ของกรุงเทพธุรกิจ ลงเอาไว้ละเอียดยิบเลยครับ
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/27/WW10_WW10_news.php?newsid=224178---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
'โพลล์'ชี้ปชช.ต้องการรัฐบาลใหม่แก้สินค้าราคาแพงมากที่สุดถึง 75.4%27 มกราคม พ.ศ. 2551 15:59:00
"โพลล์"เผยประชาชนต้องการให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาราคาสินค้าแพง75.4% ยกเป็น"วาระแห่งชาติ" และอันดับสองคือแก้ยาเสพติด 68.3%โดยสำรวจช่วงวันที่20 - 26 มกราคม 2551
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเสนอผลสำรวจภาคสนาม
เรื่องความหวัง/ความกลัวของประชาชนต่อสถานการณ์ของประเทศ และคนไทยกลุ่มไหนที่สนับสนุน/ ไม่สนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช
เป็นนายกรัฐมนตรี: กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีภูมิลำเนาใน 27 จังหวัดของประเทศ
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (The ABAC Social
Innovation in Management and Business Analysis) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ความหวัง / ความกลัวของประชาชนต่อสถานการณ์
ของประเทศ และคนไทยกลุ่มไหนที่สนับสนุน / ไม่สนับสนุน นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี: กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ที่มีภูมิลำเนาใน 27 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 3,506 ตัวอย่าง ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 - 26 มกราคม
พ.ศ. 2551 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบคือ
ปัญหาสำคัญ 10 อันดับแรก ที่ประชาชนผู้ถูกศึกษาต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ยกเป็นปัญหาหลักหรือที่เรียกว่าเป็นวาระแห่งชาติ ได้แก่
อันดับแรก ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.4 ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ยกปัญหาราคาสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น
เป็นปัญหาหลักหรือวาระแห่งชาติ
อันดับสอง คือร้อยละ 68.3 ระบุปัญหายาเสพติด
อันดับสาม คือร้อยละ 65.2 ระบุปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้
อันดับสี่ คือร้อยละ 64.3 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น
อันดับห้า คือร้อยละ 53.6 ระบุปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน
อันดับหก คือร้อยละ 51.0 ปัญหาความแตกแยกในสังคม
อันดับเจ็ด คือร้อยละ 47.2 ปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของประชาชน
อันดับแปด คือร้อยละ 45.6 ปัญหาแรงงาน
อันดับเก้า คือร้อยละ 45.5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน และ
อันดับสิบ คือร้อยละ 42.9 ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคม ที่น่าพิจารณาคือ ปัญหาทางการเมืองเช่น การนิรโทษกรรม 111 อดีตผู้บริหารพรรคไทยรักไทย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
กลับกลายเป็นปัญหาที่ประชาชนให้ความสนใจในอันดับท้ายๆ
ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ คนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.4 ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่แก้ปัญหาทันที
ในขณะที่ร้อยละ 13.4 ยังให้เวลาเตรียมตัว 1 - 3 เดือน
ร้อยละ 19.6 ให้เวลา 3 - 6 เดือน
และร้อยละ 11.6 เท่านั้นที่ให้เวลารัฐบาลชุดใหม่เตรียมตัวเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ มากกว่า 6 เดือนขึ้นไปเมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาเรื่องความหวังและความกลัวของประชาชนต่อสถานการณ์ประเทศไทย พบว่า
ประชาชนที่ถูกศึกษามีจำนวนของผู้ที่มีความหวังที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าสูงขึ้นเล็กน้อย
จากร้อยละ 50.0 ในการสำรวจก่อนการเลือกตั้ง มาอยู่ที่ร้อยละ 53.5 ในการสำรวจหลังการเลือกตั้ง
ในขณะที่ประชาชน ระบุ มี ความกลัวและกังวลใจต่อเหตุการณ์ข้างหน้าของประเทศไทยลดลงเล็กน้อย
จากร้อยละ 50.0 ในการสำรวจ ก่อนการเลือกตั้งมาอยู่ที่ร้อยละ 46.5 ในการสำรวจครั้งล่าสุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงระดับความเชื่อมั่นต่อประเด็นสำคัญของประเทศในรายละเอียด กลับพบว่า
ค่าคะแนนความเชื่อมั่นโดยเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งของค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยเฉพาะ
เรื่องความสงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เพียง 3.10 คะแนน
เรื่องปัญหายาเสพติดจะหมดไป ได้เพียง 3.39 คะแนน
เรื่องความซื่อสัตย์ สุจริตของกลุ่มนักการเมือง ได้เพียง 3.43 คะแนน
เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชน ได้เพียง 4.11 คะแนน
เรื่องรัฐบาลชุดใหม่จะอยู่จนครบวาระ ได้เพียง 4.22 คะแนน
เรื่องกระบวนการยุติธรรมจะสามารถ ทำให้สถาบันการเมืองบริสุทธิ์ ได้เพียง 4.29 คะแนน
เรื่องรัฐบาลชุดใหม่ จะทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ช่วงหาเสียง ได้เพียง 4.37 คะแนน
เรื่องพรรคการเมืองต่างๆ จะช่วยกันจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยความเรียบร้อย ได้เพียง 4.49 คะแนน
เรื่องเศรษฐกิจจะดีขึ้น ได้เพียง 4.61 และ
เรื่องความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ได้เพียง 4.61 คะแนน ตามลำดับ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประชาชนกลุ่มไหนที่สนับสนุน และไม่สนับสนุน นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ผลสำรวจพบว่า
ร้อยละ 44.3 ให้การสนับสนุน ในขณะที่
ร้อยละ 38.4 ไม่ให้การสนับสนุน และ
ร้อยละ 17.3 ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (ขออยู่ตรงกลาง)เมื่อจำแนกกลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาครั้งนี้ พบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนนายสมัคร นั้นเป็น
กลุ่มผู้ชายร้อยละ 46.2 ต่อ
กลุ่มผู้หญิงร้อยละ 42.7 และเป็นกลุ่มอายุ 40 - 49 ปี และกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปสนับสนุนนายสมัคร
มากกว่ากลุ่มคนอายุช่วงอื่นคือร้อยละ 50.4 และร้อยละ 48.2 ตามลำดับ
ดร.นพดล กล่าวว่า เมื่อกำลังจะถึงวันตรุษจีน คณะผู้วิจัยจึงได้จำแนกให้เห็นการสนับสนุน นายสมัคร ในกลุ่มคน
ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน กับกลุ่มที่ไม่ใช่คนไทยเชื้อสายจีน พบว่า
กลุ่มที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนให้การสนับสนุนนายสมัคร น้อยกว่ากลุ่มอื่น คือร้อยละ 39.2 ต่อร้อยละ 46.3
และเมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาของประชาชนที่เรียนจบมา พบประเด็นที่น่าสนใจคือ ยิ่งคนที่สำเร็จการศึกษาชั้นสูงขึ้น
กลับให้การสนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช ในสัดส่วนที่น้อยลง คือ
ร้อยละ 51.2 ของผู้ที่จบ มัธยมศึกษาตอนต้นหรือต่ำกว่า สนับสนุนนายสมัคร ต่อ
ร้อยละ 45.3 ของผู้ที่จบ อนุปริญญาหรือ ป.ว.ส.
ร้อยละ 34.5 ของผู้ที่จบ ปริญญาตรี และ
ร้อยละ 29.3 ของผู้ที่จบ การศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไปเมื่อจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม พ่อบ้าน แม่บ้าน กลุ่มผู้เกษียณอายุ
และกลุ่มผู้รับจ้างทั่วไป สูงกว่า กลุ่มอาชีพอื่น คือ ร้อยละ 54.0 และร้อยละ 50.5 ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มที่ให้การสนับสนุน นายสมัคร น้อยสุดคือ กลุ่มอาชีพเกษตรกร ประมง และนักเรียนนักศึกษา
ที่ได้ร้อยละ 22.7 และร้อยละ 32.6 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังคงให้การสนับสนุน นายสมัคร สุนทรเวช
สูงกว่ากลุ่มประชาชนในภาคอื่นๆ คือ ร้อยละ 55.3 และร้อยละ 51.9
ในขณะที่ ประชาชนในภาคใต้มีร้อยละ 18.1 ที่สนับสนุน
แต่เมื่อจำแนกตามกลุ่มประชาชนที่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบสัดส่วนที่ผ่านมา พบว่า
กลุ่มคนที่เลือกพรรคพลังประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 สนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช
ในขณะที่ ประชาชนที่เลือกพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนนายสมัคร น้อยกว่ากลุ่มคนที่เลือกพรรคอื่นๆ
คือร้อยละ 18.2 และร้อยละ 13.6 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 48.0 ต้องการให้พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาลนาน 3 ปีถึงจนครบวาระ
มีเพียงร้อยละ 16.5 เท่านั้นที่ต้องการให้เป็นรัฐบาลไม่เกิน 6 เดือน
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนกำลังต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาที่ใกล้ตัวประชาชน
ด้วยความรวดเร็วฉับไว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนเกินครึ่งเล็กน้อยที่มีความหวังก้าวต่อไปข้างหน้า
แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงกังวลและกลัวต่อเหตุการณ์ข้างหน้าของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังพบว่าความเชื่อมั่นของประชาชนต่ำกว่าครึ่งในหลายเรื่องสำคัญของประเทศ เช่น เรื่องความรักความสามัคคีของคนในชาติ
เศรษฐกิจจะดีขึ้น พรรคการเมืองต่างๆ จะช่วยกันจัดตั้งรัฐบาลด้วยความเรียบร้อย ความซื่อสัตย์สุจริตของกลุ่มนักการเมือง
และความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมที่จะทำให้สถาบันการเมืองบริสุทธิ์
ดร.นพดล กล่าวว่า นายสมัคร สุนทรเวช ที่กำลังถูกคาดหมายจะได้รับการโหวตในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้นมีจุดตั้งต้นของเสียงสนับสนุน
จากประชาชนโดยภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 44.3 ในทางสถิติด้านการสำรวจความนิยมของประชาชนต่อผู้นำประเทศทั่วๆ ไปถือว่าอยู่ในโซน 2
คือระหว่างร้อยละ 25 ถึงร้อยละ 50 เป็นฐานการสนับสนุนที่มีความหมายว่า เป็นตัวเลขที่ไม่ถึงกับแย่มากนัก
นอกจากนี้การที่เข้ามาในช่วงบ้านเมืองไม่ปกติจะหาบุคคลที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนได้อย่างท่วมท้นนั้นเป็นไปได้ยาก
โดยทั่วไปถ้านายสมัครได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง ก็น่าจะสามารถบริหารประเทศได้แต่อาจประสบปัญหาการสื่อสาร
กับสาธารณชนในระยะแรก ที่จะพูดอะไร จะทำอะไร มักจะพบกับแรงเสียดทานจากสังคม ซึ่งกรณีนี้ทางออกที่ทำให้ผู้นำประเทศคนอื่นๆ
สามารถเอาตัวรอดได้จากสภาวการณ์เช่นนี้คือ การมุ่งทำงานให้หนักตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่ใกล้ตัว
ประชาชน ปล่อยให้ผลงานสื่อสารกับสาธารณะชนมากกว่าใช้คำพูดของตนเอง และมีนโยบายและขับเคลื่อนกลไกต่างๆ ของรัฐ
ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดนใจประชาชนแบบจับต้องได้ ซึ่งหากทำได้ตามที่กล่าวมา ก็อาจส่งผลทำให้มีฐานสนับสนุนสูงขึ้นเทียบชั้น
กับความนิยมของอะไร จะทำอะไร มักประชาชนที่มีต่ออดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยได้รับเสียงสนับสนุน
จากประชาชนในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 ที่สูงถึงประมาณร้อยละ 80 เลยทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลานั้น
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ จะพูดจะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะชน