**กรรมของประเทศไทย (2550)**
บทความนี้ผมเขีบนขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2550 สำหรับตีพิมพ์ในหนังสือ "ยังไงก็ไม่ชิน" แต่หลังจากได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการแล้ว ผมกลับขอถอนเรื่องนี้ออกเนื่องจากมีบทความทางการเมืองของผมมากเกินไป และไม่ต้องการสร้างความสับสนให้กับคนอ่าน เพราะ..บทความนี้ ตีพุงกะทิของ คมช.และรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์เต็มๆ

ซึ่งชาวเสรีไทยบางคนซึ่งอาจยังไม่เข้าใจเจตนารมย์ของผมดีพอ จะตีความเอาผิดๆ ไปได้
วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีของบทความนี้ และผมเห็นว่า เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่กลับมีเนื้อหาเป็นประโยชน์สำหรับ
อนาคต และเป็นการวิเคราะห์ปัญหาบ้านเมืองได้ถูกจุดและเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเวลานั้นก็คงแลเห็นแล้วว่า บทความนี้กล่าวได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเพียงไร ซึ่งผมเองก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ตีพิมพ์ออกไปเพื่อกระตุกจิตสำนึกของผู้มีอำนาจในเวลานั้น
จึงขอนำเสนอเพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับการเมืองต่อไปในภายภาคหน้า....ดีกว่านอนก้นอยู่ในไฟล์เครื่องคอมพ์ของผม
จากใจผู้เขียน..*bonny
**************
ชื่อเรื่อง..กรรมของประเทศไทย7 เดือนผ่านไปแล้ว..
ผมประเมินผลงานของรัฐบาลสุรยุทธ์ว่า ทำได้ 3 เต็ม 10 นั่นคือ สอบตกเกือบทุกวิชา เพราะยังไม่เห็นท่านใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการมาแก้ปัญหาด้านใดๆ ในระบบ สังคม เศรษฐกิจและการเมือง ลุล่วงไปได้เลยสักเรื่องเดียว
เวลา 7 เดือน เพียงแค่ประเทศเราอยู่นิ่งๆ ประเทศอื่นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ข้างหน้าเราแล้วนะครับ และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 6 เดือน ประเทศก็จะเข้าสู่ภาวะวิกฤติทั้งทาง สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง นี่ผมยังไม่ได้คิดไปถึงว่า เราไม่ได้เพียงอยู่นิ่งๆ หรอก แต่เราเดินถอยหลังด้วยนะครับ
แล้วปัญหาที่ท่านนายกสุรยุทธ์ปล่อยเอาไว้เรี่ยๆ ราดๆ เหล่านี้ ถามว่าเป็นภาระของใครมาเก็บล้างให้ล่ะครับ เมื่อท่านพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว?
รัฐบาลชุดใหม่ใช่ไหม?แทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้ามาแล้วเดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศไปได้เลย กลับต้องมาตามล้างตามเช็ดปัญหาเดิมๆ ที่รัฐบาลเก่าแก้ไขไม่สำเร็จเลยสักเรื่อง.. คิดว่าถูกต้องและสมควรแล้วหรือครับ? ยุติธรรมต่อประเทศชาติไหม?
ผมถามตั้งหลายข้อแต่คำตอบจะมีอยู่ข้อเดียว คือ ถ้าจะโทษว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะใคร ผมคงต้องโทษว่า เป็น กรรมของประเทศไทยครับ เราไม่เคยดีพรวดๆ ๆ ๆ ติดต่อกันหลายๆ ๆ ปี และเราก็ยังไม่เคยแย่สุดๆ ติดต่อกันหลายๆ ๆ ปีเช่นกัน ดวงของประเทศไทยเหมือนน้ำขึ้น-น้ำลงตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเป็นเช่นนี้ทุกแวดวง ทั้ง กีฬา ภัยพิบัติ สังคม เศรษฐกิจและการเมือง เป็นมานานมากแล้วหากใครจะลองค้นประวัติศาสตร์ของชาติไทยมาสาธยาย คงไม่ต้องย้อนกลับไปสมัยกรุงศรีอยุธยาหรอกครับ เอาเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศเมื่อปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมาก็พอแล้ว
หากใครมีช่วงชีวิตที่ยาวนานพอที่จะเก็บบรรยากาศการเมืองการปกครองหลังช่วงปี 2475 เป็นต้นมาได้มากที่สุด จะพบว่า ช่วงเวลาที่ระบบสังคมและเศรษฐกิจของประเทศเดินไปได้ด้วยดี เป็นช่วงเวลาที่เป็นเผด็จการทหารครองอำนาจยาวนาน ทั้ง จอมพลแปลก, จอมพลสฤษดิ์, จอมพลถนอม และพลเอกเปรม ในขณะที่ปัญหาเดียวที่เผด็จการทหารเยียวยาไม่ได้คือ ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทหารคนไหนที่อยู่ในตำแหน่งนานๆ ก็จะมีการรัฐประหารรัฐบาลของตัวเอง หรือไม่ก็ยุบสภาเพื่อให้ตนเองกลับมาครองอำนาจใหม่อีกครั้ง
ส่วนรัฐบาลที่มาจากพลเรือน
แก้ปัญหาเรื่องการพัฒนาระบบการเมืองได้ก็จริง แต่ในเรื่องของระบบสังคม และเศรษฐกิจกลับทำได้ไม่น่าพอใจนัก จนทำให้เสถียรภาพของตัวเองสั่นคลอนและถูกทหารยึดอำนาจไปในที่สุดด้วยข้อหาเดิมๆ ที่คุ้นเคยกันมาตลอด คือ ไร้ประสิทธิภาพ มีการโกงกินกันอย่างมโหฬาร ซึ่งจะว่าไปแล้ว มิใช่ความผิดของระบบการเมืองแต่เป็นความผิดเฉพาะบุคคลที่เป็นนักการเมือง แต่ทหารเลือกที่จะล้มทั้งระบบมากกว่าที่จะใช้วิธีการแก้ไขตามกติกาในระบบ
การปฏิวัติ รัฐประหาร สมัยก่อนทำได้ไม่ยากนักเพราะการสื่อสารไม่ทันสมัยเหมือนเช่นทุกวันนี้ ใครยึดกรมประชาสัมพันธ์ได้ ยึดที่ทำการและสำนักงานของรัฐบาลได้ก็ถือว่า ปฏิวัติได้แล้ว การลุกฮือของประชาชนมาต่อต้านการยึดอำนาจในสมัยก่อนไม่มี เพราะการสื่อสารถูกตัดขาดจากกันอย่างที่กล่าวมาแล้ว บางทีกว่าที่จะรู้ว่า ที่กรุงเทพมีการยึดอำนาจรัฐบาล คนที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆ อาจต้องใช้เวลาถึงสองวัน เพราะทีวีและสถานีวิทยุแพร่สัญญาณภาพและเสียงไปไม่ถึง ดังนั้น..จะมีก็แต่การทรยศหักหลังกันเองของฝ่ายทหารที่ทำให้การปฏิวัติทำได้ไม่สำเร็จ
สมัยนี้ทำได้ยากขึ้นมาก เพราะการสื่อสารพัฒนาไปไกลมากแล้ว ทหารยึดกรมประชาสัมพันธ์ได้ก็จริง แต่ยึดคลื่นความถี่ของโทรศัพท์มือถือไม่ได้ ยึดสัญญาณดาวเทียมไม่ได้ หากจะทำก็ต้องเข้าไปล่วงละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของเอกชนและต้องใช้เวลาพอสมควร ผู้ที่คัดค้านจึงสามารถต่อสายถึงกันทั้งทางโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ท ภายในพริบตาเดียวอาจนัดหมายรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อมๆ ทั่วประเทศได้ทันที
กว่าที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลินและคณะจะปฏิวัติสำเร็จน่ะ ยากเย็นและเสี่ยงภัยขนาดไหนน่าจะจดจำกันไว้ให้ดี ประชาชนแทบทุกหมู่เหล่าแม้ในส่วนของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยยังยอมรับว่า นี่เป็นการปฏิวัติที่ ทุกคนรอคอย
แต่เมื่อทำสำเร็จแล้วกลับทำให้ประชาชนทั้งประเทศผิดหวังคณะที่ทำการปฏิวัติเสียนี่ ผมเชื่อว่า
ศรัทธาที่มีต่อพวกท่านคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะทั้ง คมช.และนายกสุรยุทธ์ได้ใช้ศรัทธาของประชาชนในครานั้นไปเกือบจะหมดสิ้นแล้วตอนที่เลือกนายกรัฐมนตรี มีตัวเลือกที่เก่งกล้าสามารถมากกว่าพลเอกสุรยุทธ์เยอะแยะ แต่คมช.เลือกพลเอกสุรยุทธ์ด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวเอามากๆ คือ คุยกับคนกันเองง่ายกว่าคนที่มาจากสายอื่น
ความเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนน้อมถ่อมตนของพลเอกสุรยุทธ์เอามาบริหารจัดการประเทศในยามที่เกิดวิกฤติคลื่นใต้น้ำ และโจรแบ่งแยกดินแดนไม่ได้หรอกครับ เพราะท่านไม่ใช่คนประเภทชนกับปัญหาแบบ..ถึงลูก ถึงคน แต่กำลังเป็นคนที่อดทนต่อทุกปัญหารุมเร้าได้แบบที่เรียกว่า..แรดเรียกพี่ (แอ้ด)

ในขณะที่คมช.และรัฐบาลพยายามรักษาภาพลักษณ์ของสังคมประชาธิปไตยให้ใกล้เคียงกับสมัยที่ยังไม่มีการปฏิวัติ เพื่อเรียกเสียงตอบรับจากประชาคมโลก ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนของตนเองไป เพราะฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มคมช.และรัฐบาลชุดนี้ เขาหยิบยกเรื่อง การลิดรอนเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยมาอ้างอยู่เนืองๆ ว่า สมัยทักษิณไม่เห็นจำกัดสิทธิเช่นนี้
คมช.และรัฐบาลต้องยอมรับความจริงข้อแรกก่อนว่า พวกตนไม่ใช่นักประชาธิปไตยและเป็นคราบไคลของเผด็จการทหาร ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างหัว(มัน) เพราะพวกนั้นไม่ได้มาเสี่ยงชีวิตกับพวกท่านตอนที่ทำรัฐประหารไม่สำเร็จนี่นา และข้อต่อมาที่ประชาชนทั้งประเทศต้องยอมรับความจริงบ้างก็คือ
เวลานี้ไม่ใช่บรรยากาศของประชาธิปไตย จะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพอะไรกันนักหนา ตราบข้างหน้าเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการเลือกตั้งแล้ว ค่อยแสดงออกก็ได้ แสดงพลังยิ่งใหญ่ปานใดก็หาทำให้คณะปฏิวัติหายไปจากประเทศไทย และมีการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ได้ไม่
(
คงมีคณะปฏิวัติคณะเดียวในโลกที่ปล่อยให้พวกเขาเปิดเวทีสาธารณะด่าฝ่ายเดียว 10 เดือนเต็ม ผ่านทีวี วิทยุ และนสพ. โดยฝ่ายเผด็จการได้นั่งมองตาปริบๆ 
สิ่งที่พวกเขาพูด..อภิปรายออกไป จริง หรือ เท็จ ไม่รู้ได้ แต่มันซึมซับไปสู่หัวสมองของประชาชนทุกระดับของประเทศทีละนิด ทีละน้อย จนฝังแน่นไปเสียแล้ว)
ปัญหาของบ้านเมืองบางเรื่อง เช่น..การส่งเงินต่อท่อน้ำเลี้ยงให้คนคณะหนึ่งเป็นโต้โผมาจัดตั้งกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลและคมช. รวมไปถึงการร่วมมือของผู้ชักใยกับโจรก่อการร้ายเพื่อใช้ความรุนแรงฆ่าคนไทยด้วยกันโดยหวังผลทางการเมือง
ต้องจัดการด้วยอำนาจที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญเท่านั้นจึงจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งในขณะที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจนี้นำมาใช้ไม่ได้เพราะไม่ได้รับการยอมรับ แต่ในเวลานี้ พวกท่านทำได้เพราะพวกท่านไม่ใช่นักประชาธิปไตยและผมสนับสนุนว่า หากพวกท่านต้องการแก้ปัญหาเหล่านั้น พวกท่านต้องทำและต้องทำอย่างเด็ดขาดด้วยไม่ใช่ทำแบบมือไม้อ่อน เพราะ
ปัญหาเหล่านั้นตัดสินชะตากรรมของพวกท่านด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่า พวกท่านเป็นทหาร เป็นคนที่ทำการปฏิวัติ ฉีกรัฐธรรมนูญเสียเอง ต่อให้
พวกท่านสร้างภาพนักประชาธิปไตย ผู้ดีมีเมตตาอย่างไร ท่านก็กำจัดข้อครหาว่า เป็นเผด็จการทหารออกไปจากหัวคิดของประชาชน ไม่ได้หรอกครับ มันจะต้อง ติดตัวพวกท่านไปจนวันตาย นั่นแหละ
ฉะนั้น..แนวความคิดสร้างความปรองดองขึ้นในชาติของรัฐบาลนี้ จะไม่มีวันทำได้สำเร็จ ตราบใดที่นายกสุรยุทธ์ยังใช้มาตรการจัดการปัญหาด้วยไม้นวมที่เรียกว่า สมานฉันท์
เพราะความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ ทั้งสองฝ่ายยอมลดราวาศอกให้แก่กันและกัน ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ความสมานฉันท์ก็เกิดขึ้นถ้าแม้นทั้งโจรก่อการร้ายที่ภาคใต้ที่คร่าชีวิตประชาชนคนบริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก และคุณทักษิณกับระบอบของเขา ยอมลดราวาศอกให้กับท่านนายกสุรยุทธ์ได้ แต่ คตส. ป.ป.ช. และศาลสถิตยุติธรรม ลดราวาศอกให้กับข้อหาฉกรรจ์ของโจรก่อการร้าย และคุณทักษิณกับคนในระบอบของเขาได้หรือครับ? รัฐบาลถึงมีอำนาจมากอย่างใดก็ไม่อาจสั่งการบังคับผู้ที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายได้
ลองไปคิดดูก็ได้นะครับ คำว่า มาสมานฉันท์กัน กับ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย มันขัดแย้งกันในวิถีทางของตัวเองและอะไรยิ่งใหญ่และมั่นคงกว่ากัน
ถ้าผมจะให้คะแนนย้อนหลังกลับไป สมัยคุณทักษิณเป็นนายก ผมให้คะแนนเขา 5 เต็ม 10 ซึ่งเป็นคะแนนที่คาบเส้นแต่ยังมากกว่าของรัฐบาลสุรยุทธ์ และหลายๆ คนในประเทศนี้ก็คงคิดเหมือนกันกับผมว่า คุณทักษิณบริหารจัดการได้ดีกว่า เก่งกว่า รวดเร็วกว่าพลเอกสุรยุทธ์แน่นอน เพราะทหารไม่ใช่เก่งทุกเรื่องเป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัยในประวัติศาสตร์ที่ทหารขึ้นมาปกครองประเทศแล้ว
แต่เหตุที่คนไม่เอาคุณทักษิณจนต้องออกมาเดินขบวนขับไล่ เป็นเพราะคุณทักษิณมีข้อถูกกล่าวหาที่แก้ไม่ตกอยู่ข้อเดียว คือ โกงอย่างไร้จริยธรรม
ประชาชนก็เลือกกันเอาเองนะครับ จะเอา..
ฤาษีเลี้ยงเต่า หรือจะเอา
วานรเลี้ยงปลวก...............................จบแล้วครับ ^^....................................