บทวิเคราะห์:การเมืองยุคกูไม่กลัวมึง ก่อนถึงButterfly effect25 พฤษภาคม 2549 20:07 น.
ต้องยอมรับว่า กระแสมวลชนจัดตั้ง ที่เป็นแนวรุกและแนวรับของฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทย บวกกับ "คนรากหญ้า"จำนวนไม่น้อยที่ยังหลงใหล และหวังฝากความหวังไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีโอกาสถูกปลุกเร้าระดมให้ออกมาปกป้องเขาได้เช่นกัน...เมื่อเพลี้ยงพล้ำ
*ประชุม ประทีป
------------------
เอามาตรฐานจริยธรรมสำนึกของคนธรรมดาไปจับวัด คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ปัจจุบันไม่ได้เลยจริงๆ
คาดคิดผิดถนัดหลังจากทรงใช้พระราชอำนาจ ผ่านมาตรา 3 ตามรัฐธรรมนูญ ชี้แนะต่อประมุขตุลาการ 3 ศาล(ศาลฎีกา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ) โดยมีคำวินิจฉัยประเด็นพิพาททางกฎหมายมาเป็นลำดับๆ กระทั่ง ชี้ขาดให้การเลือกตั้งทั่วไป 2 เมษายน เป็นโมฆะ และเสนอให้ กกต.สมควรลาออกทั้งชุด
จนเกิดม็อบชุมนุมต้านและชุมนุมเชียร์กันฝุ่นฟุ้งตรลบ ก่อนจะซาลงเป็นการชั่วคราว
ขณะนี้ จึงเกิดภาวะยันกันอย่างน้อย 3 เส้า
เส้าที่ 1.ยันกันในทาง
มวลชนของสองซีก ที่ปะทะกันมาตลอด ยิ่งเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พปป.) หยิบปฏิญญาฟินแลนด์2542 เป็นไม้ตายขึ้นมาหวด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย อย่างแหลมคม
เส้าที่ 2.ยันกันใน
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ สำแดงผ่าน กกต.- วุฒิสภา-รัฐบาล เป็นด้านหลัก กับ 3 ศาลโดยตรง ที่เห็นชัดคือการโยนลูกรับลูกกันเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ที่ส่อเอื้อต่อพรรคใหญ่ โดยที่ กกต.เองถูกสังคมตราหน้าแล้วว่าหมดความชอบธรรม
เส้าที่ 3. ยันกันใน
ทางทฤษฎี, หลักการบริหารประเทศ และหลักกฎหมาย แสดงออกมาตลอด โดยฝ่าย ส.ว.ขาประจำ ที่ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองวินิจฉัยสถานภาพรักษาการนายกรัฐมนตรีทักษิณ ว่ามติ ครม.อนุมัติการ"ลาพัก"นั้น เป็นการลาออก ซึ่งศาลรับไว้ แต่ไม่ไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวขอให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่การบริหารราชการแผ่นดินของครม. และนายกรัฐมนตรี ต่างๆ
ส่วน นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ก็ได้ส่งเรื่องให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา สรรหา 2 กกต.แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยอ้างกรอบระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญ สามารถดำเนินการได้ตามมาตรา 138 (3) คือเมื่อครบกำหนด 30 วันแล้วที่ต้องเลือกบุคคลให้ดำรง กกต. ให้ประธานวุฒิสภาเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เสนอชื่อผู้สมควรเป็น กกต.จนครบจำนวนภายใน 15 วัน
ขณะที่ มีคนชิงยื่นเรื่องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอใช้พระราชอำนาจ ตามมาตรา7 ส่วน กกต.ก็ตั้งอนุกรรมการสอบการยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาอีกด้วย
ทั้ง 3 เส้าขาหยั่ง จะทรุดซวนเซอย่างไร เวทีตัดสินอยู่ที่อำนาจศาลแล้ว
แต่สำหรับพรรคไทยรักไทยได้บรรลุผลเบื้องต้นแล้ว คือ สามารถยื้อเรื่อง กกต.ไปได้อีกระยะหนึ่ง และก็ได้เป็นรัฐบาลรักษาการ...เลื้อยไปเรื่อย
นี่คือการ ล่อเอาเถิด ของฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ต่อพลังประชาชนที่หวังพึ่งอำนาจศาล
แต่การหยิบยกเรื่อง ปฏิญญาฟินแลนด์ 2542 ขึ้นมากลายเป็นประเด็นที่ทิ่มแทงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย อย่างแหลมคม เพราะหากมีความผิด จะถึงขั้นยุบพรรค และต้องโทษอาญาแผ่นดินเลยทีเดียว
และถ้าเข้าแนววิเคราะห์ของ อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทรวณิช ที่ได้เฉลยบนเวทีเสวนา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า
"หลังงานพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติฯ..กกต.ชุดใหม่เข้ามา...ผมเชื่อว่าอาจมีการตัดสินให้ยุบพรรค หากยังคิดสู้นำประชาชนมาเผชิญหน้ากัน ท้ายสุดจะมีการแทรกแซง และทักษิณต้องออกไป ผมขอย้ำว่าภายในกรกฎาคม ทักษิณต้องออกไปแน่นอน"
ยิ่งมองบุคลิกแบบฉบับผู้นำเดี่ยวของ "ทักษิณ" ซึ่งเป็นนักปฏิบัติตัวจริงในโลกทุนนิยม ที่ได้วางระบบมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างเฉียบคม กระทั่ง สามารถใช้อำนาจทุนคุมอำนาจรัฐ ที่อยู่รวมศูนย์ภายใต้พรรคเดี่ยวได้
ซึ่งใครก็น่าจะประเมินได้ว่า นี่เป็นเดิมพันทางการเมืองครั้งใหญ่ เป็นเดิมพันที่ฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทย...ยังไงๆ ก็ยอมแพ้ไม่ได้
ต้องยอมรับว่า กระแสมวลชนจัดตั้ง ที่เป็นแนวรุกและแนวรับของฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทย บวกกับ "คนรากหญ้า" จำนวนไม่น้อยที่ยังหลงใหล และหวังฝากความหวังไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีโอกาสถูกปลุกเร้าระดมให้ออกมาปกป้องเขาได้เช่นกัน...เมื่อเพลี้ยงพล้ำ
ดังนั้น มาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองที่ไหนๆ ในโลก ก็นำมาใช้กับการเมืองไทยในขณะนี้ไม่ได้เช่นกัน
ข้อเสนอที่ภาคประชาชนเคยเสนอมาแต่ต้น ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมเสียสละลาออกไป เพื่อให้เกิดรัฐบาลรักษาการ ที่เป็นกลางและพร้อมจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามแนวทางปฏิรูปการเมืองรอบ 2 เสร็จแล้วจึงยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้ง จะไม่ต้องสูญเสียงบประมาณเลือกตั้งซ้ำใหม่อีกรอบ โดยไม่จำเป็น จึงใช้ไม่ได้กับ "ทักษิณ
ดังนั้น เราจึงเห็น "ทักษิณ ยอมกลับมาอยู่ข้างหน้า เผชิญหน้ากับความขัดแย้งที่รู้ๆ อยู่ว่าจะพุ่งเป้ามาถึงไม่มีละเว้น
แต่ความที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ระหว่างสองฝ่ายนี้ จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่ฮึ่มๆ ใส่กันชนิด "กูไม่กลัวมึง" แล้วล่ะก้อ...
...รอแต่เพียง Butterfly Effect หรือผีเสื้อขยับปีก เท่านั้น !
"อำนาจ" เป็นสิ่งเสพติดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ออกแรงเกินพอดี ย่อมจะเกิด"แรงสะท้อนกลับ" มาแรงเท่านั้น
ซึ่ง
ตลอด 6 ปีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ได้เกิดปัจจัยขัดแย้งสะสมมามากพอ มากพอหรือยังที่จะจ่อใกล้จุดจะถึงปรากฏการณ์ผีเสื้อจะขยับปีก? "สึนามิ" หรือน้ำป่าบ่าท่วมภาคเหนือยามนี้ คือปรากฎการณ์ Butterfly Effect ฉันใด มวลชนคนเชื้อชาติเดียวกัน ลุกฮือขึ้นห่ำหั่นให้แตกหัก ก็คือผลจากปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก ฉันนั้น
เชื่อว่าหลายคน คงไม่อยากให้เกิด แล้วใครจะสกัดไม่ให้เกิด?
http://www.bangkokbiznews.com/2006/05/26/w001_107245.php?news_id=107245