ชีวิตในโลกมืดของอดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดนํ้าผึ้งเพชรา เชาวราษฎร์

นางเอกหนังไทยกี่ยุคต่อกี่ยุค ไล่เรียงตั้งแต่ อมรา อัศวนนท์, วิไลวรรณ วัฒนพานิช, ภาวนา ชนะจิตร, พิศมัย วิไลศักดิ์, อรัญญา นามวงศ์, ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา, ปิยะมาศ โมณยะกุล, มยุรา ธนะบุตร, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์, นาถยา แดงบุหงา ไปจนถึงจินตหรา สุขพัฒน์ ไม่มีใครจะโด่งดังจนเป็นที่กล่าวขานเกินกว่า เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง!! คู่ขวัญพระเอก มิตร ชัยบัญชา เธอห่างหายไปจากวงการมายานานกว่า 20 ปีแล้ว และไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนสักครั้ง...แต่ในที่สุดก็ทนลูกตื๊อของนิตยสาร VOLUME ไม่ไหว ยอมเปิดใจให้สัมภาษณ์อย่างหมดหัวใจเป็นครั้งแรก!!
จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด!! ตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่ 16-17 ปี กว่าตัวจะหายบวมจนใกล้เคียง ปัจจุบันดิฉันปิดบ้าน ไม่ออกไปไหน ไม่ให้ใครเห็น!! เพราะดิฉันทำใจไม่ได้ ยอมรับตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงคำว่า เพชราตาบอด ขึ้นมาครั้งใด น้ำตาจะไหลพรากทุกครั้ง!! ใช้เวลาทำใจอยู่หลายปี แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังอยากกลับมามองเห็นเหมือนเดิม อยากดูเบอร์โทรศัพท์เอง อยากเห็นสีสัน อยากขับรถเอง อยากตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง!! อดีตนางเอกขวัญใจผู้ชมชาวไทยเล่าถึงความทุกข์ที่ต้องผจญกับโลกมืด!!
ไม่เพียงแต่ตัวเธอที่ยอมรับไม่ได้ เพราะทันทีที่แฟนๆภาพยนตร์รู้ข่าว ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว!!
ที่มีคนพูดกันว่า ดิฉันหยอดตาเพื่อให้ตาหวานตาสวย คิดดูสิว่า เล่นหนังมากี่เรื่องล่ะ คงจะหยอดตามาตลอด...ตาจึงมีปัญหาอย่างนี้ ไม่เป็นความ จริงเลยค่ะ!! สาเหตุเป็นเพราะดิฉันร้องไห้เยอะ ไม่ได้พักดวงตา และขับรถเองตลอด ประกอบกับสมัยนั้น ถ่ายหนังต้องใช้ไฟแรง หรือใช้รีเฟล็กซ์เยอะ ช่วงหลังๆที่ถ่ายหนังเรื่อง ไทยใหญ่ เมื่อปี 2513 ดิฉันเริ่มแสบตา ถูกแอร์รถยนต์ก็แสบ แต่ดิฉันก็ยังขับรถไปถ่ายหนังต่างจังหวัดเอง และอดทนแสดงภาพยนตร์จนถึงเรื่องสุดท้ายคือ ไอ้ขุนทอง เข้าฉายในปี 2520
...เมื่อดวงตาเริ่มมีปัญหา ดิฉันก็ไปหาหมอ แต่ว่าไม่ได้ไปตามนัดโดยสม่ำเสมอ เพราะต้องไปถ่ายหนัง บางวันก็อยู่ต่างจังหวัด พออาการเริ่มหนักขึ้น ดิฉันถึงกับขับรถปีนเกาะกลางถนนหลายครั้ง ช่วงที่อาการหนักมากๆ ก็พยายามรักษาทุกวิถีทาง แพ้ยาจนตัวบวม จากน้ำหนัก 47-48 กิโลกรัม จนมาหนัก 60 กว่ากิโลกรัม ต้องซื้อเสื้อผ้าคนท้องมาใส่ ผมร่วงหมดศีรษะ ฝ้าขึ้นดำไปทั้งหน้าทั้งตัว จนคนที่รู้จักจำไม่ได้ เมื่อตัวบวมมากๆ ก็หายใจไม่ออก กลืนน้ำก็ไม่ได้ ต้องเข้าไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ช่วงนั้นไตหยุดทำงาน พิษยาจึงคั่งค้างทำให้ตัวบวม ต้องรอให้พิษยาลดลง
จากที่เคยสวมแว่นดำและนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนได้เอง ตอนหลังก็มองไม่เห็น ออกไปไหนคนเดียวไม่ได้แล้ว!! ถึงดวงตาจะมืดบอดสนิท แต่ก็ยังมีคนเห็นคุณค่า ได้มีโอกาสกลับมาทำงานบันเทิงอีกครั้ง แต่ด้วยบทบาทที่แตกต่างจากเดิม
...ช่วงปี 2544-2548 ดิฉันเคยจัดรายการวิทยุอยู่ที่คลื่นเอฟเอ็ม 95 เมกะเฮิรตซ์ มีอะไรทำก็สนุกดี ค่อยรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาก แต่ตอนนี้ทางคลื่นวิทยุเขามีปัญหา จึงพักงานตรงนั้นไว้ก่อน แม้ดวงตาซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดของเธอ จะไม่สามารถฉายประกายเหมือน ครั้งก่อน แต่ เพชรา เชาวราษฎร์ ในวันนี้ ก็ยังคงเค้าความงามของวัยสาวไว้อย่างครบถ้วน!! ทั้งวงหน้ารูปไข่ ปากนิด จมูกหน่อย ยามที่เธอเอื้อนเอ่ยทุกครั้ง แต่ละถ้อยคำที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม ล้วนทำให้ใบหน้ากระจ่างใสชวนมอง เมื่อถามเธอว่า คิดว่าตัวเองสวยไหมคะ เธอตอบอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตนว่า
ตั้งแต่เล็กเวลาดิฉันไปไหนกับแม่ ผู้ใหญ่ที่เขาคุยกับแม่หันมาเห็นเข้า ก็จะถาม เอ๊ะ!! นี่ลูกใครน่ะ ลูกตามา-ตากลมนี่หว่า!! เพราะดิฉันตากลม ปากนิด จมูกหน่อย หน้าตาจุ๋มจิ๋ม ผู้ใหญ่เห็นก็มักจะเอ็นดู และคว้าตัวดิฉันไปกอด จูบ ยีหัว จับแก้ม เมื่อโตขึ้นมา หลายคนบอกว่าดิฉันสวย พอกลับมาบ้าน ดิฉันก็เอากระจกมาส่องซ้ายส่องขวา สวยตรงไหน ก็ไม่เห็นสวยนี่นา ธรรมดา แต่มาระยะหลังๆ เวลาไปไหนมาไหน พี่ๆเขาไม่ยอมเดินด้วย แม้แต่ยืนถ่ายรูป เขาก็ไม่อยากอยู่ใกล้ดิฉัน พูดไปอาจจะฟังดูเหมือนยกยอตัวเอง แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

...พอเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นดารา หลายคนคิดว่าดิฉันเป็นคนเหนือ เพราะตัวเล็ก ตากลม ผิวเหลือง ไว้ผมยาวแล้วเกล้ามวยไว้ จนกลายเป็นเอกลักษณ์อยู่ระยะหนึ่ง ดิฉันเป็นคนชอบแต่งตัว แต่ไม่ชอบแต่งหน้า ชอบออกแบบเสื้อผ้าแล้วไปให้ช่างตัดให้ สมัยนั้นเอว 19 นิ้ว สวมกระโปรงบานใบบัว แล้วคาดเข็มขัด กระโปรงตัวหนึ่งใช้ผ้าตั้ง 3 เมตรครึ่งเชียวนะคะ เดินไปไหนแต่ละทีละคุณเอ๊ย...(หัวเราะ)
...เวลาขึ้นรถเมล์จะมีคนลุกให้นั่งเป็นประจำ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ถ้าดิฉันสบตาคนไหน คนนั้นลุกให้นั่งทันที หลายคนบอกว่า ดิฉันตาเจ้าชู้ มองเหมือนให้ท่าผู้ชาย แต่จริงๆแล้วไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ ก็ตามันเป็นอย่างนั้นเอง เวลาคนมองเยอะๆ ดิฉันจะอาย กลับบ้านก็ไปส่องกระจก เขามองอะไร
แม้เมื่อเริ่มแสดงภาพยนตร์แล้ว เธอก็รับว่า ยังไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตาคนเยอะๆ พ่อแม่ดิฉันเลี้ยงลูกอย่างเคร่งครัดมาก ลูกสาวต้องเป็นกุลสตรี ต้องพูดเสียงเบาๆ ห้ามเอะอะโวยวาย ต้องนั่งพับเพียบ เวลาเดินก็ต้องเขย่งปลายเท้า ห้ามเดินลงส้น เพราะบ้านเป็นพื้นไม้ แต่นั่นก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อมาเป็นดารา ทำให้ดิฉันใส่รองเท้าส้นสูงได้สบาย แต่การพูดเสียงเบาก็เป็นปัญหาเวลาที่แสดงภาพยนตร์ ครั้งหนึ่งได้ยินคุณจุรี โอศิริ บ่นว่า นักแสดงคนนี้พูดเสียงเบา พูดไม่เคยอ้าปาก อ่านปากยาก พากย์เสียงยากเหลือเกิน ตอนหลังดิฉันจึงต้องหัดพูดให้เสียงดังขึ้น
เพชรา เชาวราษฎร์ เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์โดยการชักนำของ ศิริ ศิริจินดา ซึ่งขณะนั้นจะนำละครวิทยุเรื่องดัง บันทึกรักพิมพ์ฉวี มาสร้างเป็นภาพยนตร์ และมองหานางเอกคนใหม่มารับบทประกบคู่ มิตร ชัยบัญชา
ตอนนั้น คุณมิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกดาวรุ่ง และมีนางเอกดังๆในยุคนั้นหลายคน แต่คุณศิริก็ยังอยากได้นางเอกใหม่ คุณศิริบอกว่าเห็นดิฉันจากการประกวดเทพธิดาฮาวาย แล้วเกิดสะดุดตา และคิดว่าดิฉันจะเล่นบทชีวิตได้ ตอนเจอกันครั้งแรก มีคุณดอกดิน กัญญามาลย์ มาด้วย วันนั้นดิฉันใส่ผ้าถุงนะคะ ไม่กล้านุ่งกางเกง เพราะยังเหนียมอาย กลัวว่าเวลาก้าวเดินคนจะเห็นหว่างขา (หัวเราะเขิน)
...วันที่มารับดิฉันไปถ่ายหนัง คุณศิริบอกว่า เปลี่ยนชื่อให้ดิฉันเรียบร้อยแล้ว จาก ปัทมา ชาวราษฎร์ เป็น เพชรา เชาวราษฎร์ ดิฉันได้ยินก็ร้องว้าย!! รู้สึกว่าชื่อ เพชรา มันฟังดูหวือหวาเกินไปสำหรับเรา แต่คุณศิริบอกว่า เป็นชื่อที่พระตั้งให้!! แล้วดิฉันก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอด ตอนหลังจึงมารู้ว่า คุณดอกดินเป็นคนตั้งชื่อให้
แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่เธอยังจำความรู้สึกตอนเล่นหนังเรื่องแรกได้ดี 
ถ่ายหนังเรื่องแรกยากมาก เขินกล้อง เดินไม่ออกเลยค่ะ พูดก็ไม่กล้าอ้าปาก พูดเสียงเบางุบงิบๆอยู่ตั้ง 2 เรื่อง จนมาปรับปรุงตัวเองพูดให้เสียงดังขึ้น...เรื่องการจำบท เรื่องร้องไห้ไม่มีปัญหา แต่เรื่องอายนี่สิปัญหาใหญ่!! ให้ หัวเราะเสียงดัง หรือทำท่าตกใจสุดขีด ดิฉันทำไม่ได้เลย แรกๆจึงยากลำบากมากกว่าจะผ่านได้
...ดิฉันยืนหน้ากระจก พยายามฝึกทำสีหน้าและแววตาให้เฉย เพราะตั้งแต่ ก่อนเข้าวงการ มีคนบอกว่า ดิฉันตาสวยสดใส ทำอย่างไรสีหน้าและแววตาก็ไม่สลด ดิฉันจึงต้องฝึกสีหน้าและแววตาเพื่อนำมาใช้ในการแสดง เรื่องการแต่งหน้าทำผม ดาราเมื่อก่อนต้องทำกันเอง ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ดิฉันแสดงทำผมบ๊อบธรรมดา เพราะรับบทเป็นสาวบ้านนอก...คนแต่งหน้าให้ เขียนคิ้วใหญ่เท่านิ้วมือเลยละ ดิฉันไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน ปกติใช้แป้งฝุ่นสโนว์ซองละ 1 บาท ทาหน้า ลิปสติกแตะริมฝีปากนิดหน่อย แต่พอมาถ่ายภาพยนตร์ต้องแต่งหน้า ตอนนั้นดิฉันคิ้วดกดูเลอะเทอะ ต้องถอนขนคิ้วให้เข้ารูป ผมดิฉันสีน้ำตาลอ่อน คิ้วก็สีน้ำตาล เวลาเข้ากล้องโดนรีเฟล็กซ์ส่องแล้วหน้าจะดูจืดไปเลย ดาราคนอื่นเขาดูคมเข้มกันหมด ดิฉันจึงต้องเขียนคิ้วเข้ม เขียนขอบตาดำ และย้อมสีผมให้เป็นสีดำ หน้าจึงดูคมขึ้น
หลังจากผ่านภาพยนตร์เรื่องแรก ก็มีหนังตามมาอีกหลายเรื่อง จนในที่สุดเธอกลายเป็นดาราคิวทองแห่งยุค มีการบันทึกไว้ว่า เธอเล่นหนังมาแล้วกว่า 300 เรื่อง สมัยนั้นแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกได้รับค่าตัว 3 พันบาท และเคยได้ค่าตัวสูงสุด 5 หมื่นบาท!! ช่วงที่เข้าวงการใหม่ๆ ดิฉัน อดนอนไม่เป็น พอถ่ายหนังไปถึงเที่ยงคืนก็ง่วง พูดไม่รู้เรื่องแล้ว...ช่วงที่มีงานชุก ดิฉันถ่ายหนังทุกวัน วันละ 2 เรื่อง ถ่ายทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เคยเล่นตัวเลยค่ะ แต่งานเยอะมากจนไม่มีเวลาจริงๆ แม้แต่เวลาพักผ่อนยังไม่มี!! ดิฉันไม่ได้ดูหนังที่ตัวเองแสดงทุกเรื่องหรอกค่ะ แรกๆไปดูรอบปฐมฤกษ์ แต่หลังๆเริ่มเบื่อหน้าตัวเอง
ถ้ายังจดจำกันได้ เธอเคยประสบอุบัติเหตุใหญ่ ระหว่างการถ่ายทำหนัง จนหวิดสิ้นชื่อ!! ตอนถ่ายหนังเรื่อง พยัคฆ์พันลาย ปี 2516 ดิฉันประสบอุบัติเหตุตกเรือจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด!! วันนั้นใส่ชุดสีส้ม สีเดียวกับน้ำในอ่างเก็บน้ำเลย แถมยังสวมรองเท้ารัดข้ออีก พยายามจะก้มลงถอดรองเท้าก็ไม่สำเร็จ ดิฉันนึกถึงคำแม่สอนว่า คนเราเวลาจมน้ำ ถ้าโผขึ้นมา 3 ครั้งแล้ว ยังขึ้นฝั่งไม่ได้ก็ไม่มีครั้งที่ 4!! ดิฉันเอามือบีบจมูกกลั้นหายใจไว้ ตะเกียกตะกายผุดขึ้นมา 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 เป็นเฮือกสุดท้าย!! เอื้อมไปสุดปลายมือเจอเชือกไนลอน เหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ ดิฉันสาวเชือกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทีมงานก็มองเห็นดิฉัน และลงมาช่วยชีวิตไว้ได้...ครั้งนั้นถือเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดในระหว่างการถ่ายทำหนัง!!
ดาราสมัยก่อนต้องเก็บเนื้อเก็บตัวมิดชิด เพชรา เชาวราษฎร์ ก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎ สมัยก่อนต้องรักษาเนื้อรักษาตัว จะไปเดินฉุยฉายกรุยกรายช็อปปิ้งนานๆไม่ได้ สมัยที่ดิฉันได้รับความนิยมอย่างสูง ออกนอกบ้านไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะคนจะมามุงดูเต็มไปหมด แค่ออกไปร้านทำผม คนก็มามุงดู เดินไปทางไหนคนก็เดินตามเป็นโขยง จนบางครั้งดิฉันโดนเบียดตกท่อก็มี (หัวเราะ)
ตลอดชีวิตมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มารุมจีบไม่ซ้ำหน้า แต่คู่ทุกข์ คู่ยากของเธอมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ชรินทร์ นันทนาคร ตอนที่เห็นเขาครั้งแรก ดิฉันเกิดความรู้สึกเห็นใจ เขามีปัญหาชีวิต แต่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จนตอนหลังเขามาเป็นดารา และผู้กำกับหนัง ดิฉันก็ได้แสดงหนังของเขาบ้าง ทุกวันนี้ยังติดนิสัยที่ต้องรอคอยกันอยู่ เพราะสมัยก่อนรักชอบกัน จะไปไหนด้วยกันแบบเปิดเผยไม่ได้ จนกระทั่งดิฉันแสดงหนังเรื่อง แผ่นดินแม่ เมื่อปี 2518 จึงตัดสินใจมาใช้ชีวิตร่วมกัน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราสองคน ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย เพราะเราเป็นดารา อยู่ในสายตาของประชาชนตลอด
ในชีวิตที่โลดแล่นอยู่แวดวงมายามาหลายทศวรรษ เธอบอกว่า ภูมิใจที่สุดที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากภาพยนตร์เรื่อง นกน้อย เรื่องนี้ดิฉันประทับใจที่สุด เพราะได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของในหลวง
ยามใดเมื่อมีทุกข์ และคิดว่าตัวเองไร้ค่าเพราะดวงตามองไม่เห็น ก็จะมาลูบๆคลำๆตุ๊กตาทองตัวนี้ ทำให้ดิฉันมีพลัง มีความหวัง และถือเป็นมิ่งขวัญอันสูงสุดของชีวิต!!