ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
31-01-2025, 01:13
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  กุญแจแก้บาทแข็ง สูตร'ธารินทร์':รัฐวิสาหกิจคืนหนี้นอกเท่าจำนวนเงินไหลเข้า 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
กุญแจแก้บาทแข็ง สูตร'ธารินทร์':รัฐวิสาหกิจคืนหนี้นอกเท่าจำนวนเงินไหลเข้า  (อ่าน 1474 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 21-07-2007, 01:03 »

กุญแจแก้บาทแข็ง สูตร'ธารินทร์':รัฐวิสาหกิจคืนหนี้นอกเท่าจำนวนเงินไหลเข้า
 
20 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 06:00:00

 
"การลดดอกเบี้ยรวดเร็ว ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยฟื้นการบริโภคและการลงทุน ธปท.แทรกแซง ก็ถูกต้อง แต่ธปท.เองก็มีข้อจำกัดของตัวเองว่าแทรกแซงได้แค่ไหน ดังนั้น ทั้งสองแนวทางเป็นผลดีทั้งนั้น แต่ทำไมต้องยึดหรือมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาเน้นหนักอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหากเน้นอะไรมากเกินไป อาจจะก่อปัญหาในอนาคตได้"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดข้อเสนอแนวทางแก้ไขจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอจากเอกชน นักวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีคลัง อย่าง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่เสนอให้ใช้ยาแรงลดดอกเบี้ยนโยบาย 1.0-1.5%พร้อมกับการแทรกแซงอย่างเต็มที่ "ธารินทร์ นิมมานเหมินท์" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นอีกท่านที่มีมุมมองผลกระทบจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งและแนวทางแก้ไข

นายธารินทร์ มองว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นแน่นอน มีผลกระทบใน 3 ด้าน เริ่มจากการท่องเที่ยวขาเข้าที่ลด ที่ส่งผลจากค่าเงินที่แข็งและยังถูกซ้ำเติมจากวิตกเรื่องความมั่นคง ผลกระทบที่สอง รายได้ภาคเกษตรลดลง และสาม ภาคการส่งออก

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าในภาวะที่ค่าเงินบาทแข็ง จะส่งผลกระทบใน 3 ด้านดังกล่าว แต่ในด้านบวกของเงินบาทแข็งยังมีอยู่ โดยเฉพาะด้านพลังงาน ที่ไทยพึ่งพานำเข้าน้ำมันในอัตราที่สูง ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น สามารถช่วยประหยัดเงินตราได้จำนวนมาก และยิ่ง 3 มกราคม 2550 ราคาน้ำมันไนเม็กซ์ยังอยู่ที่ 58.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ 17 กรกฎาคม 2550 ขยับมาถึง 74.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น หากเงินบาทอ่อน อาจจะต้องสูญเสียเงินตราจำนวนมาก ซึ่งภาคขนส่งก็ได้รับประโยชน์ด้วย

อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้ไขปัญหาเงินบาท ที่วนเวียนถกเถียงเป็น "กระแสหลัก" อยู่ในขณะนี้ มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก 1.ลดดอกเบี้ยลงอย่างแรง 2.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แทรกแซงอย่างเต็มที่ และ 3.ข้อเสนอของภาคส่งออก ที่ยกเลิกระยะเวลาการถือครองดอลลาร์ ซึ่งวานนี้ ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. เห็นด้วยกับการยกเลิกระยะเวลาดังกล่าวแล้ว และยังอนุญาตให้ฝากเงินสกุลต่างประเทศ ในธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศได้

" การลดดอกเบี้ยรวดเร็ว ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยฟื้นการบริโภคและการลงทุนได้อย่างแน่นอน ส่วนการให้ ธปท.แทรกแซง ก็ถูกต้อง แต่ธปท.เองก็มีข้อจำกัดของตัวเองว่าแทรกแซงได้แค่ไหน ดังนั้น ทั้งสองแนวทางเป็นผลดีทั้งนั้น แต่ทำไมต้องยึดหรือมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาเน้นหนักอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหากเน้นอะไรมากเกินไป อาจจะก่อปัญหาในอนาคตได้"

นายธารินทร์ มองว่า นอกจาก 2 แนวทางที่กล่าวถึงแล้ว การให้ "รัฐวิสาหกิจ ชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด ในจำนวนเงินชำระหนี้เท่ากับเงินทุนที่ไหลเข้ามายังในประเทศ"

น่าจะเป็นอีกแนวทางที่สามารถแก้ปัญหาเงินบาทแข็งได้รวดเร็ว ในกรณีที่แต่ละหน่วยงานให้ความร่วมมือ และเป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นหน้าที่ ธปท.กับกระทรวงการคลัง ต้องนั่งหารือกัน ว่าจะดำเนินการชำระหนี้ก่อนกำหนดในจำนวนเท่าไร เพราะในภาวะที่ค่าเงินบาทแข็ง ไม่อาจหวังกับการชำระหนี้ภาคเอกชนได้มาก เพราะอาจจะติดเงื่อนไขเงินกู้ และปริมาณหนี้ต่างประเทศของเอกชน ก็อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งต่างจากรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ยอดหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ สิ้นเดือนเมษายน 2550 มีอยู่จำนวน 8,805 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท แยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน 5,032 ล้านดอลลาร์ และรัฐบาลไม่ค้ำประกันอีก 3,773 ล้านดอลลาร์

ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2550 สบน.ได้ดำเนินการแปลงหนี้เงินกู้ส่วนของราชการไปแล้ว คิดเป็นวงเงิน 2,032 ล้านดอลลาร์ หรือ 70,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงแผนการทำรีไฟแนนซ์เงินกู้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจและรัฐบาล ว่าสำนักบริหารหนี้สาธารณะ หรือสบน. ได้ศึกษาและเห็นสมควรที่รัฐวิสาหกิจที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศ จะต้องดำเนินการรีไฟแนนซ์เงินกู้ คิดเป็นวงเงินทั้งหมด 3,183 ล้านดอลลาร์ (ประมาณแสนล้านบาท) โดยการรีไฟแนนซ์จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึง 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะทำได้สำเร็จอย่างน้อย 80% ส่วนอีก 20% จะใช้เวลาอีกจนถึงสิ้นปี 2550

นายธารินทร์ มองว่าการที่ ธปท.เลือกที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน 18 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น ธปท.อาจจะเห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยต้องใช้ระยะยาว กว่าที่ธนาคารพาณิชย์จะลดดอกเบี้ยตาม จึงเลือกที่จะใช้แนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกัน หากลดดอกเบี้ยมากเกินไป อาจจะเกิดผลข้างเดียง เกิดปัญหาเงินเฟ้อในอนาคตขึ้นมาได้  ขณะที่การแทรกแซงค่าเงิน ถึงแม้จะทำได้ผลดี แต่บางช่วงอาจจะมีข้อจำกัด ที่ธปท.ต้องบริหารไม่ให้มีผลขาดทุนในอนาคต

" การบริหารนโยบายให้สมดุล หรือไม่หนักด้านใดด้านหนึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ กรณีของเงินบาทแข็งมีทั้งผลกระทบและผลบวก ดังนั้น ต้องคิดว่าวิธีการไหนที่สร้างความสมดุลได้ดี และไม่ส่งผลเสียในอนาคต ซึ่งการคืนหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจก่อนกำหนด จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เหมาะสม"
 

http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/20/WW10_WW10_news.php?newsid=85154
 
   
 
ในยามที่ประเทศประสบปัญหา"วิกฤตการเงิน" ที่แตกต่างกับ"วิกฤตเศรษฐกิจ"คราวโน้น.....
คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ อดีต รมว.กระทรวงการคลังที่เคยแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย นำคนไข้(เศรษฐกิจไทย)เข้าห้อง"ไอซียู" เพื่อทำการรักษา และ สามารถนำคนไข้(เศรษฐกิจไทย)ออกจากห้อง"ไอซียู" ไปอยู่ห้องพักฟื้น เพื่อใช้การรักษา พยาบาลโดย"อารยุแพทย์"ต่อไป......


วันนี้คุณธารินทร์ ได้ให้คำแนะนำ ความเห็นในการแก้ไข"วิกฤติการเงิน"ให้รัฐบาลไทยเข้าใจ และศึกษาต่อไป.....


ถ้ารักชาติบ้านเมืองมากกว่าการ"รับใช้"เผด็จการจากการเลือกตั้ง
กรุณาแสดงความคิดเห็นปราศจาก"มิจฉาทิฐิ" เทอญ.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #1 เมื่อ: 21-07-2007, 18:54 »

อ้างถึง
ในยามที่ประเทศประสบปัญหา"วิกฤตการเงิน" ที่แตกต่างกับ"วิกฤตเศรษฐกิจ"คราวโน้น.....
คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ อดีต รมว.กระทรวงการคลังที่เคยแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย นำคนไข้(เศรษฐกิจไทย)เข้าห้อง"ไอซียู" เพื่อทำการรักษา และ สามารถนำคนไข้(เศรษฐกิจไทย)ออกจากห้อง"ไอซียู" ไปอยู่ห้องพักฟื้น เพื่อใช้การรักษา พยาบาลโดย"อารยุแพทย์"ต่อไป......

วันนี้คุณธารินทร์ ได้ให้คำแนะนำ ความเห็นในการแก้ไข"วิกฤติการเงิน"ให้รัฐบาลไทยเข้าใจ และศึกษาต่อไป...

นักรบ จะกลายเป็น วีระบุรุษ หรือ ไอ้ขี้ขลาด ก็ต่อเมื่อลงสนามรบให้ประจักษ์

แพทย์ จะเก่งกาจหรือไม่ ก็ต่อเมื่อมีคนไข้วิกฤติอาการหนักเขามาให้รักษา

ค่าของคน อยู่ที่ ผลของงาน

นายธารินทร์ เมื่อครั้งอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้าที่จะได้เป็นรัฐบาลต่อจากยุค จิ๋ว+แม้ว ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ค่อยมีฝีมือ เกาเหลากับนายศุภชัย คำวิจารณ์นั้นมีมากเหลือเกิน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า ฝีมือจริงๆเป็นเช่นไร เพราะยังไม่ได้ลงสนามรบ

เมื่อเกิดวิกฤติค่าเงินบาท ด้วยฝีมือของรัฐบาล จิ๋ว+แม้ว เริ่มแรกนั้น รัฐบาลยุคนั้นหมดหนทางแก้ไข หากเป็นศึกในสามก๊ก ก็คงจะบรรยายได้ว่า อึเต็มชุดเกราะของรัฐบาล จิ๋ว+แม้ว เมื่อหาหนทางแก้ไขไม่ได้ ก็ทำเช่นเดียวกับคนสิ้นคิดทั่วไปจะทำ นั่นคือไปกู้เงินมาใช้หนี้ รูดบัตรใบใหม่ใช้หนี้บัตรใบเก่า  ปัญญาของรัฐบาลจิ๋มแม้วมีแค่นั้น ต้องยอมทำสัญญาทาสกับ IMF หลายข้อ เพื่อจะได้เงินมาแก้วิกฤติ

และในที่สุดการแก้ไขพึ่งกระทำได้เพียงไปขอกู้เงินเขา รัฐบาล จิ๋ว+แม้วก็ต้องล่มสลาย ประเทศไทยในยามนั้น เหมือนคนไข้ ที่หมอผ่าเปิดทรวงอกเอาไว้ ยังไม่ได้รักษษอะไร แหวะอกเอาไว้เพื่อมองดูอวัยวะภายในว่าอะไรมันป่วย เพราะหมอ จิ๋ว+แม้วนั้น มีฝีมือเพียงขั้นหมอนวดแผนญี่ปุ่น นวดก็ไม่เป็น เป็นแต่ทำอย่างอื่น 

ตอนนั้นเอง ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ต้องเข้ามาแก้ปัญหาต่อ นายธารินทร์ เป็นหมอที่ต้องเข้ามาดูคนไข้ ที่หมอเก่าเขาผ่าเปิดทรวงอกไว้อย่างลวกๆ ล้วงควักอวัยวะออกมาดูเล่น แล้วก็ยังไม่รู้ว่าคนไข้ป่วยเป็นอะไร หมอคนใหม่ ต้องมานั่งบรรจงแก้ไขความชุ่ยของหมอคนเก่า ซึ่งหนักหนากว่าอาการป่วยของคนไข้เดิมเสียอีก ก่อนจะก้มหน้าก้มตารักษาอาการไปตามวิชาแพทย์ที่ถูกต้อง

ฝีมือของนายธารินทร์ เป็นเลิศเห็นได้ชัดเจนก็ในคราวนั้นเอง คนไข้หายป่วยอย่างรวดเร็ว เงินที่ไปกู้มาจาก IMF ซึ่งยอดขอกู้นั้น รัฐบาล จิ๋ว+แม้วขอไว้เสียมากมาย เพราะคิดว่าตนเองจะได้อยู่ล้างผลาญต่อ แต่ด้วยฝีมือนายธารินทร์ เงินกู้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องกู้จนครบจำนวนดังกล่าว อาการของคนไข้ก็หายดี

แต่หมอธารินทร์แกเข้มงวดกับคนไข้ แกสั่งให้คนไข้ควบคุมดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด ซึ่งถ้าทำตามหมอสั่งก็จะหายและแข็งแรง แต่เผอิญหมดเวลาของนายธารินทร์เสียก่อน และคนไข้ก็เกิดอยากจะกลับไปใช้ชีวิตบัดซบตามที่เคยเป็นมา จึงเปลี่ยนหมอใหม่อีก ได้นายแม้วอดีตเบื้องหลังนายจิ๋วกลับมา และคนไข้ก็อาการทรุดจนเห็นผลร้ายต่อในวันนี้

ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย จะต้องประสบความ chipหาย อีกอย่างแน่นอน หากรัฐบาลต่อไปทำเช่นรัฐบาลชาติชาย รัฐบาลจิ๋ว+แม้ว รัฐบาลแม้วโอนลี่ นั่นคือ ปล่อยให้ทุนสามานย์เข้ามาดำเนินกิจการชั่วร้าย สูบเลือดสูบเนื้อประชาชนคนไทย

มันเป็นวงจรอุบาทว์ ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าค่ะ 
บันทึกการเข้า
::วิญญาณห้อง2::
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 656



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 22-07-2007, 14:33 »

รอดูกันต่อไป.........

เงินร้อนเข้าตลาดหุ้นอย่างเดียว......... มันจะเป็นหนทางสู่หายนะ

การลงทุนไม่เกิด การบริโภคไม่เกิด

พอลดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเงินฝาก หดไป 0.25 แต่ดอกเบี้ยเงินกู้หดไปแค่ 0.125

นี่มันอะไรกัน ยังงี้ การใช้จ่ายยิ่งหดหนักเข้าไปอีก

capital control ก็ทะลึ่งออกมา 30% ใช้ยาแรงเกินขนาด เสร็จแล้วยังไม่พอ กลับมาพลิก ให้เงินเข้าตลาดหุ้นได้ไม่ต้อง control 30% ... มันก็บรรลัยหน่ะสิ

ยืนพื้นไป 30% ยังจะดีซะกว่า..... ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยกับ 30% เห็นด้วยกับ capital control ตอนโน้น แต่ทำไมต้อง 30% แบงค์ชาติไม่รู้ impact ต่อตลาดหุ้นตัวนี้หรือ......

สถาณการณ์ต่อไป หากไม่รีบแก้ไขเรื่อง การอุปโภคบริโภค การลงทุน (ซึ่งดันสะเออะไปลดดอกเบี้ย ให้ function ตัวนี้หดเข้าไปอีก) ก็บรรลัยแน่นอน..... คราวนี้บรรลัยตั้งแต่รากหญ้าจนถึงชนชั้นกลางเลย

แนวทางแก้ไขตอนนี้เริ่มลำบากแล้ว... ยังเหลือการอัด gov.spending ลงในระบบ .... แต่ต้อง spending ในการลงทุนที่จะงอกเงยมีค่าในอนาคตด้วย ไม่งั้นก็เจ๊งเหมือนกัน
บันทึกการเข้า

--------this is the world-------
kj 2nd
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #3 เมื่อ: 22-07-2007, 22:15 »

รอดูกันต่อไป.........

เงินร้อนเข้าตลาดหุ้นอย่างเดียว......... มันจะเป็นหนทางสู่หายนะ

การลงทุนไม่เกิด การบริโภคไม่เกิด

พอลดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเงินฝาก หดไป 0.25 แต่ดอกเบี้ยเงินกู้หดไปแค่ 0.125

นี่มันอะไรกัน ยังงี้ การใช้จ่ายยิ่งหดหนักเข้าไปอีก

capital control ก็ทะลึ่งออกมา 30% ใช้ยาแรงเกินขนาด เสร็จแล้วยังไม่พอ กลับมาพลิก ให้เงินเข้าตลาดหุ้นได้ไม่ต้อง control 30% ... มันก็บรรลัยหน่ะสิ

ยืนพื้นไป 30% ยังจะดีซะกว่า..... ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยกับ 30% เห็นด้วยกับ capital control ตอนโน้น แต่ทำไมต้อง 30% แบงค์ชาติไม่รู้ impact ต่อตลาดหุ้นตัวนี้หรือ......

สถาณการณ์ต่อไป หากไม่รีบแก้ไขเรื่อง การอุปโภคบริโภค การลงทุน (ซึ่งดันสะเออะไปลดดอกเบี้ย ให้ function ตัวนี้หดเข้าไปอีก) ก็บรรลัยแน่นอน..... คราวนี้บรรลัยตั้งแต่รากหญ้าจนถึงชนชั้นกลางเลย

แนวทางแก้ไขตอนนี้เริ่มลำบากแล้ว... ยังเหลือการอัด gov.spending ลงในระบบ .... แต่ต้อง spending ในการลงทุนที่จะงอกเงยมีค่าในอนาคตด้วย ไม่งั้นก็เจ๊งเหมือนกัน

ขออนุญาตแก้ไขความเข้าใจเล็กน้อย ด้านการบริโภค และการลงทุน และดอกเบี้ย

ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์สมัยเก่า (แต่ก็ยังใช้ได้แหละ) บอกว่า คนเราเมื่อมีรายได้ จะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปบริโภค อีกส่วนหนึ่งจะเก็บออมไว้ และอีกส่วนก็เิอาไว้ลงทุน

เมื่อลดดอกเบี้ย คิดแบบง่ายๆ จะทำให้การออมลดลง (ดอกเบี้ยเงินฝากลด) และการลงทุนเพิ่ม (ดอกเบี้ยเงินกู้ลด)
และมักจะส่งผลให้มีการบริโภคขึ้นด้วย (อันนี้เป็นผลทางอ้อม ขึ้นอยู่กับแต่ละคน)


แต่นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้นแหละ ถ้าจะนำมาใช้กับสถานการณ์จริงๆก็ต้องมีหลายๆปัจจัยที่กระทบการบริโภค  และสิ่งที่สำคัญก็คือ คนมีรายได้ลดลง หนี้มากขึ้น เลยทำให้รายได้ลดลง
ถ้าแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ ก็จบเห่  (สมัยเหลี่ยมก็เน้นตรงนี้แหละ แต่ได้ผลแค่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น  หลังจากนั้นก็เงียบ ตำน้ำพริกแท้ๆ)
หลายคนยังหวังให้รัฐช่วยปลดหนี้ที่ตัวเองก่อขึ้นมาให้ด้วยซ้ำ 


รัฐบาลนี้เน้นเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะอาศัยแค่ชื่อไม่พอ ต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้คนรู้จักการใช้ การซื้อ การออม เพื่ออนาคต
ตอนนี้ก็ต้องทำต่อไป
รัฐบาลชุดต่อไป จะต้องสานต่อเรื่องนี้  ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องความยากจนนี้ได้

ถ้าบริโภคฟุ้งเฟ้อ   เศรษฐกิจดี แต่เป็นแบบ คนรวยยิ่งรวย  คนจนยิ่งจน(เมื่อรวมหนี้)  Sad
ถ้าบริโภคแบบพอเพียง   เศรษฐกิจดี?    คนรวยไม่รวย  แต่คนจน จะไม่จน (ถ้ามีความรู้) 

ผมคิดว่าถ้าเราลดการฟุ้งเฟ้อและการบริโภคที่เกินพอดีลง  ส่วนหนึ่งจะทำให้การบริโภคโดยรวมลดลง  แต่จะเพิ่มการกระจายรายได้ให้ดีขึ้น  และนี่ก็เป็นจุดมุงหมายหลักๆของนโยบายรัฐบาลที่จแก้ปัญหาความยากจนได้

อันนี้เพิ่มเติมครับ เป้าหมายทั่วไปในการใช้เศรษฐศาสตร์มหภาค (นโยบายการคลัง) ซึ่งบางรัฐบาลก็จะเลือกใช้ไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องใช้ทุกตัว
1. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (%GDP Growth)
2. อัตราว่างงาน (พยายามให้ทุกคนมีงานทำ)
3. อัตราเงินเฟ้อ (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ อันี้มักจะตรงข้ามกับข้อ 2 ถ้าควบคุมมากๆ คนมักจะตกงาน)
4. การกระจายรายได้ (พยายามลดช่องว่างรายได้ของ คนรวยกับคนจน)
5. ... ที่เหลือจำไม่ได้แล้ว คืน อ.ไปหมด


---------------------------------------------------------------

ส่วนกรณีของธารินทร์ น่าสนใจครับ  เพียงแต่ว่ารัฐวิสาหกิจไทยมันจะรู้เรื่องนี้ซักแค่ไหน...

กว่าจะประชุม ตัดสินใจ  อธิบายให้พวกเจ้านายแก่ๆ เข้าใจ...

ผมว่ามันนาน จนความได้เปรียบตรงนี้มันหายไปน่ะสิ



บันทึกการเข้า

@ # $ %
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #4 เมื่อ: 23-07-2007, 00:50 »

รัฐบาลนี้เน้นเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะอาศัยแค่ชื่อไม่พอ ต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้คนรู้จักการใช้ การซื้อ การออม เพื่ออนาคต
ตอนนี้ก็ต้องทำต่อไป
รัฐบาลชุดต่อไป จะต้องสานต่อเรื่องนี้  ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องความยากจนนี้ได้

ถ้าบริโภคฟุ้งเฟ้อ   เศรษฐกิจดี แต่เป็นแบบ คนรวยยิ่งรวย  คนจนยิ่งจน(เมื่อรวมหนี้) 
ถ้าบริโภคแบบพอเพียง   เศรษฐกิจดี?    คนรวยไม่รวย  แต่คนจน จะไม่จน (ถ้ามีความรู้) 

ผมคิดว่าถ้าเราลดการฟุ้งเฟ้อและการบริโภคที่เกินพอดีลง  ส่วนหนึ่งจะทำให้การบริโภคโดยรวมลดลง  แต่จะเพิ่มการกระจายรายได้ให้ดีขึ้น  และนี่ก็เป็นจุดมุงหมายหลักๆของนโยบายรัฐบาลที่จแก้ปัญหาความยากจนได้


ผมเห็นด้วย โดยเฉพาะ"ตัวพิมพ์หนา".....
แต่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งต่อไป จะกล้าใช้วิธีนั้น ?
พวกเขาถูก"ปรนเปรอ"จากรัฐบาล"เผด็จการจากการเลือกตั้ง"ทักษิณมาแล้ว จะ"จมไม่ลง"มากกว่า...
อยากได้"บ้านเอื้ออาทร" หลังที่สองไว้ให้เช่า  อยากได้"หวยทักษิณ" ไว้เสี่ยงโชค ฯลฯ....



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: