10 ล้าน แต่บริจาคเพียง 1 แสนบาท (1% ของกำไรซึ่งดูคล้ายตระหนี่) กับธุรกิจที่กำไร 1 ล้าน แต่ก็บริจาค 1 แสนบาท (10% ของกำไรซึ่งดูคล้ายใจกว้าง)
.
โดยนัยนี้เราจึงคงพอเห็นได้ว่า การทำดีเอาหน้านั้นเป็นเช่นใด การทำดีเช่นนี้ ไม่ได้ก่อโภคผลใด ๆ ให้กับสังคม นอกจากการ “ได้หน้า” ของคนทำดีเป็นสำคัญ ในการทำดี “เอาหน้า” นั้น CEO ควรเป็นผู้ควักเงินออกเอง ไม่ใช่ไป “ไถ” จากคู่ค้า (Suppliers) และไม่ควรทำโดยเอาที่เงินปันผลที่พึงได้ของผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยไปทำดีเอาหน้าให้กับตัว CEO เอง
.
ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมี CEO ที่บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น นอกจากจะเสียภาษีถูกต้องและเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาพัฒนาประเทศแล้ว ธุรกิจเหล่านี้ยังไม่เป็นภาระให้รัฐบาลต้องเอาเงินภาษีอากรมาโอบอุ้มอีกต่างหาก
.
เราคงเคยเห็นธนาคารที่เชิดหน้าชูตาหรือได้รับรางวัลมากมายด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” กลับ “ล้มบนฟูก” รัฐบาลต้องตั้งกองทุนมาฟื้นฟูต่าง ๆ นานา ธุรกิจหลายแห่ง หลายแขนง รัฐบาลก็ต้องเอาเงินภาษีอากรไปอุดหนุน เช่น ช่วยค่าน้ำมัน ช่วยประกันราคา ช่วยรับซื้อสินค้า ฯลฯ บางแห่งถึงขนาดนัดหยุดให้บริการจนประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ธุรกิจเหล่านี้ นอกจากจะขาดความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังเป็นปัญหาและสร้างภาระให้กับสังคมด้วยหรือไม่
.
ดังนั้นธุรกิจที่ทำกำไรมาก เสียภาษีมาก จึงมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก ธุรกิจถือเป็น “กระดูกสันหลัง” ของความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะหากไม่มีภาษีจากธุรกิจเหล่านี้มาหล่อเลี้ยงประเทศแล้ว ประเทศไทยก็คงตกต่ำไม่ต่างจากประเทศหลายแห่งในทวีปอาฟริกาที่มีแต่คนจนที่รอเศษซากความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติเท่านั้น
.
CEO และสังคมจึงควรทำความเข้าใจความรับผิดชอบต่อสังคมในแนวใหม่ อย่าลืมนะครับ ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด ก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด นั่นเอง!
บันทึกการเข้า
pornchokchai
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 53


« ตอบ #1 เมื่อ: 26-06-2008, 06:09 »

ช่วยลบกระทู้นี้ เพราะบังเอิญ post ซ้ำ ขออภัยครับ
บันทึกการเข้า
northstar
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 635


« ตอบ #2 เมื่อ: 26-06-2008, 07:16 »

ดร.โสภณ พรโชคชัย* (sopon@thaiappraisal.org)
.
ท่านทราบหรือไม่ ธุรกิจใดที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด คำตอบก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด นั่นเอง!
.
บางท่านอาจแย้งว่า ธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุด อาจเป็นเพราะขูดรีดแรงงานสูงสุด หรือเป็นธุรกิจที่หลบเลี่ยงภาษีก็ได้ นี่คือมโนทัศน์ที่เกิดขึ้นจากสังคมที่บิดเบี้ยว บิดเบือนและด้อยพัฒนาที่เราเห็นจนเคยชินอยู่ทุกวัน

นี่ก็แสดงว่า... สหรัฐมีสังคมที่บิดเบี้ยว-บิดเบือน-ด้อยพัฒนา เพราะการขูดรีดแรงงานมีเกลื่อนสหรัฐ ธุรกิจ-ถ้าทำกำไรไม่ได้ก็ต้องลดต้นทุน...ต้นทุนที่ควบคุมได้ง่ายที่สุดก็คือแรงงาน... แต่ก่อนนี้บริษัทต้องพึ่งคนงาน... แต่ทุกวันนี้บริษัทไม่ง้อแรงงาน...เพราะแรงงานในต่างประเทศถูกกว่า...เอ๊าท์ซ๊อรส์กันเกือบหมดแล้วครับ
.
แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุด ย่อมหมายถึงธุรกิจที่มีระบบการบริหารที่ดีที่สุดในเชิงเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น ระบบบริหารที่ดีไม่ใช่ได้มาด้วยการเอาเงินไปซื้อมาเป็นสำคัญ แต่แสดงถึงการมีทักษะ หรือ Know-how ที่ดี ไม่ใช่ต้อง Know-who อย่างที่พบเห็นบ่อยครั้งในสังคมที่ต้องหมอบราบคาบแก้วกับความชั่วร้ายเพียงเพื่อการเอาตัวรอดทางธุรกิจไปวัน ๆ
หมือนตอนที่ทักษิณกุมไข่ให้จ๊อดเลยหล่ะ...
.
ระบบบริหารที่ดีที่ทำให้ธุรกิจได้กำไรสูงสุดยังหมายถึงการมี CEO ที่ดี เราจึงควรส่งเสริมการเรียนรู้ว่า ธุรกิจและ CEO จะบริหารจนธุรกิจทำกำไรสูงสุดได้อย่างไร (บนพื้นฐานที่ไม่โกง) การทำกำไรสูงสุดโดยไม่เบียดเบียนใคร ไม่ใช่ตราบาปหรือเคราะห์กรรมที่เราพึงปกปิด หลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึง แต่ความสามารถในการทำกำไรสูงสุดควรได้รับการยกย่องอย่างโอ่อ่าเปิดเผย และเป็นการแสดงทักษะในการบริหารอย่างน่าภาคภูมิใจของ CEO ที่แท้จริง
ลองตรวจดูนะครับว่า... ซีอีโอ๋ที่ว่า...เค้าปั่นหุ้นกันยังงัยในสหรัฐ...
.
นี่จึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ศาสตร์และศิลปของการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา สัตย์ซื่อถือคุณธรรมอย่างแท้จริง ที่ไม่ใช่การทำธุรกิจแบบ “มวยวัด” หรือเป็นแบบ “ปากคาบคัมภีร์ (CSR)” หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร
นี่หล่ะหลักการของซีอีโอ....
.
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุดนั้น ย่อมเสียภาษีสูงสุด ผู้ที่เสียภาษีสูงสุดย่อมเป็นผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมสูงสุดในทางหนึ่ง จะเห็นได้ว่าภาษีรายได้ของธุรกิจของไทยนั้นเสียในอัตราประมาณ 30% ของกำไรสุทธิ ยิ่งธุรกิจใดมีกำไรมาก ก็ยิ่งเสียภาษีมาก
ขอค้านแบบตีลังกา... เพราะเมื่อเปรียบเทียบ $ ต่อ $แล้วหล่ะก็....คนทำมาหากินทั่วไปเสียภาษีเยอะกว่า... เพราะระบบภาษีที่สหรัฐมันให้ผลประโยชน์แก่บริษัทมากกว่าให้ลูกจ้าง...
.
กลุ่มผู้ที่เสียภาษีมากที่สุดในประเทศไทยก็คือธุรกิจเอกชนนั่นเอง เสียภาษีมากกว่าตาสีตาสาที่เสียภาษีทางอ้อมต่าง ๆ เสียอีก อาจกล่าวได้ว่าเฉพาะเขตบางรักเขตเดียว ธุรกิจทั้งหลายเสียภาษีสูงกว่าชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาคด้วยซ้ำไป
.
เราควรเข้าใจว่าภาษีทุกบาททุกสตางค์ นำไปพัฒนาประเทศ ที่ประเทศเรามีทางด่วน รถไฟฟ้า โทรศัพท์ ถนน ฯลฯ ก็ล้วนมาจากภาษีแทบทั้งสิ้น ส่วนที่จะมีใคร “งาบ” ภาษีไป ก็อยู่ที่กลไกของรัฐในการตรวจสอบ เราจะ “มั่ว” ใช้ “อารยะขัดขืน” พาลไม่จ่ายภาษี คงไม่ได้
.
ผมขอขยายความประเด็นการ “งาบ” หรือโกงกินทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ ซึ่งผู้มีอำนาจควรดำเนินการให้เด็ดขาด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง การโกงกินไม่อาจหมดไปได้ด้วยการออกมารณรงค์ต่อต้าน ซึ่งถือว่าเป็นการ “เกาไม่ถูกที่คัน” และดำเนินไปเพียงเพื่อปกปิดความชั่วด้วยการเบนให้ประชาชนเข้าใจว่าเราพยายามต่อสู้กับการโกงกิน แต่แท้ที่จริง กลับ “เอาหูไปนา ตาไปไร่” เปิดโอกาสให้เกิดการโกงกินเพิ่มขึ้นทุกหย่อมหญ้านั่นเอง
.
กลับมาเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม เราลองคิดดูว่า ธุรกิจที่เสียภาษี 10 ล้านบาท กับธุรกิจที่เสียภาษี 1 ล้านบาท ใครแสดงว่ามีความรับผิดชอบหรือเกื้อหนุนต่อประเทศชาติมากกว่ากัน หรือถ้าคิดให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นก็คือการเปรียบเทียบระหว่างธุรกิจที่เสียภาษี 10 ล้าน แต่บริจาคเพียง 1 แสนบาท (1% ของกำไรซึ่งดูคล้ายตระหนี่) กับธุรกิจที่กำไร 1 ล้าน แต่ก็บริจาค 1 แสนบาท (10% ของกำไรซึ่งดูคล้ายใจกว้าง)
.
โดยนัยนี้เราจึงคงพอเห็นได้ว่า การทำดีเอาหน้านั้นเป็นเช่นใด การทำดีเช่นนี้ ไม่ได้ก่อโภคผลใด ๆ ให้กับสังคม นอกจากการ “ได้หน้า” ของคนทำดีเป็นสำคัญ ในการทำดี “เอาหน้า” นั้น CEO ควรเป็นผู้ควักเงินออกเอง ไม่ใช่ไป “ไถ” จากคู่ค้า (Suppliers) และไม่ควรทำโดยเอาที่เงินปันผลที่พึงได้ของผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยไปทำดีเอาหน้าให้กับตัว CEO เอง
.
ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมี CEO ที่บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น นอกจากจะเสียภาษีถูกต้องและเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาพัฒนาประเทศแล้ว ธุรกิจเหล่านี้ยังไม่เป็นภาระให้รัฐบาลต้องเอาเงินภาษีอากรมาโอบอุ้มอีกต่างหาก
.
เราคงเคยเห็นธนาคารที่เชิดหน้าชูตาหรือได้รับรางวัลมากมายด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” กลับ “ล้มบนฟูก” รัฐบาลต้องตั้งกองทุนมาฟื้นฟูต่าง ๆ นานา ธุรกิจหลายแห่ง หลายแขนง รัฐบาลก็ต้องเอาเงินภาษีอากรไปอุดหนุน เช่น ช่วยค่าน้ำมัน ช่วยประกันราคา ช่วยรับซื้อสินค้า ฯลฯ บางแห่งถึงขนาดนัดหยุดให้บริการจนประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ธุรกิจเหล่านี้ นอกจากจะขาดความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังเป็นปัญหาและสร้างภาระให้กับสังคมด้วยหรือไม่
.
ดังนั้นธุรกิจที่ทำกำไรมาก เสียภาษีมาก จึงมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก ธุรกิจถือเป็น “กระดูกสันหลัง” ของความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะหากไม่มีภาษีจากธุรกิจเหล่านี้มาหล่อเลี้ยงประเทศแล้ว ประเทศไทยก็คงตกต่ำไม่ต่างจากประเทศหลายแห่งในทวีปอาฟริกาที่มีแต่คนจนที่รอเศษซากความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติเท่านั้น
.
CEO และสังคมจึงควรทำความเข้าใจความรับผิดชอบต่อสังคมในแนวใหม่ อย่าลืมนะครับ ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมสูงสุด ก็คือ ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด นั่นเอง!
ขอตอบแค่นี้ก่อน...จะมาตอบเพิ่ม
บันทึกการเข้า
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #3 เมื่อ: 26-06-2008, 09:30 »

อ้างถึง
.
แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงสุด ย่อมหมายถึงธุรกิจที่มีระบบการบริหารที่ดีที่สุดในเชิงเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น ระบบบริหารที่ดีไม่ใช่ได้มาด้วยการเอาเงินไปซื้อมาเป็นสำคัญ แต่แสดงถึงการมีทักษะ หรือ Know-how ที่ดี ไม่ใช่ต้อง Know-who อย่างที่พบเห็นบ่อยครั้งในสังคมที่ต้องหมอบราบคาบแก้วกับความชั่วร้ายเพียงเพื่อการเอาตัวรอดทางธุรกิจไปวัน ๆ
หมือนตอนที่ทักษิณกุมไข่ให้จ๊อดเลยหล่ะ...

แย้งคุณ northstar หน่อยนึง อันนี้ไม่ใช่เพื่อการเอาตัวรอดไปวันๆครับ

อันนี้แลกผลประโยชน์มหาศาลระยะยาวครับ
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
หน้า: [1]
    กระโดดไป: