ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
21-04-2025, 02:45
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ทุกข์...อันเกิดจากทรัพย์ ของตระกูล"หลีกไป" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ทุกข์...อันเกิดจากทรัพย์ ของตระกูล"หลีกไป"  (อ่าน 3012 ครั้ง)
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« เมื่อ: 23-04-2008, 11:05 »

.

สุขอันเกิดจากทรัพย์ มี 4 ประการ คือ

1.สุขจากการมีทรัพย์
2.สุขจากการใช้ทรัพย์ ที่หามาได้
3.สุขจากการไม่มีหนี้
4.สุขจากทรัพย์ที่หามา้โดยสุจริต


***********************************************************

ตระกูล"หลีกไป" มีทุกข์อันเกิดจากทรัพย์ดังต่อไปนี้

1.ทุกข์จากไม่กล้าเผยทรัพย์ที่มี ต้องทำตัวเป็นผู้ไม่มีทรัพย์

2.ไม่กล้าใช้ทรัพย์ที่มี ต้องหลบซ่อนทรัพย์

3.ทุกข์อันเกิดจากการเป็นหนี้
--ถึงแก่ถูกฟ้องให้ล้มละลาย
--กลายเป็นตราบาปตราบเท่าทุกวันนี้

4.ทุกข์จากทรัพย์ที่ได้มาจากการคตโกง ตามคำพิพากษาของศาล


เมื่อเป็นดังนี้ มีประโยชน์อันใดกับทรัพย์ ที่ว่า...
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #1 เมื่อ: 23-04-2008, 12:49 »

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม คดีเช็คเด้งของ "ทักษิณ" โกงเช็ค..บทพิสูจน์ธาตุแท้ "ผู้นำ"
« เมื่อ: 07-04-2008, 22:24 » อ้างถึง แก้ไข

--------------------------------------------------------------------------------
http://www.adslthailand.com/mobile/thread.php?topic_id=26630
คำพิพากษา

ในพระประมาภิไธยพระมหากษัตริย์

ที่ 149/2532 ศาลฎีกา

วันที่ 20 มกราคม 2532

ความ แพ่ง

ระหว่าง นางชม้อย เชื้อประเสริฐ โจทก์

นายสันต์ สมิตเวช จำเลยที่ 1
พันตำรวจตรีทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 2
เรื่อง ตั๋วเงิน

จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ เลขที่ 1076909 ลงวันที่ 29 กันยายน 2525
จำนวนเงิน 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน) เป็นเช็คออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเพื่อรับรองเป็นประกัน สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงเช็ค โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี
ของโจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็ค
ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โดยให้เหตุผลในใบคืนเช็คว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน
ตามเช็คหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525
จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลา 1 ปี รวมเป็นดอกเบี้ย 97,500 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีก
97,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนเงินตามเช็คตามฟ้อง โดยเป็นหนี้เพียง 750,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไปแล้ว
บางส่วน โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละห้าถึงเจ็ดต่อเดือน และนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบรวมเป็นเงินต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้อง
รับผิดใช้เงินตามฟ้องทั้งหมด ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายและได้เช็คมาโดยไม่สุจริต ลายมือชื่อด้านหลังเช็คที่โจทก์อ้างว่า
เป็นลายมือชื่อผู้ค้ำประกันการจ่ายเงินตามเช็ค มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า
โจทก์ได้เช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ชนิดใด ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจะให้การต่อสู้อย่างไรและเกี่ยวข้องกับเช็คตามฟ้อง
ในทางใด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อ
เป็นผู้สลักหลัง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525
จนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท แทนโจทก์


จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่า เมื่อเดือนกันยายน 2523 จำเลยที่ 2 ได้ซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมที่ดิน
จากนายธรรมนนท์ สมิตเวช บิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท แต่ระบุในสัญญาไม่ถึง 8,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2
ให้นางพจมาน ชินวัตร ภริยาลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้ความยินยอม
ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญา
ขายที่ดิน ลงวันที่ 28 กันยายน 2523 เอกสารหมาย จ.3 ได้ชำระราคาเป็นเงินสดบางส่วน ที่เหลือชำระเป็นเช็คหลายฉบับ โดยจำเลยที่ 2
เป็นผู้สั่งจ่าย ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คที่จำเลยที่ 2 ออกให้เพื่อชำระค่าโรงภาพยนตร์และที่ดินมาชำระหนี้โจทก์ 3 ฉบับคือ เช็คธนาคารกสิกรไทย
สาขาสะพานกรุงธน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2524 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเดียวกัน ลงวันออกเช็ควันที่
29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่ง
ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ไม่ได้ถ่ายสำเนาไว้ เมื่อเช็คตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมายเลข จ.4
ถึงวันออกเช็ค โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่าย
ใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.4

โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยที่ 2 มาชำระเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปพบที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจในวันที่
16 เมษายน 2525 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ นายนภศูล สวัสติเวทิน ทนายโจทก์ และจำเลยที่ 1 ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2
ได้มีการเจรจากัน ในที่สุดจำเลยที่ 2 บอกว่า จะออกเช็คให้ใหม่และขอเช็คเก่าคืน แต่ในขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้เปิดบัญชีใหม่ ขอให้
จำเลยที่ 1 ออกเช็คไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเป็นประกันให้ โจทก์ยอมตกลงในวันนั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คให้โจทก์ 3 ฉบับ
โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังต่อหน้าโจทก์และนายนภศูลคือ เช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่
29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้
เช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคาร
เอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2527 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสาร
หมาย จ.7 และ จ.8 ตามลำดับ (โจทก์ขออนุญาตส่งสำเนาภาพถ่ายแทน เพราะต้นฉบับจะนำไปดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่)
ครั้นเช็คตามฟ้องถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์ทวงถาม
ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คตามฟ้องแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย


จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 รู้จักโจทก์ แต่ไม่เคยมีหนี้สินผูกพันกับโจทก์ และไม่เคยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ เมื่อพุทธศักราช 2523
จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท ได้ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน
รวม 5 ฉบับ จำนวนเงิน 1,300,000 บาท 1 ฉบับ, จำนวนเงิน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ ลงวันออกเช็คห่างกันฉบับละ 1 ปี จำเลยที่ 2 ตกลง
กับจำเลยที่ 1 ว่าไม่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ได้มีการนำเช็คมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วทุกฉบับ วันที่ 26 เมษายน 2525
จำเลยที่ 2 ลาป่วยไม่ไปทำงาน

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คตามฟ้องแล้วมอบให้โจทก์ เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้อง
ไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้
บรรยายถึงมูลหนี้ตามเช็คจึงขาดสาระสำคัญไปนั้น เห็นว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คออกให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และตามกฎหมายถือว่าผู้ถือเป็นผู้ทรง
และบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลย
ทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ แม้มิได้บรรยายถึงมูลหนี้ก็ถือได้ว่า คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้สั่งลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และโจทก์เบิกความเท็จไม่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้จากการที่โจทก์
เบิกความในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คและจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้องและเช็คอื่นอีก 2 ฉบับ ที่ที่ทำงานของ
จำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 แต่ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นจำเลย ในข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ฟ้องและเบิกความว่า จำเลย
(จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) สั่งจ่ายเช็คตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.7 ในคดีนี้ (ซึ่งโจทก์นำสืบในคดีนี้ว่า ออกพร้อมกับเช็คตามฟ้องคดีนี้)
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาที่จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหา
เบิกความเท็จ นายนภศูล ทนายโจทก์ก็ได้เบิกความว่า โจทก์กับนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่
26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2 มิได้ไปทำงานเพราะลาป่วย มีใบลาเป็นหลักฐาน คดีจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
เช็คตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 1 เพราะผู้ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินคือ นางพจมาน ภริยาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2
ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น โจทก์มีตัวโจทก์และนายนภศูลทนายโจทก์คนเดิมมาเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ 2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และเช็คตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.7 และ จ.8 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525
ปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์


ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 อ้างใบลาหยุดราชการในวันที่ 26 เมษายน 2525 เป็นพยาน เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่า โจทก์เบิกความเท็จ
พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและเชื่อไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อ้างอิง
ข้อเท็จจริงในฎีกาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์บรรยายฟ้อง
และเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำฟ้องและคำให้การพยานโจทก์ท้ายฎีกา
เอกสารหมายเลข 1 และหมายเลข 2 และนายนภศูล ทนายโจทก์คนเดิมเบิกความเป็นพยานโจทก์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ในคดีอาญา
หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาว่า โจทก์และนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจ
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 มิใช่วันที่ 16 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข 3

พิจารณาแล้วเห็นว่า เดิมนายนภศูลเป็นทนายโจทก์ในคดีนี้ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นโจทก์และเรียงฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่
52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่า ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาแล้ว นายนภศูลในฐานะทนายโจทก์ยื่นคำร้อง ลงวันที่
6 สิงหาคม 2530 ขอถอนฟ้องโดยอ้างว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงกันแล้ว จำเลยที่ 2 รับสำนำคำร้องแล้วไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องโจทก์ขอถอนฟ้อง ถึงวันนัด โจทก์และทนายคนใหม่มาศาลแถลงว่า โจทก์ไม่เคยตกลง
หรือยินยอมให้นายนภศูลถอนฟ้องดังที่นายนภศูล ยื่นคำร้องไว้และยืนยันขอดำเนินคดีในขั้นฎีกาต่อไป

ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เห็นว่า คำฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่
และคำเบิกความของนายนภศูลในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญา หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์
ไม่น่าเชื่อถือและฟังไม่ได้ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาหรือไม่ ที่โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่
26 เมษายน 2525 อาจเกิดจากความหลงถือหรือต้องเบิกความไปตามคำฟ้องก็ได้ อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 จะลงลายมือชื่อ
เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องในวันที่ 16 หรือวันที่ 26 เมษายน 2525 ก็หาใช่
สาระสำคัญไม่


ในปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธว่า ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้อง
มิใช่ลายมือชื่อของตน ในเรื่องของมูลหนี้นั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้นำสืบว่า เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดิน
จากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา 8,500,000 บาท ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน 5 ฉบับ จำนวนเงิน
1,300,000 บาท 1 ฉบับ จำนวน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบดังกล่าว....กับพยานหลักฐาน
ของโจทก์ แต่ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวมาแลกเงินสดไปจากจำเลยที่ 2 ทุกฉบับแล้วนั้น ข้อนำสืบข้อนี้
มีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ลอยๆ เท่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คตามฟ้อง และเหตุที่จำเลยที่ 1 จะออกเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
ก็เกิดจากมูลหนี้ดังที่โจทก์นำสืบ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คตามฟ้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ไว้แล้ว
จึงไม่สั่งซ้ำอีก


พิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาทแทนโจทก์

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา
นายบุญส่ง คล้ายแก้ว
นายประมาณ ชันซื่อ
นายนิเวศน์ คำผอง


------------------------------------------
http://www.adslthailand.com/mobile/thread.php?topic_id=26630
 


***************************************
***************************************
เหื้Eเลือกเหื้E ย่อมได้เหื้E
เหื้Eย่อมชื่นชมชื่นชอบในความเหื้E
จริงไหม??  ไอ้เภกแก๊งไอ้เหลี่ยมเอ๋ยเอ๋ย


 
บันทึกการเข้า
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #2 เมื่อ: 23-04-2008, 12:56 »

ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ ตอนที่ 2 : เปิดบัญชี “ชินวัตร” ก่อนลอยค่าเงิน
 
โดย ผู้จัดการรายวัน 18 เมษายน 2551 07:49 น.
 ข่าวเชิงวิเคราะห์ โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

       
       เปิดหลักฐานการเตรียมตัวล่วงหน้าของบริษัทในเครือของครอบครัวชินวัตร พบบัญชีวันปิดงบครึ่งปีก่อนลอยค่าเงินบาท 2 วัน มีสัญญาคุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 2 เท่าตัว ตามด้วยภรรยานักธุรกิจสื่อสารถอนเงินบาทขนไปแลกสิงค์โปร์ให้กลับมาโจมตีค่าเงินบาทตามสัญญา SWAP อีกหลายระลอก
       
       [อ่าน ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ - ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท]
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000044663
       
       หลังจากการลอยค่าเงินบาทในปี พ.ศ. 2540 ประชาชนชาวไทยจำนวนมากต้องตกระกำลำบาก ตกงาน ล้มละลาย ล่มจม ทรัพย์สินถูกยึด เจ้าหนี้ที่เคยขอร้องให้ลูกหนี้ก็หันมาอาฆาตลูกหนี้เยี่ยงศัตรู ลามไปจนถึงการฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กิจการสุจริตจำนวนมากที่สร้างมาหลายทศวรรษต้องประสบปัญหาการขาดทุนจนถึงขั้นล่มสลายเพราะไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าถึงการลอยค่าเงินบาทก่อนได้ และไม่สามารถจะทราบล่วงหน้าในการปิดสถาบันการเงินจำนวนมากๆ ได้   ในขณะมีคนบางกลุ่มได้อาศัยการล่วงรู้ข้อมูลลับทางราชการแสวงหาผลกำไรอย่างมหาศาลร่ำรวยบนความเดือดร้อนและคราบน้ำตาของประชาชน
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยเป็นล้นพ้น ที่ทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสแสดงความห่วงใยกับวิกฤตการณ์ปี 2540 เกี่ยวกับนักเก็งกำไรค่าเงินบาทกับระบบค่าเงินบาทเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2541 และวันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2542
       
       วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยกับระบบการลอยค่าการเงินที่ไร้เสถียรภาพในยุคนั้นว่าคนส่วนใหญ่ล่มจม แต่พวก “หัวใส” ซื้อตุนเงินเหรียญสหรัฐ เพราะทราบว่าจะลอยค่าเงิน ดังปรากฏความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสอย่างชัดเจนในครั้งนั้นว่า :
       
       “เขาพูดกันว่า คนที่เป็นนักธุรกิจส่งนอก บอกว่าเดี๋ยวนี้เงินบาทแข็งเกินไป แต่ก่อนนี้เงินบาทลอยไป ไม่ต้องมีเครื่องบิน ไม่ต้องมีบอลลูนหรอก มันลอยขึ้นไป พวกที่หัวใสในทางเก็งราคา ก็เก็งราคาดอลลาร์ ไปซื้อดอลลาร์ เพราะทราบว่าจะลอย ก็ซื้อดอลลาร์มากมายทีเดียว เมื่อลอยก็ขายได้กำไร ถ้าซื้อล้านบาทก็ได้กำไรกลับคืนมาสองล้านบาทภายในไม่กี่เดือน
       
       ถ้าเงินขึ้นลง บางคนที่ไม่เก่งนักซื้อวัตถุดิบมาในราคาแพง แล้วขายสินค้าของเขาในราคาถูก คนเหล่านั้นก็ล่มจม ส่วนใหญ่ นักธุรกิจธรรมดาๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะขึ้น เมื่อไหร่จะลง ก็เลยผิดจังหวะ เขาก็ล่มจม ในวงการธุรกิจจึงบอกว่าล่มจม ส่วนผู้ที่เรียกว่าฉลาดหรือหัวใสเก็งราคา คือรู้ว่าเงินมีขึ้นมีลง ก็เล็งเอาตอนที่เหมาะสม ซื้อวัตถุดิบมาในราคาถูก และขายสินค้าในราคาแพง อย่างนี้ควบคุมไม่ได้ ก็ทำให้พวกนี้สบาย”
       
       
       วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2542 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวข้องกับค่าเงินบาทเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยในปีนั้นทรงพระราชทานคำแปลภาษาอังกฤษจากคำว่า Insider ว่าเป็น “พวกรู้ไส้” ที่ร่ำรวยด้วยการล่วงรู้ข้อมูลและทำกำไรจากค่าเงินบาทภายในไมกี่วัน แต่ทำให้เศรษฐกิจของชาติพัง    ดังปรากฎความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสครั้งนั้นว่า :
       
       “พูดมาก่อนนี้แล้ว พูดมาก่อนที่ผู้ที่เป็นตัวละครในการถกเถียงกัน ได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน 20 บาท 25 บาทมั่งต่อดอลลาร์ 50 บาทมั่งต่อดอลลาร์ คนที่ ขอใช้คำว่าหัวใส เขารู้ ไปซื้อดอลลาร์ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาร์ขึ้นเป็น 50 บาท เขาขาย 50 บาทได้กำไร 2 เท่า อย่างนั้นเราเห็นว่าคนได้กำไรเราก็ยินดีด้วย ยินดีด้วยกับเขา ว่าคนไหนรวยก็ดี แต่ที่ไม่ยินดี เพราะว่าคนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูงในการแลกเปลี่ยน หรือมีความรู้ รู้ไส้ ฝรั่งเขาเรียกว่าอินไซเดอร์ ถ้าคนไหนรู้ไส้ของเศรษฐกิจชั้นสูงๆอย่างนี้ รวย แต่ว่าคนนั้นรวย ก็อย่างที่ว่า เรายินดีด้วยกับเขา ถ้าเขารวยแล้วใจบุญ แต่ว่าอย่างนี้เศรษฐกิจพัง พังเพราะอย่างนี้ จะไม่พูดว่าอันนี้เป็น ทุ จ ริ ต  แต่ว่าได้พูดไปแล้ว” 
       
       
       จากกรณีที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 5730/2550 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ยกฟ้องคดีความที่นายโภคิน พลกุล ในฐานะอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้อภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 เรื่องการลดค่าเงินบาท โดยนายสุเทพตั้งข้อสงสัยว่านายโภคินได้นำมติจากที่ประชุมลับเรื่องการลดค่าเงินบาท ไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์ ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาได้พิพากษาการอภิปรายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณในครั้งนั้นมีมูลเพียงพอที่จะตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นได้
       
       คำถามที่หลายคนสงสัยในเวลานี้ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับรู้เรื่องของค่าเงินบาทได้อย่างไร, รู้ตั้งแต่เมื่อไร และนายโภคิน พลกุล เป็นสาเหตุแต่เพียงผู้เดียวตามทีนายสุเทพได้เคยตั้งข้อสงสัย ใช่หรือไม่?
       
       ตามคำพิพากษาศาลฎีการะบุความตอนหนึ่งว่า : พันตำรวจโททักษิณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบเสียหายรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างผู้ประกอบธุรกิจการค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศที่ต่างประสบความเสียหายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้
       
       จากการตรวจสอบได้ปรากฏว่า มีคำสัมภาษณ์ของนายนิวัฒน์ บุญทรง ประธานกรรมการสายธุรกิจ มีเดีย บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในหนังสือผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2540 ระบุให้ความเห็นต่อกรณีการลดค่าเงินบาทความตอนหนึ่งว่า :
       
       “ส่วนตัวแล้วผมเห็นด้วยกับนโยบายครั้งนี้ เพราะจะทำให้เงินบาทมีคาตามความเป็นจริงมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เงินจากต่างประเทศก็จะไหลเข้าประเทศไทยมากขึ้น เห็นได้ชัดจากตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนีพุ่งสูงขึ้นมาก
       
       เห็นด้วยกับการลดค่าเงินบาท เพราะยิ่งช้ายิ่งแย่ ผมคิดว่านักธุรกิจไทยส่วนใหญ่คงเห็นด้วยกับนโยบายนี้ ส่วนผลกระทบกับกลุ่มชินวัตรนั้นมีบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะชินวัตรติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเงินกู้ไหนสามารถชำระได้ ก็รีบชำระหรือไม่ก็ทำประกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงิน”
       
       และเมื่อตรวจสอบกับงบการเงินของบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันปิดงบครึ่งปีก่อนลอยค่าเงินบาทเพียงแค่ 2 วัน พบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
       
       ประการแรก บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าและแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย จำนวน 16 ฉบับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยจากการชำระเงินกู้ และดอกเบี้ยภายใต้สัญญาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนเงิน 264,831,200 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในมูลค่าที่สัญญาไว้เป็นจำนวนเงินรวม 6,775,025,447 บาท ในขณะไตรมาสแรกของปี 2540 ก็ไม่พบหมายเหตุประกอบงบการเงินในลักษณะเดียวกัน
       
       ประการที่สอง บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจำนวน 6 ฉบับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน จากการชำระเงินกู้ภายใต้สัญญาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวน 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในมูลค่าที่สัญญาไว้ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2540 และวันที่ 15 สิงหาคม 2540 เป็นจำนวนเงินอีก 1,592.96 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสแรกของปีเดียวกันก็ไม่พบหมายเหตุประกอบงบการเงินในลักษณะดังกล่าว
       
       ประการที่สาม บริษัทฯ และบริษัทย่อยพบว่า มีสินค้าคงเหลือจาก 869,541,000 บาท จากไตรมาสแรกของปี 2540 เพิ่มขึ้นกลายมาเป็น 2,196,940,000 บาท มากกว่าไตรมาสแรกถึง 2.52 เท่าตัว และมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 2.14 เท่า
       
       การแสวงหาผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในช่วงเวลานั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบหากมีความเชื่อหรือรู้ข้อมูลว่าจะต้องลดค่าเงินบาท เช่น การซื้อเงินตราต่างประเทศกักตุนเอาไว้ล่วงหน้า, การทำสัญญา SWAP กับธนาคารแห่งประเทศไทย, การกักตุนสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ, การชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด, การกู้เงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไปแลกเงินตราต่างประเทศ, การทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงเงินกู้ต่างประเทศ, การที่ต่างชาติซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นเทขายหุ้นเพื่อนำเงินตราต่างประเทศออกนอกประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการรู้ข้อมูลภายใน การเก็งกำไรค่าเงินบาท และการโจมตีค่าเงินบาท
       
       ซึ่งการแสวงหาผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยเงินตรานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการแสดงงบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังสามารถทำกันในนามส่วนบุคคลซึ่งไม่สามารถที่จะไปตรวจสอบได้ง่ายนัก โดยเฉพาะการโอนเงินหรือการขนเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเงินตราใต้ดินที่เรียกกันว่า “โพยก๊วน”
       
       แต่เนื่องจากในเวลานั้น ฐานะของทุนสำรองระหว่งประเทศ และภาระผูกพันของการทำ SWAP ของแบงก์ชาติ ถือเป็นความลับที่สุด ที่คนไทยทั่วไปไม่มีทางที่จะเข้าถึงข้อมูลได้จึงทำให้การเก็งกำไรทำได้ยาก เช่นเดียวกับยุคในปัจจุบัที่หลายคนเชื่อว่าเงินหยวนของจีนจะแข็งค่าขึ้นในวันหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าจะแข็งค่าอีกเท่าใดและเมื่อใด เช่นเดียวกันกับเงินเหรียญสหรัฐที่หลายคนเชื่อว่าจะอ่อนค่าลงไป แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะอ่อนค่าที่สุดเมื่อใด
       
       ถึงแม้ว่าจากการประเมินฐานะทางเศรษฐกิจก็น่าเชื่อได้ว่า ค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลงในวันใดวันหนึ่ง แต่การเก็งกำไรจะทำได้ยากขึ้นไปอีกในปี 2540 เมื่อแบงก์ชาติใช้ทุกวิถีทางในการปกป้องค่าเงิน ทั้งการทำ SWAP มาเพื่อเพิ่มทุนสำรองในการต่อสู้กับการโจมตีค่าเงิน จนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้พ่ายแพ้ขาดทุนจากการโจมตีค่าเงินบาทไปถึง 2 ระลอก การที่นักธุรกิจจะรู้ล่วงหน้าว่าค่าเงินบาทจะต้องลดค่าเงินลงในวันใดยิ่งทำได้ยากมากขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ เพราะไม่รู้หน้าตักที่แท้จริงของแบงก์ชาติว่าเหลืออยู่อีกเท่าใด
       
       โดยเฉพาะมาตรการ “หักดิบ” ที่แบงก์ชาติได้ออกมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 เพื่อแยกตลาดเงินบาทในประเทศและนอกประเทศออกจากกัน และห้ามนำเงินบาทออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด เพื่อทำให้นักเก็งกำไรต่างชาติที่เป็นคู่สัญญา SWAP ไม่สามารถหาเงินบาทมาคืนแบงก์ชาติตามสัญญาได้ เป็นการสร้างอำนาจต่อรองในยามที่แบงก์ชาติมีทุนสำรองร่อยหรอจนจะไม่สามารถหาเงินเหรียญสหรัฐมาคืนตามสัญญา SWAP ให้สามารถเจรจาผ่อนปรนกับคู่สัญญา SWAP ได้
       
       ดังนั้น ช่วงสุดท้ายของสงครามการปกป้องค่าเงินและการโจมตีค่าเงินก่อนที่จะพ่ายแพ้ จึงน่าจะเกิดขึ้นด้วยการผสมโรงของคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนเงินสดที่เป็นเงินบาทไปแลกกับเงินดอลลาร์ที่ชายแดนไทย เพื่อให้นักเก็งกำไรต่างชาตินำเงินบาทไปคืนแบงก์ชาติของไทยตามสัญญา SWAP ได้สำเร็จ
       
       การเก็งกำไรในช่วงเวลานั้นจึงเกิดขึ้นจากคน 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติเพื่อโจมตีถล่มค่าเงินบาท และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการรู้ไส้ค่าเงินบาท
       
       สำหรับกลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติเพื่อโจมตีถล่มค่าเงินบาทนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก่อนปลายเดือนมิถุนายน 2540 ได้ปรากฏคำสัมภาษณ์ของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน) ที่เคยเปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2548 ว่า
       
      “ในปี 2540 นายจอร์จ โซรอส ได้วางแผนโจมตีค่าเงินบาทของไทย โดยนายจอร์จ โซรอส ได้ติดต่อผ่านบริษัทไฟแนนซ์ขนาดใหญ่ เช่น บริษัท โกลด์แมน แซค บริษัท จีอี แคปปิตอล บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ ให้ร่วมกันซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ โดยบริษัทเหล่านี้ได้มาเชิญชวนนายประชัยและนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศรวมทั้งกลุ่มบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 คน ให้เข้าร่วมกันซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ด้วย
       
       โดยนายจอร์จ โซรอส ต้องการส่วนต่างจากการซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ จำนวน 3 บาท สำหรับนายประชัยกลับคิดว่าการดำเนินการไม่คุ้มกับการทำลายประเทศ ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธไม่ร่วมมือด้วย    แต่สำหรับกลุ่มบริษัทธุรกิจสื่อสาร 2 คนนั้น ก็ได้ตกลงร่วมทำการซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์กับกลุ่มนายจอร์จ โซรอสตั้งแต่ต้นปี 2540 และภรรยาของนักธุรกิจสื่อสารผู้นี้ได้นำเงินบาทซึ่งเป็นเงินสดออกไปประเทศสิงค์โปร์เพื่อไปขายให้ต่างชาติ ให้ต่างชาติมีเงินบาทมาทำการซื้อ-ขายดอลลาร์และโจมตีค่าเงินบาทต่อไป..." 
       
       แต่สำหรับ “คนรู้ไส้” ที่ล่วงรู้แนวโน้มการลดค่าเงินบาท ถ้ามีการล่วงรู้ข้อมูลลับทางราชการแล้ว ก็สามารถแบ่งออกเป็นความชัดเจนได้หลายระดับ
       
       ระดับแรก คือการประชุมร่วมกันของผู้บริหารแบงก์ชาติ เมื่อ วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 ถือได้ว่ามีความเชื่อมั่นว่าจะต้องมีการลอยค่าเงินบาทอยู่ในระดับหนึ่ง
       
       ระดับที่สอง คือการประชุมร่วมกันของผู้บริหารแบงก์ชาติ กับนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยที่นายทนง พิทยะ ให้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 ถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้นค่อนข้างแน่นอน
       
       ระดับที่สาม คือการประชุมของผู้ว่าการและรองผู้ว่าการแบงก์ชาติ ร่วมประชุมร่วมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายโภคิน พลกุล ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2540 เห็นว่าต้องลอยค่าเงินแน่นอน ถือว่ามีความชัดเจนที่สุด
       
       เพราะเหตุนี้ อัตราในการไหลเงินออกจึงเป็นอัตราเร่งเพิ่มขึ้นทุกวันแบบก้าวกระโดดหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยมีเงินไหลออกสุทธิเกือบ 5 หมื่นล้านบาทในสัปดาห์สุดท้ายก่อนลอยค่าเงินบาท และแบงก์ชาติมีการทำสัญญา SWAP กับเอกชนในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ถึง 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในวันเดียวเท่านั้น
       
       ถ้าหากมีการรั่วไหลของข้อมูลไม่ว่าในวันใดระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2540 ก็สามารถที่จะทำประโยชน์ที่มีความชัดเจนมากขึ้นทุกวันตามระดับของข้อมูลในแต่ละวันเวลา ซึ่งเรื่องนี้แบงก์ชาติควรจะต้องเปิดเผยข้อมูลให้ปรากฏต่อสาธารณชน
       
       พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักจะมีอุปนิสัยที่จะตอบแทนหรือสมนาคุณให้กับคนที่ทุ่มเทหรือทำประโยชน์ให้กับตัวเอง นายโภคิน พลกุล, นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์, นายทนง พิทยะ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่างก็ได้มีตำแหน่งในทางการเมืองและตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลทักษิณอย่างต่อเนื่อง สังคมย่อมเกิดความสงสัยในความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนลอยค่าเงินบาทครั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงได้
       
       อย่างน้อยประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเจ็บปวดจากวิกฤตการณ์ ปี 2540 ก็คงอยากให้คนที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง ได้ชดใช้ผลแห่งกรรมที่ทำเอาไว้กับประชาชน


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000045180
       อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
       -ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ - ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท
       -เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาคดีลดค่าเงินบาท(ฉบับเต็ม) ไขความลับดำมืด “ทักษิณ” อินไซด์ข้อมูล สะสมทุนตั้งพรรคกินเมือง??
 

 

***************************************************************

เหื้Eเลือกเหื้E... ย่อมได้เหื้E

เหื้Eย่อมชื่นชมชื่นชอบในความเหื้Eในคนเหื้E ...

ฉันใดฉันนั้น..เฉกเช่น ไอ้เภกแก๊งไอ้เหลี่ยมจ (จริงไหม??ไอ้เภก)

 

บันทึกการเข้า
gunner Dear GTO
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50



« ตอบ #3 เมื่อ: 23-04-2008, 13:09 »

(ยกมือ) ขออนุญาตครับ...ท่านประทาน...


มรึงน่ะ หลีกไปซะ ไอ่เภก 



บันทึกการเข้า
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #4 เมื่อ: 23-04-2008, 14:04 »

.



ข้อความซ้ำซากจึงมักไม่เป็นที่นิยม
ควรเน้นหมัดเด็ด ยึดประเดนเข็มข้น
สั้น เรียบง่าย เป็นของใหม่ ได้ใจความ

กระทัดรัด ชัดเจน จึงเป็นที่นิยม
ยกตัวอย่าง ข้างบน กระทู้ "พิเภก"
รวบรัดชัดเจน ได้ใจความ รูปแบบสวยงาม

ส่วนของท่าน มีแต่ปริมาณขาดความตื่นเต้นเร้าใจ
ไม่ใช่ของใหม่ ไม่มีผู้สนใจ รกตาเปล่าเปล่า
ขอให้นำคำกล่าว กลับพิจารณาใหม่ ปรับปรุงให้ดี...

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2008, 14:06 โดย พิเภกอินเตอร์ » บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #5 เมื่อ: 23-04-2008, 14:04 »

.


ข้อความซ้ำซากจึงมักไม่เป็นที่นิยม
ควรเน้นหมัดเด็ด ยึดประเดนเข็มข้น
สั้น เรียบง่าย เป็นของใหม่ ได้ใจความ

กระทัดรัด ชัดเจน จึงเป็นที่นิยม
ยกตัวอย่าง ข้างบน กระทู้ "พิเภก"
รวบรัดชัดเจน ได้ใจความ รูปแบบสวยงาม

ส่วนของท่าน มีแต่ปริมาณขาดความตื่นเต้นเร้าใจ
ไม่ใช่ของใหม่ ไม่มีผู้สนใจ รกตาเปล่าเปล่า
ขอให้นำคำกล่าว กลับพิจารณาใหม่ ปรับปรุงให้ดี...

.
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
oho
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #6 เมื่อ: 23-04-2008, 14:11 »

โกง-เครียด-ดื่มไวน์ เมียกลับดึก-แก้เผ็ด! เธอมีกิ๊ก-ฉันก็มีบ้าง เวทีนี้จึงมีแต่ตลก69
Saturday, 26 August 2006 

ปฏิบัติการ “ตลก 69” กำลังเป็นที่โจษขานกล่าวขวัญกันอยู่ในเวลานี้ เมื่อผู้อำนวยการสร้างหน้าเหลี่ยม...จ่ายแต่เงิน...แต่ไม่ได้ดู พล็อตเรื่องเลยว่า...ผู้กำกับการแสดง “อมเงิน” ไปเท่าไหร่ เหตุเพราะ...จะสร้างหนัง “ลอบสังหาร” กันทั้งที...ดันทำไม่แนบเนียน!!!

ทำอะไร!!! จึงมีแต่โฉ่งฉ่าง-ดันทุรังทำไปโดย แวดวงคน “ฮอลลีวู้ด” ถึงกับ “อึ้งกิมกี่”...ว่ามัน “กล้าทำได้” ถึงขนาดนี้เชียวหรือ???

งานนี้จึงมีรายการ “หน้าแตก” กันเป็นทิวแถว...เรียกว่า...งานแบบนี้ ดันไม่ยอมปรึกษา “เสี่ยเจียง” เจ้าพ่อมือทำหนังไทย...เพราะขานี้เค้ารู้ดีว่า...วิธีทำหนังให้เนียน-เค้าทำกันอย่างไร

หรือว่า...ผู้อำนวยการสร้างหน้าเหลี่ยม “กลัว” ถูกจี้ใจดำเรื่องเช็คในอดีต...555

แต่พูดก็พูดเถอะ...ยามนี้ “ไต่กอ” สงสาร...ชายหน้าเหลี่ยม-หน้าด้าน-หน้าบูด-หน้าหม้อ...เอาม๊ากๆๆๆๆๆ

เพราะทำอะไร...ก็มีแต่ถูกด่าๆๆๆๆๆๆ

แถมอยู่บ้านส่องทั่วหล้า...ก็แทบจะไม่มีความสุขกะเค้าเสียแล้ว

ไม่ใช่อะไรหรอก...คุณลูกทั้งหลายก็ไม่ได้ดั่งใจ

เหตุเพราะ...ลูกคนโตก็เป็นพวกชอบเสือไบ...แต๋วแตกบ้างบางอารมณ์...แถมยังชอบดื่มโค้กเป็นชีวิตจิตใจ

ส่วน....ลูกคนรองก็ “ใจแตก” เที่ยวแบบเทน้ำเทท่า...ดริ๊งค์-แด๊นซ์-กระจาย...แต่ไม่ใช่ที่เมืองไทยหรอก นะ...โน่น...ที่ลอนดอน...แดนดินถิ่นพี่ใหญ่-อ.ย.ดูแลอยู่...บอกชื่อร้านให้ ก็ได้ว่า...เอ็ดดี้ (ไม่รู้ผีน่ารักหรือเปล่า) เพราะที่เที่ยวแห่งนี้...เด็กไทยในลอนดอนรู้กันดีว่า...เป็นแหล่งมั่วสุม ชั้นดี

พี่ใหญ่-อ.ย.เห็นแล้ว อดบอก “ไต่กอ” ไม่ได้ว่า...สงสารน้องหนูคนนี้จริงๆ...ไม่น่าเกิดมาเป็นลูก(มัน)...เลย เพราะยามนี้หลังจากถูกลูกชายเจ้าของโรงแรมดังกลางสุขุมวิท “สลัดรัก”...ก็มีเด็กหนุ่มหน้าตี๋เข้ามาดามหัวใจ...แต่ที่มันหนักไปกว่า นั้นคือ...เด็กหนุ่มคนนี้เที่ยวไปโม้ให้คนไทยหลายคนฟังที่โน้นว่า...ยัง งัยก็ขอ “รอ” ตกถังข้าวสารอยู่...เพราะรู้ดีว่า...7.3 หมื่นล้านของแท้นั้น...ต้อง “ขี้เหนียว” เท่านั้น...เพราะไปไหน-มาไหน “กู” จ่ายคนเดียวจริงๆ นะจะบอกให้

ขณะที่...ลูกคนเล็กก็ “อารมณ์แปรปรวน” ประเภทตามติดคุณลูกชายคนโต...บางวันก็ดื่มโค้กแบบบ้าคลั่งจะเป็นจะตาย... บางวันก็หลบเข้าโรงพยาบาล(ไม่บ้า)พักผ่อน...เล่นเอา “คุณพ่อขาหน้าเหลี่ยม” ปวดกบาล...ปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวก็ไม่ได้

ที่สำมะคัญหนักคือ ยามนี้...คุณภรรเมีย...ก็ทำตัวแปลกๆๆๆๆ

กลับบ้านดึกๆๆๆๆๆ...บางวัน ตี 2 ตี 3…พอเช็คไป-เช็คมา...ลูกน้องก็รายงานว่า...อ๋อ(ไม่ใช่อ้อนะ) นั่งบัญชาการที่ตึกดาวเทียม

ทีแรกก็วางใจ...สงสัยไปช่วย “วางแผน” แก้เกมการเมือง

ที่ไหนได้...ระยะหลังชักเอะใจ...ทำไมมันกลับดึกบ่อยจังวะ


พอสั่งเด็กในคาถา “ปากห้อยๆๆ” ไปสืบเสาะดู...กลายเป็นว่า...มุ่งวางแผน...แต่เกม “การมุ้ง” อย่างเดียว

ถามว่า “มุ้ง” อะไรหรือ???

ก็ “มุ้งเมียมั๊ง” (ขอย้ำ...ไม่ใช่มุ้งเมียแม้วนะจ๊ะ)

เหตุเพราะว่า...ที่กลับดึกๆ ดื่นๆ เพราะมีใครบางคนไปทำ “หื่นๆ” โชว์ให้เห็น

ก็อย่างที่บอกงัย...โลกนี้ “กรรมมันมีจริง” เที่ยวไปทำอะไร “เอา” ไว้

สุดท้ายก็ถูก “เอา” คืน...เข้าตำรา...เธอมีกิ๊ก(เพียบ)...ฉันก็ขอมีบ้าง...


ยามนี้จึงต้องนั่งดื่มน้ำใบบัวบก...แก้เจ็บช้ำน้ำใจไปพลางๆก่อน

พอเห็นว่า...น้ำใบบัวบก...ใช้ไม่ได้ผล...เลยต้องหันมา “ดื่มไวน์”

เข้าตำรา...โกง-เครียด-ดื่มไวน์ (จนเมามันส์)...แต่สุดท้ายก็ต้องโทร.หา “ซ้อเล็ก” เป็นประจำ!!!

ที่สำคัญยังเครียดหนักในเรื่องข่าวฉาวเล็กๆ...ที่ใครกันหนอ...ดอดไปคลอด ลูกชายหน้าตาจิ้มลิ้ม...ที่ลอนดอน...แต่ดันมีคนมาปล่อยข่าวลือใหญ่โตใน เมืองไทยว่า ดอดไปทำแท้งที่โรงพยาบาลของชายหน้าเหลี่ยมเป็นเจ้าของเสียนี่...เล่นเอามี แต่คนมาสอบถามว่า...ตกลงแล้ว “เด็ก” คนนี้มันลูกใครหว่า????

นี่แหล่ะจึงเป็นคำตอบให้ว่า...ทำไมระยะหลัง...ชายหน้าเหลี่ยมถึงได้ดื่มไวน์แทนน้ำ...แบบมีอาการหลุดโลก...จนใครหลายคนคิดว่า “เครียด” เรื่องการเมือง

แต่ที่ไหนได้...ดัน “เครียด” เรื่องการมุ้งของเมีย...มากกว่า

เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม...การเมืองไม่เท่าไหร่หรอก แต่การมุ้งของเมียสิน่ากลัวกว่า

ดังนั้นจึงต้องมาระบายอารมณ์กับ “คนเฒ่า-คนแก่” ที่ไม่รู้อิโหน่-อิเหน่..อะไรกะเค้าเลย

555...อยากรู้กันแล้วสิ...ชายหื่นคนนั้น...เป็นใคร...ที่ทำเอา “หัวใจ” ของภรรเมียคนดังถึงกับ “ระทวย”

อิๆๆๆ... “ไต่กอ” บอกให้ก็ได้ว่า...เป็นชายหนุ่มรูปงาม-มีชาติ(ชาย)ตระกูลดัง...และเป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว...เป็นคนที่เคยเป็น “เด็กสร้าง” ของอดีตผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่ชื่นชอบ “มอเตอร์ไซค์ฮ่าง”...เพราะมักดอดไปหา “ไฮโซกระทะร้อน” เป็นประจำ

แต่ชายคนนี้เดินสายคนละเส้นทางกับอดีตผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น...เพราะไม่ชอบเสนอหน้าเหมือน

แถมไม่ยอมทำตัวเหมือน “พี่ห้อย” ที่ก็อยากจะ “อัพเกรด” แต่ถูกตำหนิด้วยสายตาอันเมินเฉยจาก “เจ้าแม่”...เลยต้อง “เจียมตัว” แล้วดอดไปรายงานให้ “นาย” รับรู้

เรียกว่า...พอกูไม่ได้-มึงก็ต้องโดน!!!

เพราะให้มันรู้แล้วรู้แร่ด...ไปเลยว่า...บ้านนี้เมืองนี้ที่มันฉิบหายทั้งเรื่องการบ้าน-การมุ้ง...นั้น

เป็นเพราะกู(ห้อย) คนเดียว...555

ยามนี้...ชายหน้าเหลี่ยมเลยแก้เผ็ดด้วยการดึง “คนปากห้อย” ไปนั่งทำงานที่ห้องเดียวกันของพรรคดาวเทียม เพราะหวังให้คอยเป็น “สปาย” ดูความเคลื่อนไหว...

ทีนี้รู้กันหรือยังว่า...ทำไมบ้านส่องทั่วหล้า...ถึงต้องไปอยู่ซอย 69 เพราะ “ท่า 69” มันเป็นท่าที่ถนัดของคนบ้านนี้

“ไต่กอขอบอก” งานนี้ไม่ได้ยุให้บ้าน (นี้) แตก...แต่เป็นเพราะ...บ้าน (นี้) มันแตกมานานแล้ว...555

แต่ที่แน่ๆ ไม่รู้ว่า “พี่ห้อย” ขออนุญาตคนคุมหวยหรือยัง...555


...........................................
คอลัมน์...ซุบซิบไทยอินไซเดอร์
โดย...ไต่กอ
 

 
บันทึกการเข้า
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #7 เมื่อ: 23-04-2008, 14:28 »

.


ยาวไป...
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #8 เมื่อ: 23-04-2008, 16:16 »

ทุกข์...อันเกิดจากทรัพย์ ของตระกูล"หลีกไป"....

ถ้า'เภก 800' พูดความจริงบ้าง ไม่บิดเบือน เบี่ยงเบน
น่าจะบอกว่า ทุกข์...อันเกิดจากมีทรัพย์สิน'มิสมควร'
จึงต้อง'ซุกหุ้น' 'ปกปิด' 'ปิดบัง' 'ติ๊กผิด' 'ละเลย' การแจ้ง การเปิดเผยข้อมูล....



ทำให้คณะกรรรมการ กกต. คณะกรรมการ ปปช. และคณะกรรมการ คตส. ตรวจสอบพบ
จึงต้องให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ยุบพรรค.... 
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
seri_seri
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 22


« ตอบ #9 เมื่อ: 23-04-2008, 16:20 »

เราเชื่อฝ่ายพันธมิตรฯ มากกว่าฝ่ายทักษิณ (update 08/04/2008)

เราเชื่อฝ่ายพันธมิตรฯ เพราะ...
- กล้าเปิดเผยตัวพูดในที่สาธารณะ
- กล้าท้าดิเบทกับทักษิณออกโทรทัศน์ ถ่ายทอดสดต่อหน้าคนทั้งประเทศ
(ถ้าทักษิณไม่ผิด ให้เกียรติและเคารพในการตัดสินใจด้วยปัญญาของประชาชน"ส่วนใหญ่"จริงๆ ก็ไม่ควรจะหนีดิเบท ใช่หรือไม่?)
- มีการบันทึกวีซีดี ซึ่งเป็นหลักฐานมัดตัวเองได้ทุกเมื่อ
- ยอมเอาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงถูกด่า ถูกสังหาร อย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ
- ผู้ที่ออกมาอยู่ฝ่ายพันธมิตรฯ มีความรู้ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน จริยธรรม ฯลฯ
- ผู้มีชื่อเสียงในสังคมที่เลือกฝ่ายพันธมิตรฯ กล้าเปิดตัว และแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ รู้จักวิเคราะห์ข่าวสาร และ ไม่ใช่คนเชื่อคนง่าย
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนเถียงอะไรตะแบงซ้ำๆซากๆ
- ฝ่ายพันธมิตรฯ เชื่อว่า ถ้าผู้นำไม่มีจริยธรรม ก็ไม่สามารถทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรื่องอย่างยั่งยืนได้
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ชอบพฤติกรรมแบบ "ที่โกงกันไปแล้วก็หยวนๆน่า บ้านเมืองต้องเดินหน้า"
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ได้หวังว่านักการเมืองคนหนึ่ง จะต้องดี 100% แต่ถ้าเลวเกินไป ก็ไม่ควรจะอยู่
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ต้องการนักการเมืองที่รู้จักยอมรับผิด ขอโทษประชาชน และแก้ไขจากสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง
- ฝ่ายพันธมิตรฯ จะเป็นคนที่ฟังข่าวสารรอบด้าน มากกว่าฟังความข้างเดียว
- ฝ่ายพันธมิตรฯ มักถามว่า "ความจริงคืออะไร" มากกว่าถามว่า "จะเลือกตั้งเมื่อไร"
- ฝ่ายพันธมิตรฯ มักจะถามว่า เสียงส่วนใหญ่(ที่ไม่เคยติดตามฟังฝ่ายพันธมิตรฯพูด) เป็นประชาธิปไตยที่ดี จริงหรือ?
- ฝ่ายพันธมิตรฯ มักจะถามว่า เสียงส่วนใหญ่ (ที่ไม่เข้าใจประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้) เป็นประชาธิปไตยที่ดี จริงหรือ?
- ฝ่ายพันธมิตรฯ ใช้เหตุผล ไม่ใช้กำลัง



เราไม่เชื่อฝ่ายทักษิณ เพราะ...
- สลับเก้าอี้รัฐมนตรี หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
- จำกัดเสรีภาพของลูกพรรค ในการโหวตไว้วางใจรัฐมนตรี (ใครไม่โหวตตามมติพรรค มีบทลงโทษ)
- ยุบสภาหนีการอภิปราย
- ชอบกล่าวหาว่าฝ่ายพันธมิตรฯกระทำนอกกติกา ทั้งๆที่พันธมิตรฯทำกิจกรรมทุกอย่างภายใต้รัฐธรรมนูญ
- เป็นเจ้าของประโยค "ผมจำเป็นต้องดูแลจังหวัดที่เลือกไทยรักไทยก่อน"
- คดีที่ฝรั่งฟ้อง ตะแบงแก้ตัวได้อย่างเดียว "หมดอายุความ"
- หลีกเลี่ยงการพูดความจริงต่อหน้าประชาชน โดยเสนอปิดห้องลับคุยกับนายสนธิ
- พวกทักษิณมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า ผู้นำฝ่ายค้านไม่สมควรได้เวลาพูดออกโทรทัศน์ ดั่งเช่นผู้นำรัฐบาล โดยไม่มีเหตุผลอันควร (สันนิษฐานได้ว่า กลัวประชาชนจะรู้ความจริงอีกด้าน)
- หลีกเลี่ยงการดิเบท ไม่ว่ากับนายอภิสิทธิ์ หรือนายสนธิ
- ชอบอ้างแต่เสียงส่วนใหญ่ โดยไม่สนใจที่มาที่ไปของเสียงส่วนใหญ่
- พวกทักษิณ พยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเหนื่อยล้า อ่อนแรง โดยคิดว่า เดี๋ยวสักวันไอ้พวกนี้มันก็หมดแรงไปเอง ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยจริงๆ ก็จะหันมาสนับสนุนเราในที่สุด
- คนรักทักษิณ มักอ้างว่า ทักษิณกับสนธิไม่ควรออกโทรทัศน์คู่กัน เพราะสนธิมีจิตวิทยามากกว่า (อ้าว !! ก็ต้องเคารพวิจารณญาณ ของประชาชนที่ฟังความสองฝ่ายไม่ใช่หรือ? การฟังทักษิณฝ่ายเดียว เป็นการรับข่าวสารที่ถูกต้อง ใช่หรือไม่?)
- คนรักทักษิณ มักพูดว่า โกงเท่าไรก็ได้ แต่ขอให้ทำงาน และเราได้เงินเพิ่มขึ้นแบบฉาบฉวยก็ไม่เป็นไร
- คนรักทักษิณ มีความเชื่อว่า ประชาชนไม่มีสิทธิ์ไปตั้งคำถามกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง หรือถ้าถาม นายกรัฐมนตรีก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ (มันไม่สำคัญว่าใครถาม มันสำคัญที่ต้องตอบ!!)
- คนรักทักษิณ มีความเชื่อว่า ไม่ควรเอา "จริยธรรม" กับ "การเมือง" มาเกี่ยวข้องกัน (คนจำนวนไม่น้อยมักสร้างภาพเข้าวัด ทำบุญ แต่ขาดความเข้าใจเรื่องจริยธรรมอย่างมาก)
- คนรักทักษิณ มักเชื่อว่า ทุกคนดำรงชีวิตด้วยผลประโยชน์ ไม่มีใครที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆหรอก ทุกคนต้องเอาตัวรอดกันทั้งนั้น
- คนรักทักษิณ ชอบทำเท่ห์ เวลาพูดว่า "ถ้าทักษิณไม่เป็นแล้วใครจะเป็น" เถียงเสียงดังไร้เหตุผล เอาสีข้างเข้าถูสารพัด ชอบพูดมากกว่าที่จะรับฟัง ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนที่สนทนาด้วย ได้ออกความเห็นที่แตกต่าง
- คนรักทักษิณ มักชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล สังเกตได้จากพวกที่ปิดล้อมตึกเนชั่น , พวกที่ก่อกวนที่สวนลุม , พวกก่อกวนที่ม.ธรรมศาสตร์ , พวกที่กระทืบผู้สูงอายุที่ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ
- คนรักทักษิณ อีกประเภทหนึ่ง ชอบสนทนาการเมืองแบบสุภาพชน แต่ไม่ได้มีความรู้จริงๆเลย
- คนรักทักษิณ จำนวนไม่น้อย มักคิดว่า นาทีนี้กูได้เงินไว้ก่อน ประเทศจะเสียหายอย่างไร ก็ช่างหัวมันปะไร
- คนรักทักษิณ มักทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่เคยออกมาประนามการกระทำของพวกเดียวกันเอง ที่ใช้กำลังก่อกวนฝ่ายพันธมิตรฯ
- คนรักทักษิณ มักจะมีความมั่นใจสูงมากๆ ชอบคิดว่าตัวเองมีความรู้เรื่องประชาธิปไตยมาก ทั้งๆที่ไม่รู้จริง
- ใครบางคน ปล่อยข่าวลือว่า ถ้ารับรัฐธรรมนูญ 50 จะไม่มีพระมหากษัตริย์ และประเทศไทยเปลี่ยนเป็นรัฐอิสลาม >> http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000096577
- คนรักทักษิณมักจะมีนิสัย "รู้น้อยชอบพูดมาก" และ "ชอบเดา" มากกว่าจะพยายามแสวงหาความรู้ข่าวสารเพิ่มเติม
- คนรักทักษิณมักไม่ยอมเปิดใจฟังว่า แนวร่วมพันธมิตรมีใครบ้าง และพูดเรื่องอะไรบ้าง สักแต่ด่าพันธมิตรฯลูกเดียว
- คนรักทักษิณ จำนวนไม่น้อย คือ "คนที่ความรู้เข้าไปไม่ถึง" และ "ข้อมูลข่าวสารเข้าไปไม่ถึง" ดูได้จากม๊อบที่จตุจักร และที่ไปปิดล้อมตึกเนชั่น (ขออภัยที่ต้องพูดตรง ก็ต้องยอมรับความจริงกันบ้าง)
- คนรักทักษิณ มักมั่นใจว่าตัวเองรู้จริง แต่ จะชอบซ่อนตัวในที่ลับ (เช่นในเว็บบอร์ด) มักหลีกเลี่ยงการท้าดิเบทกับคุณสนธิ และแนวร่วมพันธมิตรฯ
- คนรักทักษิณ มักปล่อยข่าวทำลายแกนนำพันธมิตร โดยหาแหล่งที่มาไม่ได้ หาตัวตนไม่เจอ
- คนรักทักษิณ มักดิสเครดิสคุณสนธิว่ามีเบื้องหลังในการล้มทักษิณ แต่ที่ผ่านมา คนที่เลือกทักษิณ 16 ล้านคนเศษๆ ก็ไม่เคยมีใครกล้าแสดงตัวออกมาแฉคุณสนธิ อย่างจริงๆจังๆ เหมือนที่คุณสนธิกล้าแฉทักษิณและพวก
- คนรักทักษิณ ชอบอ้าง "ความสมานฉันท์" และ "ความสามัคคี" เพื่อกลบเกลื่อน ให้คนลืมว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น และลดกระแสการตรวจสอบนักการเมือง



ของแถม

"ทักษิณ"...พูดอย่างนี้ได้อย่างไร?
http://www.youtube.com/watch?v=iWuJRaONckU


==อีกหนึ่งหลักฐานเผด็จการรัฐสภาทักษิณ บีบนักการเมืองให้เข้าพรรคไทยรักไทย==
http://forum.serithai.net/index.php?topic=24254.0


10/07/49 เมื่อ Wisdom Radio FM 105 MHz โดย มังกรดำ เปิดสายเจอ ผู้ฟังตัวจริง งานนี้จึงมีรายการ ผิดคิว....
http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026%2F1026%2D1379%2Ewma&program_id=4722



ช่วยเอาไปเผยแพร่กันเยอะๆนะครับ จะได้ตาสว่างกันเสียที
 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สุดยอดวิชามาร "ยัดข่าวเท็จสำเร็จรูปให้สาวก" !!!

ผมเพิ่งทราบมาไม่นานนี้ สาวกแม้วเค้าเข้าใจกันว่า ที่นายใหญ่ของเขาไม่ยอมดิเบทกับสนธิ เพราะว่า นายใหญ่เค้ายินดีมา แต่ขอเป็น 1 ต่อ 1 แต่พันธมิตรดื้อดึงจะให้เป็น 5 รุม 1 ใครจะยอมมา

พวกมันเอาข่าวนี้มาจากไหนวะ เท็จ 100% ขนาดนี้ ใครจะติดตามพันธมิตร จะทราบว่า คุณสนธิยืนยันมาตลอดว่า 1 ต่อ 1 ให้เวลาพูดเท่ากัน พูดจนปากจะฉีกลงไปถึงส้นเท้า

ผมว่าสาวกแม้วมีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ 3 กรณี

1.ถูกกระทำให้โง่
2.แกล้งโง่
3.โง่จริงๆ
บันทึกการเข้า
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #10 เมื่อ: 23-04-2008, 19:56 »

.

ทั้งสิ้นเพราะอิทธิพลมืดหนุนหลัง...
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 23-04-2008, 23:13 »

ไม่น่าเชื่อว่าเภกจะกล้าเล่นเรื่องนี้
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #12 เมื่อ: 23-04-2008, 23:32 »

ไม่น่าเชื่อว่าเภกจะกล้าเล่นเรื่องนี้


ถูกใจล่ะซี...
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
northstar
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 635


« ตอบ #13 เมื่อ: 24-04-2008, 04:30 »

ความสุขที่เกิดจากการไม่มีทุกข์.... ถ้ารู้จักความพอเพียงของตระกูลพอเพียง
1. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะไม่ได้มาซึ่งความอยากมั่ง-อยากมีในทรัพย์สิน-เงินทองและลาภยศ
2. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จับจ่าย-ใช้สอยเพื่อสนองความอยาก
3. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะหนี้สินรุงรังที่ก่อขื้นจากความอยาก
4. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะกลัวว่าเมื่อไหร่ทรัพย์ที่ได้มาจากการโกงกินจะถูกยึดคืน
บันทึกการเข้า
พิเภกอินเตอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,028



« ตอบ #14 เมื่อ: 24-04-2008, 10:09 »

ความสุขที่เกิดจากการไม่มีทุกข์.... ถ้ารู้จักความพอเพียงของตระกูลพอเพียง
1. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะไม่ได้มาซึ่งความอยากมั่ง-อยากมีในทรัพย์สิน-เงินทองและลาภยศ
2. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จับจ่าย-ใช้สอยเพื่อสนองความอยาก
3. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะหนี้สินรุงรังที่ก่อขื้นจากความอยาก
4. สุขจากการที่ไม่ต้องทนทุกข์เพราะกลัวว่าเมื่อไหร่ทรัพย์ที่ได้มาจากการโกงกินจะถูกยึดคืน


ข้อ 2. ขัดกับทุกข้อ นะตะเอง

เพราะความกลัวจึงต้องสะสมเพื่อมั่นคง
การหาเพื่อเหลือเก็บจึงขัด ข้อ 1.
การเสี่ยงเพื่อให้ได้ ข้อ 1. จึงขัดกับ ข้อ 3.
ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนย่อมสูง เพื่อผล ข้อ 2.

ทั้งหลายที่กล่าว หาใช่ความสุข เราเรียกกันว่าความเพลิน ตะหาก
ความเพลินเปรียบเหมือนเหรียญสองด้าน เลือกไว้เฉพาะด้านเดียว ไม่ได้ รู้ไหม
เลือกเอาหัว ไม่เอาก้อย เลือกเอา ก้อย ไม่เอาหัว ไม่ได้เช่นกัน ต้องทั้งรับสองด้าน

ความพอดีจึงถูกต้อง ไม่ใช่พอเพียง อย่างที่หลายคนสร้างภาพ
หากหวังดี มีเจตตนาให้ผู้คนรับทราบ และเชื่อถือ ควรทำตนเป็นแบบอย่าง ไม่อยู่อย่างฟุ่มเฟือย
อันความสุขขั้นพื้นฐาน เพื่อแก้ความอยาก สามารถมีได้ทุกชนชั้น

ส่วนความสุขจากทรัพย์ที่ว่าไว้ ก่อนหน้านี้ มีความปราณีตบรรจง แตกต่าง ตามสติปัญญา
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...


ปล.ฝากข่าวถึงลุงแคน กระทู้"เพราะความอิจฉาฯ"ไม่ควรให้ใครแสดงความคิดเห็นต่อ ควรปิดไว้เพื่อเป็นหลักฐานประการเดียว...
บันทึกการเข้า

"พิเภกอินเตอร์"มาให้อาหาร "กบในกะลา" ด้วยกุศล เจตนา ขออย่ามีเวร และ กรรมต่อกันเลย สาธุ...อิอิอิ
หน้า: [1]
    กระโดดไป: