เสนอผลสำรวจ ภาคสนาม
เรื่อง
ความคิดเห็นของสาธารณชนต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้
และการเลือกตั้งครั้งใหม่
กรณีศึกษาประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
คงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะหันเหไปในทิศทางใด และอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ทางการเมืองที่ปรากฏในขณะนี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน เช่น การกลับมาทำงานของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรในฐานะนายกรัฐมนตรี การเรียกร้องให้ กกต. ลาออก และการสนับสนุนให้ทำงานต่อ บทบาทของศาลต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ร้อนแรงทางการเมือง เป็นต้น
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการสำรวจภาคสนามหาข้อมูลเชิงสถิติศาสตร์ จากประชาชนทั่วไปใน 21 จังหวัดทั่วประเทศ ถึงประเด็นความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นใหม่ ด้วยการจัดส่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพนักงานเก็บรวบรวมข้อมูลลงพื้นที่ตัวอย่างที่ถูกสุ่มได้ตามหลักวิชาการด้านระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการวิจัย เพื่อสำรวจความรู้สึกของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อปัญหาที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีเร่งแก้ไข และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในหัวข้อเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง "ความคิดเห็นของสาธารณชนต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้และการเลือกตั้งครั้งใหม่: กรณีศึกษาประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด" ซึ่งดำเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 22 - 30 พฤษภาคม 2549 ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจาก 21 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ ลำปาง นครสวรรค์ น่าน พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ หนองคาย สกลนคร ขอนแก่น สุรินทร์ นครราชสีมา อุบลราชธานี ระนอง นครศรีธรรมราช และสงขลา เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากรเป้าหมายจากการทำสำมะโน ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ คือ 4,167 ตัวอย่าง ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5 โดยมีประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจมีดังนี้
ผลสำรวจครั้งนี้พบว่า ประชาชนผู้ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.4 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ในขณะที่ร้อยละ 27.5 ติดตามบ้าง และร้อยละ 4.1 ไม่ได้ติดตามเลย ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.9 คิดว่าการเมืองไทยไม่ใสสะอาด เพราะมีแต่ความขัดแย้งแย่งอำนาจกัน แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ใส่ร้ายป้ายสีกัน จ้องทำร้ายทำลายกัน ปลุกปั่นกระแสให้สังคมแตกแยก แทรกแซงสื่อมวลชน แทรกแซงองค์กรอิสระ และทะเลาะกันไม่เลือกกาลเทศะ เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 19.3 คิดว่าการเมืองไทยใสสะอาด และร้อยละ 17.8 ไม่มีความเห็น อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.1 คาดหวังต่อศาลต่างๆ เช่น ศาลฎีกา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญในการทำให้การเมืองไทยดีขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 18.2 ไม่คาดหวัง และร้อยละ 11.7 ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองใหญ่จะถูกยุบพรรค ผลสำรวจพบว่า ประชาชนเกินกว่าครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 52.8 คิดว่าเป็นไปได้ ในขณะที่ร้อยละ 31.7 ไม่คิดว่าเป็นไปได้ และร้อยละ 15.5 ไม่มีความเห็น ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นด้วยว่าประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 44.9 คิดว่าไม่น่าตำหนิ ส.ส.พรรคการเมืองที่คิดย้ายพรรคเมื่อรู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตทางการเมืองของพรรค ในขณะที่ร้อยละ 37.9 คิดว่าน่าตำหนิ และร้อยละ 17.2 ไม่มีความเห็น เมื่อสอบถามถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์การเมืองในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.3 คิดว่าจะรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 25.4 คิดว่าจะรุนแรงเหมือนเดิม ร้อยละ 6.1 คิดว่าจะลดลง และร้อยละ 10.2 ไม่มีความเห็น อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างประชาชนคิดว่าจะพิจารณาตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ส.ส. ระหว่าง ตัวบุคคล นโยบายพรรค และผลงาน เมื่อตอบได้มากกว่า 1 ข้อ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.8 ดูที่ผลงานของผู้สมัคร ร้อยละ 66.4 ดูที่ผลงานภาพรวมของพรรคการเมือง และร้อยละ 59.3 ดูที่นโยบายพรรค ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความคิดเห็นของประชาชนต่อ การกลับมาทำงานของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับการรักษาคำพูดเรื่องลาพัก เมื่อจำแนกระหว่างกลุ่มประชาชนในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด พบความแตกต่างกัน คือจำนวนคนกรุงเทพมากกว่าคนต่างจังหวัดที่คิดว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ควรรักษาคำพูด ร้อยละ 57.2 ต่อร้อยละ 44.8 ในทางตรงกันข้าม คนต่างจังหวัดมีจำนวนมากกว่าคนกรุงเทพมหานครที่คิดว่าไม่ต้องรักษาคำพูดแต่ให้กลับมาทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีร้อยละ 55.2 ต่อร้อยละ 42.8 สำหรับปัญหาที่ประชาชนต้องการให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เร่งแก้ไข อันดับที่ 1 ได้แก่ ยาเสพติด (ร้อยละ 75.3) อันดับที่ 2 ได้แก่ปัญหาเศรษฐกิจ (ร้อยละ 70.3) อันดับที่ 3 ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ร้อยละ 69.2) อันดับที่ 4 ปัญหาความยากจน (ร้อยละ 63.6) อันดับที่ 5 ภัยพิบัติ น้ำท่วม พายุ ดินถล่ม (ร้อยละ 57.7) อันดับที่ 6 ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ (ร้อยละ 53.7) อันดับที่ 7 ปัญหาผู้มีอิทธิพล (ร้อยละ 51.8 ) อันดับที่ 8 ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น (ร้อยละ 50.2) อันดับที่ 9 ปัญหาภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิด (ร้อยละ 42.6) และอันดับที่ 10 ปัญหาอื่นๆ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตร ปัญหาจราจร ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น (ร้อยละ 33.9)
เกล็ดความรู้เรื่องโพลล์ "เมื่ออ่านผลโพลล์ควรบวกลบค่าความคลาดเคลื่อนที่กำหนดไว้ทุกครั้ง และสิ่งหนึ่งที่คนอ่านโพลล์ควรถามนักทำโพลล์คือมีวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างไร ไม่ควรดูเพียงแค่ขนาดตัวอย่างจำนวนเยอะๆ เท่านั้น"
จุดยืนเอแบคโพลล์ "ให้และรับการศึกษา เคร่งครัดเรื่องระเบียบวิธีวิจัย ไม่ฝักใฝ่และไม่ลงสนามแข่งขันทางการเมือง" http://www.abacpoll.au.edu/index05.htmlดูผลสำรวจฉบับเต็ม click
ที่นี่