ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
31-01-2025, 12:54
378,182
กระทู้ ใน
21,926
หัวข้อ โดย
9,412
สมาชิก
สมาชิกล่าสุด:
MAN4U
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ปฏิทิน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)
|
ทั่วไป
|
สภากาแฟ
|
กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ (อ่าน 1447 ครั้ง)
narong
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 654
กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
«
เมื่อ:
13-05-2006, 12:16 »
*
กองทัพไทย
เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นหนึ่งในย่านนี้ เป็นที่ครั่นคร้ามแก่อริราชศัตรูทั้งภายในและภายนอก
เป็นแบบแผน เป็นตัวอย่างให้หลายๆชาติในภูมิภาคนี้จดจำเป็นเยี่ยงอย่าง ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย พม่า สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย
ต่างมองเราด้วยความชื่นชมและอิจฉา และพากันจดจำไว้สอนลูกสอนหลานของพวกเขาว่า วันหนึ่งชาติเรา ประเทศของเราจะมีอย่างนี้
จะเป็นแบบนี้บ้าง สถาบันทางการศึกษาทางทหารเกือบทุกประเทศที่กล่าวมา ต่างใช้กองทัพเราเป็นตัวอย่างเกือบจะทั้งนั้น
เพราะทุกชาติก็เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า การที่ประเทศมีกองทัพที่กล้าแข็ง มีพลังอำนาจสูง เสียงของประเทศก็จะดัง
ต่อรองอะไรกับใครก็สำเร็จ ตวาดหรือโวยใคร ใครก็ต้องหยุดฟัง
หรือแม้กระทั่งจะยกพลหมื่นศึกโยธาหาญไปอัดใคร ใครก็กลัว ลองนึกย้อนหลังไปดูเอาเถิด ตั้งแต่ยุค จอมพล ป.
เป็นผู้นำทั้งการเมืองและกองทัพ ชาติทั้งหลายแถวนี้มีใครกล้าหือ กล้าล่วงเกินเราบ้าง เพราะเขากลัว เขาเกรงเราทั้งนั้น
ผู้อพยพจากหลายชนชาติ หากมีภัยในบ้านของเขา เขาต่างนึกถึงประเทศไทยเป็นที่ปลอดภัยกันทั้งนั้น แม้แต่ฝรั่งเศส xxxอำนาจ
ผมเขียนไม่ผิดหรอก เรายังรบกับเขามาแล้ว ญี่ปุ่นบุก เราก็สู้ถวายหัว เราไม่เคยกลัวใครเพราะกองทัพเราเข้มแข็ง
ประชาชนพลเมืองต่างอยู่กันด้วยความอบอุ่นเพราะเขารู้ว่าทหารของชาติให้ความปลอด ภัยและคุ้มครองแผ่นดินของเขาได้
ทหาร กองทัพไทยในยุคนั้น ปลอดจากอำนาจแทรกแซงในทุกรูปแบบ การเมือง อำนาจรัฐ ต่างไม่กล้ายุ่งเกี่ยวและละลาบละล้วงกองทัพ
แถมยังสนับสนุนในพลังอำนาจของกองทัพด้วยซ้ำ กองทัพเราจึงเติบโตและเป็นที่พิ่งพิงของบรรดาประชาราษฎ์ทั้งมวลได้อย่างดียิ่ง *
**
การเมือง
ในยุคสมัยนั้น ต่างก็ดำเนินไปในวิถีทางแบบไทยๆ ทุกก้าวย่างเป็นไปแบบไทยแท้
ถึงแม้จะลุ่มๆดอนๆติดๆขัดๆ เกิดๆดับๆไปบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่เป็นกลไกตัวหนึ่งของบ้านเมืองมาด้วยดีตลอด บางยุคก็มืด บางยุคก็สว่าง
แต่นั่นก็นังคงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไทย กัดกัน ตีกัน แย่งชิงอำนาจกัน โกงกัน
แต่เมื่อยามใดที่ชาติมีภัย การเมืองก็จะนิ่ง หยุดกัดกัน หยุดตีกัน หยุดแย่งอำนาจกัน
แล้วหันหน้ามาช่วยชาติกันตามกำลังความสามารถที่มี เราจึงยังคงเป็นชาติอยู่ได้มาจนทุกวันนี้ เพราะคนรุ่นก่อนเขาเอาชาติเป็นหลัก
เขารู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่เราจักต้องรักษาไว้เหนือสิ่งอื่นใด เหนือผลประโยชน์ใดๆก็คือชาติ แต่พอมายุคเรา สมัยเรา การณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าโดยสิ้นเชิง ความหลากหลายทางการเมืองกำลังกัดกินชาติของเราให้ผุกร่อนอย่างน่ากลัว
เพราะคนรุ่นเรานี้ที่เป็นนักการเมืองไม่คิดเหมือนคนรุ่นก่อน อำนาจแลผลประโยชน์ อยู่เหนือความเป็นชาติ อยู่เหนือความถูกต้อง
อยู่เหนือความเป็นคนไทย การเมืองในยุคนี้เปรียบเหมือนอริราชศัตรูที่ทำลายกองทัพและประเทศอย่างรุนแรง
บ้านเมืองเรากำลังอยู่ในภาวะอันตราย หมิ่นเหม่ต่อสงครามกลางเมือง
เพราะคนรุ่นนี้เอาความเห็นแก่ตัวมาเล่นการเมือง
ไม่เอาเกียรติแลศักดิ์ศรีมาเล่นการเมืองแบบคนรุ่นก่อน
**
***
อำนาจรัฐ
เป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศเอกราชจะใช้อำนาจนี้ในการบังคับบัญชากลไกของประเทศ การเมืองกับอำนาจรัฐเป็นของคู่กัน
อำนาจรัฐที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักทศพิศราชธรรม รัฐธรรม นิติธรรม
การเมืองที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์
หากประเทศของเรามีนักการเมืองที่อยู่บนพื้นฐานเหล่านี้
และใช้อำนาจรัฐอยู่ในกรอบของสิ่งเหล่านี้ การณ์ดั่งปัจจุบันนี้ย่อมไม่บังเกิด แผ่นดินจะไม่วุ่นวาย ผู้คนจะไม่แตกแยก
เหล่าขุนทหารจะไม่ละเลยหน้าที่ บ้านเมืองจะไม่อ่อนแอ แต่ทุกอย่างที่กล่าวมานั้น
วันนี้มันตรงกันข้ามไปทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งการเมืองทั้งอำนาจรัฐ กำลังกัดกินประเทศให้ล่มจมลงไปทีละน้อย
และยังลามปามไปยุ่งเกี่ยวกับราชบัลลังก์ให้ต้องระคายเคืองเบี้องพระยุคลบาทอีก คนไทยเรากำลังกลายพันธุ์ทางความคิด
เรากำลังสูญเสียการควบคุมพรสวรรค์ในความเป็นคนไทยที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
เรากำลังละเลยความยากลำบากในการสร้างชาติในหนหลัง เรากำลังลุ่มหลงมัวเมาในกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
เราอยากเป็นทุกสิ่งที่คนในโลกอยากเป็น แต่เรากลับไม่อยากเป็นตัวเราเองในความเป็นจริง
วันนี้นั้นอำนาจรัฐและการเมืองกำลังผิดทิศผิดทาง กำลังทำร้ายคนในชาติอย่างจงใจ
สิ่งเดียวที่จะแก้ไขแลต่อสู้กับความไม่ถูกทำนองคลองธรรมเหล่านี้นั้น คือพลังของประชาชนและกองทัพเท่านั้น***
**** พูดก็พูดเถอะนะว่า สิ่งเดียวที่จะเอาชนะอำนาจรัฐและการเมืองได้นั้น คือพลังประชาชนบริสุทธิ์
แต่ที่จะสามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาดและและชนะแบบขุดรากถอนโคนได้นั้นต้อง *
พลังของกองทัพ
* เท่านั้น
เรื่องนี้ผู้นำในระบอบเขาก็รู้ดี และนี่จึงเป็นที่มาแห่งสิ่งที่เขาทำมาจนทุกวันนี้
นั่นคือการทำทุกวิถีทางที่จะโดดเดี่ยวกองทัพออกจากประชาชน เนิ่นนานตั้งแต่โบราณมา เมื่อใดที่ชาติวิกฤตชนิดหลังพิงฝา
ประชาชนจะถอยร่นมารวมกับทหารเสมอ และเมื่อเป็นอย่างนั้น ชาติเราจึงยังคงอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้
เพราะเราได้ชัยชนะต่อทุกอำนาจที่มุ่งเข้ามาทำลายประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยพลังของประชาชนและกองทัพ
การทำให้ประชาชนหมดความหวังที่จะพึ่งพิงกองทัพ หมดความเชื่อถือในการเป็นรั้วหลักสำหรับไว้พึ่งพิงยามยาก
การริดรอนลดทอนในแสนยานุภาพของกองทัพด้วยวิธีและนโยบายต่างๆ ล้วนแล้วแต่ทำให้กองทัพอ่อนแอในสายตาประชาชน
การดึงกึ่งลากกองทัพออกมาคลุกการเมืองล้วนแต่ทำให้ประชาชนหมดความเชื่อถือกองทั พไปทีละน้อย
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกองทัพแบบไม่มีมาตรฐานหรือไม่คงเส้นคงวา
มีแต่จะสร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่คนในกองทัพซึ่งรอยร้าวนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น
จน
ทหารไม่สนใจที่จะเข้มแข็งตามรอยบรรพชน แต่สนใจที่จะมั่นคงตามยุคที่ทุนทางสังคมเป็นใหญ่มากกว่าเกียรติยศ
และความกล้าหาญในเครื่องแบบและหน้าที่ที่เคยผ่านสมรภูมิมา
เมื่อกองทัพ สถาบันหลักที่ทุกอาชีพทุกองค์กรต่างเกรงใจและครั่นคร้ามในพลังอำนาจ
และเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่คนในชาติต่างฝากความหวังในการรักษาชาติแลราชบัลลังก์ไว้นั้น
ถูกเปลี่ยนสภาพและเปลี่ยนแนวคิดทางชาตินิยมให้กลายเป็นทุนนิยม+อำนาจนิยม
เมื่อนั้นประชาชนจะถูกแบ่งแยกและคัดเลือกไปตามวิถีทางแห่งอำนาจรัฐ เพื่อผลทางการปกครองและฐานอำนาจในทางการเมือง
กองทัพจะถูกลดบทบาทลงไปทีละน้อยจากทุกมาตรการ จนสุดท้ายจะเหลือเพียงแค่หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในทางความเป็นจริงเท่านั้น
การดึงเอาอำนาจทางทหารหรือนำพาชาติไปผูกพันธ์กับแสนยานุภาพของชาติพันธมิตรนั้น
คนในกองทัพกี่คนจะรู้ว่านี่เป็นการหวังยืมจมูกคนอื่นหายใจ การรักษาชาติและการประกันความมั่นคงของชาติเป็นสิ่งที่สำคัญ
เมื่อกองทัพอ่อนแอ ความมั่นคงก็สั่นคลอน
การดึงอำนาจจากภายนอกมาประคองหรือค้ำประกันเสถียรภาพทางความมั่นคงของชาตินั้นเป็นแผนการณ์ที่ลึกล้ำ
และต่อเนื่องจนคนในชาติมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว มีผู้ใหญ่ในกองทัพไม่น้อยที่มองเห็นและรู้ทันเรื่องอย่างนี้
พยายามแข็งขืนและต่อสู้ด้วยปัญญาเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ถูกสกัดจากปัจจัยหลักคือเรื่องงบประมาณและแผนปรับปรุงพัฒนากองทัพ
ติดขัดไปทุกอย่าง การปรับปรุงแผนการผลิตกำลังพล การปรับปรุงระบบการศึกษาของกองทัพ การโยกย้าย การยุบเลิกบางหน่วย
สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานล่างๆที่สำคัญของกองทัพทั้งนั้น วันนี้ถูกริดรอนและสั่นคลอนอย่างหนัก
แบบธรรมเนียมประเพณีนิยมของทหารถูกละเลยและมองข้าม ทำได้ครั้งหนึ่ง ครั้งสองก็ตามมา
สามสี่ห้าหกก็เรียงคิวกันมาจนคนในกองทัพต่างเฉยชินเพราะกลายเป็นเรื่องใหม่ๆแบบ ปฎิบัติใหม่ๆไปแล้ว
*****
******ปัจจุบันนี้ เราจะหวังอะไรได้จากกองทัพอีก หากการเมืองยังคงมีอำนาจก้าวล่วงในกองทัพ
และหากคนในกองทัพยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดและแนวทางปฎิบัติ ยังคงยึดติดกับการแสวงหาทุนทางสังคมและอำนาจทางสังคม
กองทัพจะต้องเป็นเหยื่อรายต่อไปต่อจากประชาชน แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรกับความอยู่รอดของชาติ
ในเมื่อกองทัพเองก็ยังเอาตัวไม่รอดจากอำนาจรัฐระบบใหม่ที่กลืนกินทุกอย่างที่ขว างหน้าอย่างต่อเนื่องและแยบยล
ตราบใดที่คนในกองทัพยังคงห่วงว่า เราจะได้เป็นนายพลไหม เราจะได้คุมกำลังไหม รุ่นเราจะได้ไหม เราจะถูกย้ายไหม
เมื่อนั้นกองทัพจะเหลืออะไร*****
**
สักวันหนึ่งเถิด หากการณ์ยังคงเป็นเยี่ยงนี้ต่อไป กองทัพแลขุนทหารทั้งหลาย คงไม่มีเหลือแม้แต่เกียรติที่จะให้หลู่
**
บันทึกการเข้า
ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
narong
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 654
พยากรณ์เรื่องป่า ในสามเดือนถึงหกเดือนข้างหน้า
«
ตอบ #1 เมื่อ:
13-05-2006, 13:22 »
-บีบคั้น เพื่อทำลายเกียรติภูมิของเสือทางอ้อม ทำลายกำลังกาย กำลังใจ
และทำลายแบบธรรมเนียมตั้งแต่ครั้งโบราณของเสือ
สร้างความขุ่นเคืองและดุร้ายและความโง่เขลาให้กับเหล่าเสือ
-ใช้เพื่อนเสือเป็นสะพาน เป็นเครื่องมือ เป็นไม้กันหมู
เพื่อก้าวเข้าสู่ความชอบธรรมและศูนย์กลางบนภูหลังอำนาจป่า
-ลดทอน ริดรอน แบ่งแยก ก่อเชื้อสุมไฟ ตีให้เจ็บ ไม่ตีให้ตาย เพื่อไม่ให้เสือเป็นหนึ่งเดียว
คัดเสือโง่ออกจากเสือฉลาด แล้วเอาเสือโง่มาเป็นแบ่คอัพ เอาเสือฉลาดไปตอนพันธุ์
- หลบอยู่บนภู เอาไม้แหย่รู ดูหมูกัดกัน แล้วก็แกล้งปล่อยเสือโมโห ลงไปกินเพื่อนตัวแทน
เมื่อเสือโง่ล้างป่า กินเสร็จก็ไล่กัดหมูไม่เลือกไม่ว่าหมูเมืองหรือหมูป่า
- ผูกเสือโง่จูงเข้ากรง แล้วลงจากภู เรียกเพื่อนสิงห์กระทิงแรด คัมแบ่คกลับเข้าเมือง
หวนคืนสู่ศูนย์กลางป่าอย่างชอบธรรม
- หมูป่าหมูบ้าน รวมกำลังกลับมาก่อหวอด เรียกร้องแบบหมูๆตามแบบของหมู
- ปลดเชือกผูกคอเสือ เปิดกรงให้เสือและหมาออกมาไล่กัดหมูตามความชอบธรรมของกฎป่า
- หมูตาย หมูเจ็บ หมูหนีไปอยู่ป่าอื่น ป่าสงบเงียบ มีนกอินทรีบินร่อนอยู่เหนือฟ้าป่า
เริ่มเข้าสู่ระบบ บริษัทไพรจำกัด(มหาชนชาวป่า)ทีมี สิงห์ กระทิง แรด และ *** เป็นกรรมการป่า
ส่วนเสือนั้นถูกผสมพันธุใหม่ กลายเป็นแมวป่า มีหน้าที่แค่เดินดุ่มๆตามชายป่า
บันทึกการเข้า
ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
narong
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 654
Re: กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
«
ตอบ #2 เมื่อ:
13-05-2006, 14:22 »
*กองทัพกำลังอ่อนแอ ถอยหลังลงคลอง*
*ตราบใดที่กองทัพยังคงยึดหลักการโยกย้ายนายทหารแบบรุ่นเป็นหลัก ตราบนั้นกองทัพจะยังคงอ่อนแอและไร้จุดยืนที่มั่นคง*
**บ้านเมืองเราว่างเว้นศึกมานาน เมื่อข้าศึกประชิดติดประเทศ กองทัพเราบังคับบัญชาการรบแบบมือใหม่
ขาดการผสมผสานในการบังคับบัญชา ส่งผลให้เกิดการสูญเสียจนถึงพ่ายแพ้ การรบที่ บ.ร่มเกล้า
เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ากองทัพอ่อนซ้อมเพียงใด**
***เมื่อเกิดศึก ผู้บังคับบัญชานับเป็นหัวใจสำคัญของการยุทธ การโยกย้ายนายทหารที่ไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถเป็นหลัก
เป็นสิ่งที่บั่นทอนประสิทธิภาพของกองทัพอย่างมาก ในรุ่นหนึ่งๆของ ตท.หรือ รร.นายร้อยเหล่าทัพ
มีนายทหารที่เป็นนักรบแท้รบเป็นอยู่ไม่กี่คน คนเก่งกับคนกล้ามันคนละเรื่องกันหากจะใช้ในสนามรบ
การโยกย้ายเป็นแผง เป็นรุ่น มันเป็นได้แค่การคำนึงถึงแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับกองทัพ
รังแต่จะทำให้กองทัพอ่อนแอไร้เสถียรภาพถอยหลังลงคลองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้***
****ระบบ พี่-น้อง ในกองทัพเป็นสิ่งที่ดีเป็นประเพณีทหารที่ยอมรับกันมานาน แต่บ้านเมืองและกองทัพต้องมาก่อน
ทุกวันนี้ประเพณีแบบธรรมเนียมของกองทัพกำลังถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยคนนอกกองทัพ
ยุทธวิธียุทธศาสตร์ของกองทัพและการป้องกันประเทศถูกพิจารณาเป็นเรื่องรอง และกำลังจะถูกมองข้าม
กองทัพไทยกำลังเป็นเหมือนเมื่อครั้ง พ.ศ.๒๓๐๘-๒๓๑๐ ก่อนเราเสียกรุงฯไม่นานกองทัพเราเป็นอย่างนี้****
*****ทุกวันนี้ผู้มีอำนาจและกองทัพมองเพียงแค่ว่าเพื่อนบ้านรอบๆเรามีการฑูตที่ดีต่อกัน สถาณการณ์ปรกติเรียบร้อยดี
มีอะไรพูดคุยกันได้ การทำนุบำรุงกองทัพต้องมุ่งเน้นไปที่เชิงรับเพราะเรามีกฎหมายระหว่างประเทศ มีสนธิสัญญาป้องกันร่วม
คิดอย่างนี้เหมือนกับการหวังน้ำบ่อหน้ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครจะมาช่วยเราหากเราไม่ช่วยตัวเองก่อน กว่าอเมริกันจะมาช่วย
พม่าถึงนครปฐมแล้ว มาเลย์ถึงประจวบ ลาว-เขมรถึงโคราชแล้ว เพื่อนบ้านเราเวลานี้มีใครเกรงใจไทยแลนด์ของเราบ้าง
คนไทยคิดว่าเขมรกลัวกองทัพเรา ลาวก็ไม่เท่าไร มาเลย์ก็เล็กน้อย พม่าก็ล้าหลัง แล้วดู เขมรเผาสถานฑูตเรา
พม่าก็ย้ายเมืองเตรียมพร้อมเพราะเห็นเราซ้อมรบกับไอ้กัน ลาวก็อัดเราที่ร่มเกล้า มาเลย์วันดีคืนดีก็มีทหารรบพิเศษมาโผล่ในแดนไทย
เพราะอะไร เพราะเขารู้ว่ากองทัพเราอ่อนแอ แสนยานุภาพเราไม่อยู่ในสายตาเพื่อนบ้าน เหมือนคนที่อ่อนแอก๊องแก๊ง
นักเลงที่ไหนมันจะมาเกรง แต่เราลองย้อนดูครั้งอดีตสมัยปู่ กองทัพไทยทั้ง3เหล่าทัพเกรียงไกรทรงแสนยานุภาพเป็นอันดับสองในอเซีย
เป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้น แม้แต่ญี่ปุ่นก่อนบุกเราเขายังต้องศึกษาก่อนเป็นแรมปี
และก็ไม่คิดจะรบกับเราเพราะถึงจะชนะแน่ๆแต่ก็จะสูญเสียมาก
ส่วนเพื่อนบ้านรอบๆเรานั้น ไม่มีใครกล้าหือ ไทยว่าอย่างไรมันก็ว่าอย่างนั้น พม่าเขมรลาวมาเลย์ ยังไม่มีเครื่องบินรบสักลำ
แต่ไทยแลนด์ของเรา มีเป็นฝูงๆ ทัพเรือของเพื่อนบ้าน มีแต่เรือโบราณ แต่ ทร.ของเรา มีเรือแบบญี่ปุ่นหลายสิบลำ
ทัพบกของเพื่อนบ้านเหมือนกองโจรล้าหลัง แต่ ทบ.ไทยแลนด์นั้น
มีเป็นสิบกองพล ทั้งราบ ม้า ยานเกราะ ปืนกล ปืนใหญ่มีเป็นกองพล *****
******วันนี้แสนยานุภาพกองทัพเราอยู่อันดับ6ในเอเซียและกำลังจะรูดไปอยู่อันดับ7ในปีหน้า 10 ชาติหลักๆในอาเซียน
เรากำลังจะอยู่ที่ 7อันดับ10 คือ ติมอร์ อันดับ9คือเขมร อันดับ8คือลาว คิดเอาเองก็แล้วกันนะว่า ประโยคที่ว่า
กองทัพไทยกำลังอ่อนแอ กองทัพไทยกำลังถอยหลังลงคลอง ถูกต้องมั้ย
และเรากำลังเหมือนกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พศ.๒๓๐๘-๒๓๑๐ มั้ย******
กรุงศรีอยุธยา พุทธศักราช ๒๓๐๘-๒๓๑๐
-ผู้มีอำนาจทุศีล ไร้จริยธรรม หลงเหลิงมัวเมาในอำนาจ
-ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง แตกแยกเป็นก๊กเป็นวัง
-บ้านเมืองท้องพระคลังร่ำรวย ไพร่ฟ้ายากจน
-พระเณรเถรชีประพฤติตนเป็นอาบัติ พระศาสนามัวหมอง
-ละเลยข่าวศึก ละเลยประเพณีปกครองทหาร
-ขุนทหารอ่อนแอ แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า
-ทอดทิ้งละเลยหัวเมืองใหญ่น้อย
-กระบวนการยุติธรรมสั่นคลอน ตราชั่งโอนเอียง
-ยกยอคนชั่ว ทอดทิ้งคนดี
-คนในเมืองหลวงในกำแพงเมือง หลงไหลอบายภูมิ ยึดติดวัตถุ
-ขุนนางประจบสอพลอ เบียดบังบ้านเมืองเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
-ศึกนอกศึกในไส้ศึกบ่อนทำลายบ้านเมือง
**มีข้อไหนที่ไม่เหมือน กรุงเทพ พุทธศักราช ๒๕๔๙**
บันทึกการเข้า
ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
narong
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 654
Re: กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
«
ตอบ #3 เมื่อ:
13-05-2006, 15:05 »
*กรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๐๙ - กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๕๔๙*
*สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์นักรบอีกพระองค์หนึ่งของชาติไทย
ที่มีอัจฉริยะภาพทางการทหารอย่างหาผู้ใดเทียมมิได้ สิบห้าปีตลอดรัชกาลทรงตรากตรำทำศึกไม่เว้นแต่ละปี
หัวเมืองใหญ่น้อยและอาณาจักรใกล้เคียงต่างครั่นคร้ามในพระบรมเดชานุภาพ
กองทหารม้าอันเกรียงไกรของพระองค์นั้น เป็นต้นแบบในการรุกรบยุคต่อมา
เป็นตัวอย่างอันดีของทหารในยุคปัจจุบันคือ ทหารต้องรู้จักคิด รู้จักพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพด้วยตนเอง
ต้องเอาบ้านเมืองเป็นหลักเป็นที่ตั้ง ต่อให้มียศเป็นพระยานาหมื่นหากไม่มีบ้านเมืองเป็นหลักชัยแล้ว
ยศศักดิ์นั้นไหนเลยจะมีค่า การศึกในหลายๆครั้งกับพม่านั้น พระองค์ก็อยู่ในสภาวะที่มิต่างอะไรจากสมเด็จพระนเรศวรฯ
คือมีกำลังน้อยกว่าแทบจะทุกครั้ง แต่พระองค์ก็สามารถเอาชัยได้จากพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาสามารถทางการทหาร
ทรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ล้าหลัง ที่ศัตรูรู้ ที่ใครๆก็รู้ ทรงกล้าที่จะปฎิวัติความเชื่อใหม่ๆที่ทหารควรจะใช้
เพื่อให้เหมาะกับสถานณการณ์ที่คับขัน การคุมพลยกแหกวงล้อมพม่าจากค่ายวัดพิชัยนั้น
ถือได้ว่าเป็นทหารหนีทัพที่คิดกบฎเป็นทุรยศต่อแผ่นดิน แต่พระองค์ก็มิได้ลังเลที่จะทรงกระทำเพื่อบ้านเมืองในวันข้างหน้า
หากพระองค์ไม่คิดเอาบ้านเมืองเป็นหลักชัยแล้ว ไหนเลยจะย้อนกลับมาเพื่อกู้กรุงในอีกแปดเดือนถัดมา
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ยศศักดิ์ต่างๆที่พระองค์มีในตำแหน่งพระยาวชิรปราการ ผู้รั้งเมืองกำแพงเพชรนั้น
หาได้มีความสำคัญต่อพระองค์ไม่แม้แต่น้อย ทรงรู้ดีว่า เมื่อสิ้นชาติ ยศศักดิ์ใดๆก็ไม่มีความหมาย
และในพระนครนั้นก็ไม่มีขุนทหารผู้ใหญ่คนใดที่จะมีน้ำใจและกล้าหาญที่พอจะรักษาชาติไว้ได้
พระองค์จึงกระทำการอันที่ยากที่ทหารคนใดผู้ใดจะกล้าทำ*
**ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกนั้น หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายที่อยู่ในอำนาจของอยุธยานั้น
ต่างมิได้ทำการช่วยอยุธยารบพม่าแต่อย่างใด ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นอิสระ
นิ่งเฉยดูดายต่อชะตากรรมของพระนคร มีเพียงชาวบ้านบางระจันเท่านั้น
ที่ช่วยอยุธยาต่อสู้กับพม่าในเส้นทางเดินทัพของเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่าทัพที่สอง
ทัพที่หนึ่งของพม่านั้นมีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ทำหน้าทียกไปล้อมอยุธยาทางทิศใต้ของพระนคร
ตลอดหัวเมืองรายทางของทั้งสองทัพของพม่านั้น ต่างอ่อนน้อมต่อพม่าไม่ทำการต่อสู้ ขณะนั้นกษัตริย์พม่าคือ
พระเจ้ามังระ ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เห็นอยุธยาอ่อนแอและมั่งคั่งยิ่งนัก
จึงคิดจะปราบอยุธยาเพื่อให้อาณาจักรอื่นกลัวเกรงในอำนาจ จึงให้สองแม่ทัพยกพลไปตีอยุธยา
เหตุที่พระเจ้ามังระทรงไม่คุมทัพมาเองเพราะรู้ดีว่าอยุธยาอ่อนแอและแตกแยก
ทรงรู้ได้จากข่าวสารของไส้ศึกที่ส่งเข้าไปบ่อนทำลายและแทรกซึมในทุกวงการทุกชนชั้นของอยุธยา
จึงให้เพียงแม่ทัพผู้ใหญ่ทั้งสองยกไปเองเท่านั้น ดูเอาเถิดเหตุการณ์เหมือนกรุงเทพ พ.ศ.๒๕๔๙มั้ย**
***พระเจ้าตากสินฯทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่เริ่มทุกอย่างจากศูนย์ จากที่มีทหารเพียงแค่ห้าร้อยคน
ทรงกระทำการจากเล็กๆเรื่อยไปจนถึงการใหญ่ซึ่งนั่นคือการ สถาปนากรุงธนบุรี ราชธานีใหม่ที่มีกองทัพกว่าสองแสนคน
ไว้เป็นที่สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับคนไทย การเมืองการปกครองในกรุงธนบุรีในยุคเริ่มแรกนั้นร่มเย็นเป็นสุข
เพราะกรุงธนบุรีมักจะเป็นฝ่ายรุกในเรื่องของการทหาร ไพร่ฟ้าประชาชนในเมืองจะปลอดภัยจากข้าศึก
เพราะกองทัพของพระเจ้าตากสินฯจะยกพลไปรบในดินแดนข้าศึกเป็นส่วนใหญ่
พระเจ้าตากสินฯทรงมีนโยบายทางการทหารเป็นแนวเชิงรุก อาณาจักรใกล้เคียงต่างยอมอยู่ใต้เศวตฉัตร
เพราะกรุงธนบุรีมีกองทัพที่เข้มแข็งและยุทธวิธีในการรบก็ไม่เหมือนใครเป็นแบบใหม่ที่ไม่อาจมีใครแก้ทางศึกได้
พระราชอาณาจักรจึงกว้างขวางยิ่งกว่าในสมัยราชธานีเดิม แม้แต่กษัตริย์มังระของพม่าก็ยังครั่นคร้ามในพระบรมเดชานุภาพ
ถึงกับย้ายที่ตั้งมั่นจากเมืองตองอูสลับกลับเมืองแปร เมื่อใดที่ได้ข่าวกองทัพกรุงธนบุรียกมาใกล้ ก็จะย้ายไปอยู่เมืองแปร
ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกในดินแดนพม่า หากเหตุการณ์ปกติก็จะประทับอยู่ที่เมืองตองอู เพราะกษัตริย์มังระของพม่าพระองค์นี้
เป็นเชื้อสายราชวงศ์ตองอู จาการที่พระเจ้ามังระของพม่านั้นเป็นนักการทหารที่มีฝีมือองค์หนึ่งของพม่ามาก่อนนั้น
พระองค์ทรงรู้ดีถึงแสนยานุภาพในทางการทหารของกรุงธนบุรีว่ากองทัพพม่าของพระองค์นั้นไม่สามารถรับมือได้
เพราะกองทัพพม่าใช้ช้างเป็นหลัก การวางกำลังตามแบบเบญจเสนา5ทัพของพระนเรศวรนั้นยิ่งทวีประสิทธิภาพมากเป็นทวีคูณ
เมื่อพระเจ้าตากสินฯทรงใช้กองทัพทหารม้าเป็นหลัก สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ และกองทหารปืนนกสับ การเคลื่อนกำลังพล
การบำรุงรี้พลการใช้กองหนุนและหน่วยรบพิเศษบนหลังม้า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นศาสตร์ทางทหารแบบใหม่
ที่พระเจ้าตากสินฯทรงต่อยอดความรู้มาจากตำราพิชัยสงครามเบญจเสนาห้าทัพของพระนเรศวรฯทั้งสิ้น
แม้แต่เวียดนาม อาณาจักรที่อยู่ห่างไกลกรุงธนบุรียิ่งนัก พระองค์ก็เสด็จยกทัพบกทัพเรือไปตีมาแล้ว
แคว้นมลายู ปัตตานี ลานช้าง ลานนา เชียงตุง เชียงรุ้ง กองทัพกรุงธนบุรียาตราไปตีไปยึดมาแล้วทั้งสิ้น
นี่คือตัวอย่างของอาณาจักรที่มีกองทัพเข้มแข็งเกรียงไกร ยาตราทัพไปทิศใดไพรีก็พินาศ***
****กรุงธนบุรีและพระเจ้าตากสินฯ เริ่มมีปัญหาในทางการปกครองจากการที่รับเอาขุนนางเก่าของอยุธยามารับราชการ
ขุนนางพวกนี้รังเกียจพระองค์เรื่องสายเลือดและเชื้อชาติอยู่แล้วในใจ นานวันไปขุนนางพวกนี้มาเติบใหญ่ในทุกวงราชการ
ทั้งทหารและพลเรือน เมื่อเริ่มมีอำนาจก็เข้าอีหรอบเดิมเหมือนเมื่อครั้งอยู่กรุงเก่า เริ่มแบ่งพรรคแย่งพวก
เริ่มตั้งข้อเปิดประเด็นเรื่องคนจีนและขุนนางที่มีเชื้อสายจีน ทั้งๆที่คนเชื้อสายจีนอย่างพระองค์นี่แหล่ะที่ปลดแอกพม่าให้คนไทย
ระบบศักดินาเก่าแบบอยุธยาเริ่มกลับมามีบทบาทแทนพ่อปกครองลูกแบบสุโขทัยที่พระเจ้าตากสินฯทรงนำมาใช้
ไม่นานความแตกแยกทางความคิดเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และเริ่มลามเข้าสู่ในกองทัพ ทหารเชื้อสายจีนในกองทัพเริ่มไม่พอใจ
ขุนนางทหารเริ่มแตกแยกกันเอง เริ่มหาผู้นำที่มีบารมีและยกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ลางร้ายเริ่มปรากฎ
กองทัพกรุงธนบุรีปราชัยเป็นครั้งแรกที่เมืองเขมร เพราะทหารแต่ละทัพระแวงกันเอง
ไม่เร่งเดินทัพเพื่อสมทบทัพหลวงที่พระเจ้าตากสินฯทรงให้พระราชโอรสเป็นจอมทัพ ทัพต่างๆไม่บรรจบกันตามพิชัยสงคราม
ดังที่เคยปฎิบัติ สุดท้ายเกิดกบฎที่เมืองหลวง นำโดยพระยาสรรค์
ขุนนางอยุธยาเก่าเชื้อสายไทยแท้ๆที่พระเจ้าตากสินทรงนำมาชุบเลี้ยง
จนเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องยกทัพกลับจากเขมรมาปราบปราม และปราบดาภิเศกเป็นปฐมราชวงศ์จักรี
หมดสิ้นยุคกรุงธนบุรี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา****
*****เห็นความสำคัญของกองทัพหรือยังท่านผู้อ่าน เห็นความสำคัญของความสามัคคีหรือยัง
เห็นโทษของการแตกแยกแล้วหรือยัง สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาหลักๆของคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย
เมื่อใดที่เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นในบ้านเมืองพร้อมๆกัน หากผู้มีอำนาจไม่รีบแก้ไข เราคงไม่แคล้วเสียเมืองเหมือนครั้งอดีตแน่นอน
สมัยโบราณเรายังมีที่ให้ถอยร่นให้หนีไปตั้งเมืองใหม่ สมัยนี้เล่า เราคนไทยจะหนีไปไหน เราติดทะเลแล้ว
นี่เป็นแผ่นดินผืนสุดท้ายของบรรพมหากษัตริยาธิราชของเราที่ทรงรักษาไว้ให้ลูกหลานได้เกิดได้หายใจ
เราควรหันหน้าเข้าหากันแล้วร่วมกันรักษาชาติไว้ตามรอยบรรพชนได้แล้ว
ไม่งั้นเราคงได้เป็นเหมือนดังประเทศเจ้าของธงข้างล่างนี้แน่ๆ*****
บันทึกการเข้า
ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
ออฟไลน์
กระทู้: 2,591
"Angela Gheorghiu" My goddess
Re: กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
«
ตอบ #4 เมื่อ:
13-05-2006, 23:28 »
อ่านแล้วเซ็งจิต
บันทึกการเข้า
"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
narong
ขาประจำขั้น 2
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 654
Re: กองทัพ การเมือง อำนาจรัฐ
«
ตอบ #5 เมื่อ:
13-05-2006, 23:44 »
อ้างจาก: แอ่นแอ๊น ที่ 13-05-2006, 23:28
อ่านแล้วเซ็งจิต
อย่าเพิ่งเซ็งครับ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวัง
แต่ต้องใช้สมองและไม่รีบร้อนมากเกินไป
บันทึกการเข้า
ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
หน้า:
[
1
]
ส่งหัวข้อนี้
พิมพ์
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
ทั่วไป
-----------------------------
=> ตะกร้าข่าว
=> ห้องสาธารณะ
=> สภากาแฟ
=> ชายคาพักใจ
=> ร้อยรักษ์กวีวรรณ
=> สโมสรริมน้ำ
-----------------------------
ด้านเทคนิค
-----------------------------
=> ปัญหาการใช้งาน
=> ห้องทดสอบ
===> ทดสอบบอร์ดย่อย
Powered by SMF 1.1.20
|
SMF © 2005, Simple Machines
|
Thai language by ThaiSMF
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.138 วินาที กับ 22 คำสั่ง