มติชนลงข่าวเรื่องคดีทุจริตขยะ ว่ามีการดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2550 แล้ว
ไม่ใช่มีมือที่มองไม่เห็นบงการให้มาดำเนินคดีตอนนี้ หรือเป็นการเลือกปฏิบัติครับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=18637&catid=1-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สกู๊ป-เปิดเอกสาร'ลับ'สตง.ตั้งแท่นป.ป.ช.ไต่สวน'สมัคร'-พวก5คนคดีโกงขยะ 9.5พันล.วันที่ 31 มกราคม 2551 เวลา 20:29:18 น.
เอกสารลับสตง.ตรวจสอบโครงการ'สมัคร'กับพวก 5 คน มีพฤติการณ์ที่น่าเชือว่า เป็นการทุจริตหรือมีการใช้อำนาจโดยมิชอบ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกว่า 558 ล้านบาท จึงส่งเรื่องให้ สตช.และ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2550
หมายเหตุ 'มติชนออนไลน์' -นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีอ้างว่า การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคมให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจ้างเหมาเอกชนขนขยะมูลฝอยไปทำลายโดยวิธีฝังกลบ
ของกรุงเทพมหานครในช่วงนายสมัครเป็นผู้ว่าราชการ กทม.นั้นเป็นเพราะมีมือที่มองไม่เห็นจัดการในเรื่องนี้และเป็นการเลือกปฏิบัติ
ของ ป.ป.ช.
'มติชนออนไลน์' นำเอกสาร 'ลับ' ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ลงนามโดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบโครงการดังกล่าวและเห็นว่า นายสมัครและพวกรวม 5 คนมีพฤติการณ์
น่าเชื่อว่า เป็นการทุจริตหรือมีการใช้อำนาจโดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกว่า 558 ล้านบาท จึงส่งเรื่องให้สำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติและ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2550
จากนั้นหน่วยงานต่างๆรวมทั้ง ป.ป.ช.จึงนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา จนกระทั่งมีการบรรจุเข้าระเบียบวาระเมื่อวันที่ 29 มกราคม
2551 ที่ผ่านมา จนกระทั่งมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนที่มีนายใจเด็ด พรไชยา เป็นประธาน
รายละเอียดเอกสาร
เรื่อง การจ้างเหมาเอกชนขนมูลฝอยไปทำลายโดยวิธีฝังกลบ ของกรุงเทพมหานคร
เรียน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนารายงานการตรวจสอบเฉพาะกรณี จำนวน 42 แผ่น
ด้วยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยสำนักงานตรวจสอบการบริหารพัสดุและสืบสวนที่ 3 ได้ตรวจสอบเฉพาะกรณีตามที่
คณะกรรมาธิการปกครองวุฒิสภา มีหนังสือฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2547 ขอความร่วมมือให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ตรวจสอบโครงการจ้างเหมาเอกชนขนมูลฝอย และนำไปทำลายโดยวิธีฝังกลบของกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 โครงการ
คือโรงงานกำจัดมูลฝอยอ่อนนุช สถานีขนถ่ายมูลฝอยท่าแร้ง และโรงงานกำจัดมูลฝอยหนองแขม ในวงเงิน 9,589 ล้านบาท
ผลการตรวจสอบสรุปได้ดังนี้
การจ้างเหมาเอกชนขนมูลฝอย และนำไปทำลายโดยวิธีฝังกลบของกรุงเทพมหานคร ทั้งสามโครงการดังกล่าว เป็นกิจการที่
กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ต้องทำตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ซึ่งตามข้อกำหนดขอบเขตงาน ลักษณะของโครงการเป็นการให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในการจัดหาที่ดิน สิ่งก่อสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ เพื่อดำเนินการ
กำจัดมูลฝอยด้วยทุนทรัพย์ของผู้รับจ้าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครได้ให้เอกชนใช้ที่ดินที่โรงงานกำจัดมูลฝอยอ่อนนุช สถานี
ขนถ่ายมูลฝอยท่าแร้ง และโรงงานกำจัดมูลฝอยหนองแขมด้วย ซึ่งทั้งสามโครงการมีการลงทุนในวงเงินหรือทรัพย์สินมูลค่า
มากกว่า 1,000 ล้านบาท
การดำเนินการตามโครงการดังกล่าว จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้ามาร่วมงานหรือดำเนินการ
ในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ซึ่งเรื่องนี้กรุงเทพมหานครได้เคยหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว มีคำวินิจฉัยว่า
การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการ
ของรัฐ พ.ศ.2535 แต่กรุงเทพมหานครกลับได้ดำเนินการจ้างเหมาโดยวิธีประกวดราคาตามนัยข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538 โดยกำหนดไว้ในเงื่อนไขที่ใช้ในการประกวดราคาว่า กรุงเทพมหานครสงวนสิทธิที่จะไม่รับพิจารณา
ข้อเสนอที่มีวงเงินลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท
ดังนั้น การที่กรุงเทพมหานครอนุมัติให้จ้างเหมาโดยวิธีประกวดราคาตามนัยข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538
จึงมีเจตนาหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามนัยพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535
เพื่อให้อำนาจพิจารณาหรืออนุมัติเป็นของบุคคลในกรุงเทพมหานคร แล้วสามารถใช้อำนาจกระทำการให้ผู้รับจ้างรายเดิม
ได้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ กล่าวคือ ในการดำเนินการประกวดราคาครั้งนี้ มีผู้เสนอราคาแต่ละโครงการ
เพียงรายเดียวเท่านั้น
การที่คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ได้พยายามใช้เหตุผลการพิจารณาราคาต่อหน่วยที่ไม่ถูกต้องมาเปรียบเทียบกับ
ราคาของผู้เสนอราคา และยังได้ขอให้กองโรงงานกำจัดมูลฝอยคำนวณราคาใหม่เพื่อให้ราคาต่อหน่วยสูงขึ้น แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน
ทั้งที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากการคำนวณราคาไม่อยู่ในฐานเดียวกันแล้วมีความเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
เพื่อไม่ต้องการให้มีการยกเลิกการประกวดราคาตามนัยข้อ 47 แห่งข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538
เมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ที่มีการพยายามที่จะต่อสัญญาเดิมกรณีที่ได้นำวิธีการห่อขยะมาใช้ และประกอบกับ
พฤติการณ์ที่มีการข่มขู่ผู้ยื่นซองเสนอราคาแต่คณะกรรมการฯ ก็ไม่ได้นำมาพิจารณาเพื่อให้มีการยกเลิกการประกวดราคา
ตามเงื่อนไขและระเบียบที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ท้ายที่สุด นายสมัคร สุนทรเวช ได้อนุมัติให้จ้างผู้เสนอราคาทั้งสามราย ซึ่งเป็นผู้รับจ้างรายเดิม ทำให้ราคาต่อหน่วยแพงขึ้น มีผล
ทำให้ปริมาณมูลฝอยที่ขนไปทำลายได้ตามสัญญาต่ำกว่าปริมาณมูลฝอยที่ตั้งของบประมาณไว้ คิดเป็นเงินรวม 558,888,614 บาท
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่า เป็นการทุจริตหรือมีการใช้อำนาจ
หน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินหรือทรัพย์สินของทางราชการและเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 อีกด้วย รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ฉบับที่ 12 เรื่องให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับมีผลใช้บังคับต่อไป สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 และ
ฉบับที่ 29 เรื่อง แก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12 ลงวันที่
20 กันยายน พุทธศักราช 2549 ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 พิจารณาแล้วเห็นชอบกับผลการตรวจสอบของ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นควรดำเนินคดีอาญาแก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.นายอดิศักดิ์ วิศวไพศาล ผู้อำนวยการกองโรงงานกำจัดมูลฝอย
2.นายอรรคเดช หอมเศรษฐี รองผู้อำนวยการสำนักรักษาความสะอาดปฏิบัติราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักรักษาความสะอาด
3.นายไชยยุทธ ณ นคร รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กำกับดูแลงานของสำนักรักษาความสะอาด)
4.นางผ่องลักษณ์ วาสิกศิริ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติราชการแทนปลัดกรุงเทพมหานคร5.นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ และโปรดนำสำเนารายงานการตรวจสอบสืบสวนที่ส่งมาด้วยนี้ ไปใช้เป็นหลักในการ
สอบสวน หากต้องการรายละเอียดและพยานหลักฐานเพิ่มเติม โปรดติดต่อโดยตรงกับผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบการ
บริหารพัสดุและสืบสวนที่ 3 และให้แจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบ ภายใน 90 วัน
ตามนัยมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542
ขอแสดงความนับถือ
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส
รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน