ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-11-2024, 23:35
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  "หลังระบอบทักษิณ" ต้องสร้างระบบตรวจสอบเข้มข้น 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
"หลังระบอบทักษิณ" ต้องสร้างระบบตรวจสอบเข้มข้น  (อ่าน 1642 ครั้ง)
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« เมื่อ: 04-05-2006, 04:05 »

หลังระบอบทักษิณ' ต้องสร้างระบบตรวจสอบเข้มข้น

3 พฤษภาคม 2549 11:06 น.

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - “ขาประจำ” ชี้ อนาคตหลัง “ระบอบทักษิณ” พร้อมใจพึ่ง “ศาล” ร่วมปฏิรูปการเมือง ตรวจสอบนักการเมือง-องค์กรอิสระ ลั่น หมดเวลา “นักการเมืองขี้โกง” เสนอตั้ง “ศาลจริยธรรม”

*กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


-------------

ห้องประชุมมาลัยหุวะนันนทน์ ตึกเกษมอุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - เครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย ร่วมกับ สถาบันสหสวรรษ เปิดเสวนาประชาชนเรื่อง"การเมืองหลังระบบทักษิณ"

มีนายประมวล รุจนเสรี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ผศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ร.ศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นวิทยากร และมี ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันสหสวรรษ เป็นผู้ดำเนินรายการ 

นายประมวล เปิดฉากวิพากษ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดจากธุรกิจทุนนิยมผูกขาด เมื่อได้เข้าสู่อำนาจจึงลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ ใช้การตลาดนำการเมือง สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในชนบท นาทีนี้เป็นการยากที่จะล้ม"ทักษิณ" ด้วยระบบการเลือกตั้ง

วันนี้ถ้าทักษิณไม่ตายก็เอาชนะเขาไม่ได้ ทั้งๆ ที่นโยบายของทักษิณนั้นเป็นการตลาดที่ไม่มีความลึกซึ้ง แต่เป็นการตลาดเพื่อตลาดเท่านั้น เช่น การลงทะเบียนคนจน

ซึ่งเขาเคยถามว่า จดไปทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่าเพื่อให้คนมีความหวังกับพรรคไทยรักไทย การเลือกตั้งปี 2548 เขาจะได้ผูกพันกับพรรค นโยบายอย่างนี้พรรคประชาธิปัตย์สู้ไม่ได้หรอก เมื่อถามต่อไปว่า เมื่อจดทะเบียนแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่ายังไม่รู้เลยพี่ เดี๋ยวค่อยคิดกันต่อ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำตอบของคนที่นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ นโยบายเอสเอ็มแอล ก็เช่นกัน นายกฯ คิดคนเดียวบนเครื่องบิน ไม่ใช่นโยบายที่สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนแต่อย่างใด

นายประมวล ยังกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นคนที่กลัวการตรวจสอบ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาเกิดมาจากการถูกตรวจสอบกรณีซุกหุ้นปี 2544 ตั้งแต่นั้นจึงระดมเสียงในสภาให้ได้เกิน 300 เสียง ด้วยการซื้อส.ส. ซื้อพรรคเล็กพรรคน้อย มาเป็นของตน เพื่อให้กลไกการตรวจสอบในสภาไม่เกิด พ.ต.ท.ทักษิณใช้กติกาตัวนี้ปกป้องตัวเองมาตลอด ไม่สนใจกลไกการตรวจสอบสภา ไม่เคยชี้แจงในสภา เมื่อกระบวนการตรวจสอบเดินไม่ได้ก็เหิมเกริม ไปแก้กฎระเบียบต่างๆ จัดซื้อจัดจ้างหาผลประโยชน์เข้าข้างตัวเอง

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้กลไกการตรวจสอบเป็นหมันแล้ว ยังอ้างคะแนนเสียงไม่ว่าจะ 16 หรือ 19 ล้านเสียง เป็นกุญแจไขเข้าไปสู่การใช้อำนาจ แล้วล็อกเอาไว้ไม่ให้ประชาชนเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พยายามสอบถามข้อมูลข่าวสาร แต่พ.ต.ท.ทักษิณ กลับปฏิเสธที่จะให้ความรู้ประชาชน จึงออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ไม่เคยตอบคำถามกลับเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่อยๆ ไม่เคยสะสางเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น ประกาศยุบสภา

จากนั้นสร้างประเด็นว่าใครก็ตามที่ไม่ร่วมมือกับการเลือกตั้งแสดงว่าไม่รักประชาธิปไตย จ้างพรรคเล็กลงสมัคร บีบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้รับสมัครแล้วสมัครอีก ใช้คนๆเดียวสมัครทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ และให้คนเวียนเทียนสมัครทุกเขต เพียงเพื่อให้ครบจำนวนเท่านั้น ในอดีตครั้งหนึ่งป๋าเหนาะ (นายเสนาะ เทียนทอง) เคยถามนายกฯว่าจะแข่งเลือกตั้งอย่างไรดี พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า กลัวอะไรกกต.เป็นของเรา วันนี้พิสูจน์แล้วว่ากกต.เป็นของเขาจริง

"หลังยุคทักษิณ แล้วประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะต้องเข้าไปเป็นเจ้าของอำนาจและมีส่วนในการตัดสินการใช้อำนาจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เหมือนในปัจจุบันที่มีโอกาสใช้อำนาจได้วันเดียวเพียง 4 วินาที จากนั้นยกอำนาจให้นายกฯ คณะรัฐมนตรีทั้งหมด  เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้รู้ว่าการตัดสินใจทางการเมืองนั้นเป็นกุญแจของประชาชน การศึกษาของประชาชนต้องดีขึ้น องค์กรพัฒนาเอกชน ต้องมีบทบาทมากกว่านี้ในการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง และตรวจสอบอำนาจรัฐ...

 “...ทักษิณเป็นนักธุรกิจทุนนิยม เขาลงทุนก้อนหนึ่งแล้วหาทุนเพื่อลงทุนต่อ การเลือกตั้งคราวที่แล้ว 2 เม.ย. ใช้เงิน 4 พันล้านบาท ทุนทางการผูกขาด เริ่มตั้งแต่ปี 44 มือถือ วิทยุ กลุ่มต่างๆ อยู่ในเครือธุรกิจโทรคมนาคม การก่อสร้างขนาดใหญ่ คนที่ไม่อยู่ในเครือข่ายไม่อาจจะเข้าไปประมูลงานได้ ถูกตั้งด่าน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม เป็นวงจร ที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม จึงเกิดธรรมเนียมว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติ เกิดคำพูดว่าเขาแล้วจะโกงบ้างก็ไม่เป็นไร ซึ่งจริงๆแล้วเก่งจริงหรือเก่งปลอม นี่คือผลพวงของทักษิโณมิคส์” นาย
ประมวล กล่าว 

 ด้านนายบรรเจิด กล่าวว่า ข้อเสนอหลังยุคทักษิณ คือ 1) ผู้สมัคร ส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค 2)ไม่ล็อก ส.ส. 90 วัน แต่ห้ามย้ายพรรคระหว่างสมัยประชุม 3) ส.ส.ต้องผูกพันตามมโนธรรมสำนึกของตัวเอง ไม่ใช่อยู่ภายใต้การบังคับของมติพรรค เช่น กรณีทุจริตซีทีเอ็กซ์ ยังไม่อภิปรายเลยมติออกมาแล้ว 4) ส.ว.ต้องไม่ใช่มาจากฐานรากของพรรคการเมืองเนื่องจาก ส.ว.สามารถให้คุณให้โทษทางการเมืองได้

ดังนั้น หากมาจากฐานเสียงเดียวกับพรรคการเมืองก็ถือว่ามีผลประโยชน์เดียวกัน ส.ว.ไม่สามารถทำงานได้ ส่วนการป้องกันพฤติกรรมผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นต้องมีกฎหมายที่เท่าทันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก แค่เพียงออกกฎหมายห้ามมิให้ลูกเมียถือหุ้นนั้นไร้เดียงสามาก ไม่สามารถแก้ปัญหาได้

นายบรรเจิด เสนอว่า ต้องมีการปรับโครงสร้างระบบการตรวจสอบ ซึ่งสังคมไทยมีระบบศาลเป็นต้นทุนที่สำคัญ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพียงแต่เชื่อมโยงกระบวนการกลับไปหาต้นทุนเดิมของสังคมไทย เช่น เอาตัวแทนของศาลต่างๆ จัดเป็นศาลเลือกตั้ง ซึ่งจะดีกว่ากกต. ทุกวันนี้ เพราะกกต.ขณะนี้เสมือนหนึ่งเป็นรัฐอิสระ ทั้งๆ ที่ กกต.เป็นองค์กรที่เกิดจากรัฐธรรมนูญจะใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้  หากกกต.ดำเนินการขัดรัฐธรรมนูญก็ต้องมีการตรวจสอบ   

นายบรรเจิด กล่าวว่า ต้องเพิ่มบทบาทของภาคประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้สูงขึ้นตั้งแต่การเข้าชื่อถอดถอนหรือการเสนอกฎหมาย ที่ผ่านมาวางกลไกให้ข้าราชการจะทำหน้าที่นี้แต่สุดท้ายแล้วเมื่อข้าราชการอยู่ใต้นักการเมือง กลไกต่างๆไม่ขยับ เช่น กรมสรรพากร ดังนั้นเมื่อเราหนีไม่พ้นที่นักการเมืองมีอำนาจเหนือข้าราชการ ถ้าข้าราชการไม่ขยับต้องหาช่องทางตรวจสอบทางอื่นให้ได้

“หลังยุคทักษิณต้องมีกระบวนการตรวจสอบนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด เช่น นโยบายของรัฐบาลต้องไม่ใช่นโยบายประเภทประชานิยม อาศัยประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้คะแนนเสียง เช่น เอ็สเอ็มแอล คือการเอาเงินรัฐไปหาเสียง รัฐบาลต้องสร้างนโยบายประชามั่นคง คือการสร้างความมั่นคงที่แท้จริงให้ประชาชน“ นายบรรเจิด กล่าว

นักวิชาการผู้นี้ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ต้องมีการยกระดับการตรวจสอบจริยธรรมนักการเมือง ให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แล้วร่างออกมาเป็นกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยจริยธรรมของนักการเมืองสำหรับ ส.ส.และส.ว. พร้อมทั้งสร้างกลไกเชื่อมโยงกับศาลต่างๆ ทั้งศาลปกครอง และศาลฎีกา ให้เข้ามาควบคุมดูแลจริยธรรมนักการเมืองเช่นเดียวกับในต่างประเทศที่เห็นความสำคัญของศาลเหล่านี้เป็นพิเศษ 

 นอกจากนี้ ในอนาคตต้องยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ เพราะกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นการให้เช็คเปล่ากับผู้บริหารให้สามารถขายรัฐวิสาหกิจเปิดทางให้กลุ่มนักธุรกิจการเมืองเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรจากภาคประชาชน

 นายธีรภัทร กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองรอบสอง เรื่องที่ควรแก้ไขในรัฐธรรมนูญการจำกัด ระยะเวลาการอยู่ในตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น นายกฯ ไม่ควรดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย รวมทั้งการเพิ่มอำนาจการตรวจสอบให้องค์กรอิสระมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยมีการสรรหา และมีกระบวนการตรวจสอบองค์กรอิสระอย่างกกต. ป.ป.ช. หรือ คตง. โดยให้ศาลและอัยการเข้ามามีบทบาทมากขึ้น


กรุงเทพธุรกิจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2006, 04:07 โดย CanCan » บันทึกการเข้า

อะไรว้า
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 04-05-2006, 07:58 »

ตั้งชื่อการสัมมนา ก็ใช้คำของพวก "แมงสาบ"   ท่าทางยังมึนเรื่อง ม.7 ไม่หาย

ทำไมไม่ตั้งไปเลยละว่า "การเมืองหลังระบอบมาร์ค ม.7"  หรือ "การเมืองหลังระบบสนทุย"   ก็ได้

แทนที่จะไปรณรงค์เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ

1. ให้อภิปรายนายกให้ง่ายขึ้น

2. ให้ยกเลิก 90 วันเฉพาะกรณีที่นายกลาออก หรือ นายกยุบสภา

3.  ให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง  เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง

4.  การลงระบบเขต ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ให้เปิดรับสม้ครอีกครั้ง โดยอนุญาตให้คนจังหวัดอื่นสมัครได้  หากยังไม่มีใครสมัครแข่งอีก ให้คนนั้นเป็น สส. ไปเลย

5.  กำหนดไปเลยว่า ยุบสภา จะต้องเลือกตั้งภายใน 45 วันขึ้นไป  ไม่เกิน  60 วัน

แทนที่จะตั้งธงเรื่องพวกนี้  เรื่องใหญ่ๆ  ไปสนแต่เรื่องกะพี้

ประเด็นสำคัญคือเกลียดทักษิณนั่นแหละ

แถมคนพูด คนนึงก็ตั้งพรรคใหม่  อีกคนก็ร่วมลงชื่อ ม. 7  อภิปรายในกลุ่ม กู้ซาก

มันจะมีประโยชน์อะไรว้า 5555555555555555
บันทึกการเข้า
ppl
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 72



« ตอบ #2 เมื่อ: 04-05-2006, 12:27 »

ที่คุณ อะไรว้า ตอบมาก็น่าสนใจหลายอย่าง
ที่เค้าประชุมกันก็น่าสนใจหลายอย่าง
เพราะฉะนั้นถึงต้องมีการสมานฉันท์
ร่วมช่วยกันแก้ปัญหามีอะไรดีๆก็ช่วยกันไปครับ
บันทึกการเข้า

มันเป็นลิขิตสวรรค์
แม่นกฮูก
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 179


« ตอบ #3 เมื่อ: 04-05-2006, 14:19 »

ไม่ว่าจะเป็นระบอบทักษิณ ระบอบมาร์ค ม.7 เราก็ต้องทำการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าเราละเลยเมื่อไหร่ รับรองว่า ทันจะกลับมาแน่นอนไอ้ระบอบทั้งหลาย หรือการคอร์รัปชั่น โกงกินบ้านเมือง

สื่อมวลชนก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา จะให้ดีนะสื่อทีวีเนี่ยสำคัญเลยรายการอย่างคุณสนธิในฟรีทีวี หาไม่มีเลย ประชาชนก็หูหนวกตาบอดกันหมด
บันทึกการเข้า
ka-rab
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 59


รักการ์ตูนแค่ไหน ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเมือง


« ตอบ #4 เมื่อ: 04-05-2006, 21:07 »

ผมคิดว่านอกจากสื่อมวลชนแล้ว ต้องมีคนกลางที่ไม่จำเป็นต้องจบปริญาสูงๆ แต่ให้เกษตรและชาวนานักศึกษาทั่วไปมีโอกาสเข้าร่วมจะเหมาะกว่าครับ เพราะเขาคือคนกลุ่มหญ่ที่เลือกนักการเมือง

บันทึกการเข้า

สมาชิกเสรีไทย#232 เด็กใหม่ผู้ฝักใฝ่ความจริง

รักการ์ตูนมากแค่ไหน ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเมือง
GN-001 Exia
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 809


Celestial Being...


« ตอบ #5 เมื่อ: 04-05-2006, 22:17 »

ไล่ทักษิณแล้ว กลับมามองปัญหารากหญ้าอย่างจริงจังด้วยนะครับ ต้องยอมรับอย่างนึงว่า ไทยรักไทยเป็นพรรคแรกที่เห็นหัวรากหญ้า(ถึงจะหลอกใช้ก็เถอะ) รัฐบาลชุดก่อนๆไม่เคยให้รากหญ้ามามีส่วนร่วมในการเมืองเลยนะครับ ก็ไม่น่าสงสัยว่าทำไมรากหญ้าถึงรักทักษิณ เพราะฉะนั้นการให้ความรู้การเอาใจใส่รากหญ้าเพื่อยกระดับของคนให้เป็นคนระดับเดียวกันทั้งหมดผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ไม่มีรากหญ้า ชั้นกลาง ชั้นสูง คนรากหญ้าจะได้ไม่ถูกนักการเมืองเลวๆหลอกแดกเอาเสียงอีก ไม่งั้นก็วนอยู่ที่เดิมพายเรือในอ่าง
บันทึกการเข้า


พวกที่เอาคำว่า "เสรีภาพ" มาบังหน้าเพื่อเบียดเบียนคนอื่นนี่มันเลวที่สุด
หน้า: [1]
    กระโดดไป: