ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
16-01-2025, 07:44
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  อย่าพยายามสร้างความกดดัน จนนำไปสู่การพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกหลักนิติธรรม.... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
อย่าพยายามสร้างความกดดัน จนนำไปสู่การพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกหลักนิติธรรม....  (อ่าน 1379 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 25-05-2007, 23:58 »

สสร.แนะศาลสนองรับพระราชดำรัสในหลวง-จวก“76 นักวิชาการ”ไม่เข้าใจแก่นแท้ รธน.50
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2550 21:34 น.

 
  “รู้ทันประเทศ”สนองรับพระราชดำรัสในหลวง เตือนให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้ความรอบคอบ เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ ตัดสินตามหลักการที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันอัดยับ “76 นักวิชาการ”คว่ำร่าง รธน.ระบุไม่เข้าใจแก่นแท้และวัตถุประสงค์ที่แท้จริง เผยมุ่งหวังเห็นการเขียน รธน.บนซากศพของประชาชนเพียงเท่านั้น
       
       รายการรู้ทันประเทศไทย ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี คืนวันที่ 25 พฤษภาคม ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้สนทนากับ นายวิชา มหาคุณ และ นายปกรณ์ ปรียากร สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มีนายสันติสุข มะโรงศรี เป็นผู้ดำเนินรายการ
       
       โดยในช่วงแรก ดร.เจิมศักดิ์ ได้อันเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานต่อตุลาการศาลปกครองเมื่อเดือนเมษายน 2549 และเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมานำเสนออีกครั้ง โดย ดร.เจิมศักดิ์ ระบุว่า กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่พระราชทานต่อตุลาการศาลปกครอง แสดงให้เห็นความเป็นห่วงวิกฤติของบ้านเมือง ซึ่งพระองค์ท่านต้องการให้ตุลาการศาลปกครองทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และตรงไปตรงมา
       
        ทางด้านนายวิชา กล่าวในประเด็นเดียวว่า พระองค์ท่านทรงชี้แนะให้ตุลาการศาลปกครองได้เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่มีบทบาทเฉพาะในศาล กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านยังตรงกับกับสิ่งที่ตุลาการทั่วโลกออกมาเคลื่อนไหว คือ หากเกิดวิกฤติ ฝ่ายบริหารไม่สามารถทำงานได้ ฝ่ายตุลาการต้องเข้ามาแทรกแซง แต่การแทรกแซงนั้นต้องไม่เป็นการเข้าไปยุ่งยาก หรือทำลายระบบประชาธิปไตยให้ล่มสลายลง
       
       นายวิชา กล่าวต่อว่า อยากให้ทุกฝ่ายเริ่มตระหนักและคิดอย่างถี่ถ้วน พร้อมทั้งหาหนทางตามที่พระองค์ท่านได้ตรัสและทรงเตือนเอาไว้ อย่างไรก็ตามหากมองย้อนกลับพระองค์ท่านเคยมีกระแสพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครองมาแล้วครั้งหนึ่ง มันเป็นวิกฤติที่ต่อเนื่องมาจากเดือนเมษายน 2549 พระองค์ท่านอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ตนจึงอยากให้ทุกฝ่ายหันมาน้อมรับในกระแสพระราชดำรัสในสองครั้งที่ผ่านมา อย่าไปสร้างความขัดแย้งทางด้านการเมืองขนานใหญ่ ทำกันถึงขนาดมีการปลุกระดม จะล้อมศาลกลางจังหวัด มีการเดินขบวน ทั้งหมดก็มุ่งหวังที่จะเห็นการนองเลือด
       
       นายวิชา กล่าวอีกว่า วิพากษ์วิจารณ์ได้ ดังนั้นลักษณะอย่างนี้การให้ความรู้กับประชาชน และความคิดเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า นวัตกรรมในระบบตุลาการ ที่ไม่ใช่กระบอกเสียงของฝ่ายนิติบัญญัติ คือพูดง่ายๆ คือไม่สามารถผิดกั้นตัวเองได้ อย่างที่ตนเคยพูดอยู่เสมอว่า ตุลาการยึดหลักมาในอดีต
       
        นอกจากนี้ นายวิชา ยังกล่าวถึงกรณี 76 นักวิชาการลงชื่อในแถลงการณ์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า หากบอกว่าการเขียนร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้นเป็นสิ่งที่มิชอบ เราก็ต้องล้มล้างสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยึดอำนาจในอดีต ไม่มีกระบวนการอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างขนานใหญ่ หรือว่าท่านอยากให้นองเลือดแบบนั้นก่อนหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราถามตัวเองอยู่เสมอ หรือต้องการเขียนรัฐธรรมนูญบนซากศพของประชาชน
       
      นายวิชา กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ที่ผ่านมาเราเห็นมาแล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้นดี แต่กลับกันมันยังมีช่องเปิดโอกาสให้โกงกินกันอย่างมโหฬารมากที่สุด องค์กรอิสระถูกแทรกแซง เกิดสภาผัว-เมีย เราอยากเห็นภาพเช่นนั้นกลับมาใหม่หรือไม่ หรือรอเวลาให้ประชาชนคิดและต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนจึงจะมีการเขียนรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากรอให้ประชาชนคิดและริเริ่มการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะทำให้เกิดความล่าช้าในการเขียนรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน ประชาธิปไตยก็จะเดินไปอย่างช้าๆ
       
       ขณะที่ นายปกรณ์ กล่าวว่า กระแสการเคลื่อนไหวก่อนการตัดสินคดียุบพรรคของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมันมีแรงกดดันจากหลายฝ่าย ซึ่งคราวนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นเหมือนครั้งการตัดสินคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่มีการกดดันจนบางครั้งดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อการตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ตนไม่เข้าใจ ทำไมประเทศไทยจะไม่มีองค์กรที่เข้มแข็งพร้อมที่จะยืนหยัดในความถูกต้องแม้จะต้องเผชิญวิกฤติ แต่ก็พร้อมทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ถือเป็นการชี้ทางสว่าง และเป็นบทเรียนที่ชัดเจนที่สุด
       
       นายปกรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องตั้งอยู่ในความบริสุทธิ์ยุติธรรม ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามวันนี้ตนเริ่มรู้สึกแปลกใจในการทำหน้าที่ของพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองบางพรรคพยายามใช้วิธีการที่แปลกมาก หากคนที่ทำหน้าที่สูงสุดของบ้านเมืองไปโอนอ่อนหรือเอนเอียงตามแล้วนั้น ประเทศก็จะถูกนำไปสู่ภาวะวิกฤติโดยง่ายดาย
       
       นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า เราจะต้องเคารพต่อคำตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะออกมาแล้วไม่ตรงกับความต้องการของฝ่ายใด อย่าพยายามสร้างความกดดันจนนำไปสู่การพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง มันอาจทำให้ภาพของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกิดความเสียหายได้  ตนหวังว่าจะเห็นคำตัดสินที่บริสุทธิ์และยุติธรรม อีกทั้งต้องเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผิดหรือถูกอีกด้วย นอกจากนี้ก็ควรพิจารณาด้วยหลักที่เป็นธรรม ซึ่งไม่เฉพาะแต่ศาลหากระบบราชการใช้หลักความเป็นธรรม วิกฤติมันก็จะผ่อนคลายลง ดังที่เราเห็นได้จากกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ที่มีหลักคิดที่แน่วแน่และมั่นคง หากนำไปยึดถือในการทำงานก็จะมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
       
       ส่วนกรณี 76 นักวิชาการลงชื่อในแถลงการณ์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น นายปกรณ์ บอกว่า มันไม่ใช่ประเด็นและมีเหตุผลเพียงพอที่นักวิชาการเหล่านั้นจะออกมาคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในเวลานี้ ทำไมเราจะต้องมาเสียเวลากับการย้อนหลังสู่การเริ่มต้นใหม่ การเข้ามาของ สสร.ก็เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ได้เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้งนี้อยากให้นักวิชาการเหล่านี้ไปอ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ให้ดี ซึ่งก็จะรู้และทราบถึงความแตกต่างกับรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยเฉพาะเรื่องหลักสิทธิเสรีภาพ ที่ถูกเขียนลงในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างชัดเจน
       
       “ผมมีโอกาสไปร่วมรับฟังในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำให้ผมรู้ว่า การมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญในฉบับนี้มีความชัดเจนมาก โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เขียนและกำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งก็ชัดเจนจนกระทั้งบางคนมองว่า หากกฎหมายฉบับนี้ออกมา พรรคการเมืองแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นความคิดที่เข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนอย่างมาก เนื่องจากเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเท่ากันหมดแล้ว ผมอยากให้นักวิชาการ และสื่อมวลชนเดินทางเหมือนพวกเรา ต้องรับรู้และเข้าใจรัฐธรรมนูญให้มากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้”นายปกรณ์ กล่าว

 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000060544



หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคดี"ซุกหุ้นI"ของทักษิณด้วยคะแนน (4+4):7...
เราได้รับฟังการให้ปากคำของอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะ"พยาน"ในคดีหนึ่งว่า
เขาวินิจฉัยตามการกดดันและเกรงอันตรายจะได้รับจาก"ม๊อบทักษิณ" หน้าที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ.....

เขาเป็นหนึ่งในเสียงข้างมากที่ตัดสินว่า "ทักษิณไม่ได้ซุกหุ้น"...... Exclamation

 
 
 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2007, 00:04 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #1 เมื่อ: 26-05-2007, 08:51 »

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=128461&NewsType=1&Template=1

อ้างถึง
"อักขราทร" ยึดกระแสรับสั่ง

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด และรองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ถึงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า กระแสพระราชดำรัสไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวทางการวินิจฉัย แต่ทำให้เราต้องมีความละเอียดรอบ คอบและชัดเจน อย่างที่พระองค์ตรัสว่าต้องให้คนที่ไม่รู้สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นคำพิพากษาต้องมีความชัดเจน อธิบายเป็นที่ เข้าใจได้โดยตุลาการรัฐธรรมนูญจะต้องตอบทุกประเด็นปัญหารวมถึงเรื่องของการเพิกถอนสิทธิ 5 ปีด้วย ส่วนการแก้ปัญหาความวุ่นวายเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ต้องดูแล ส่วนเรายึดความเป็นธรรมเป็นหลัก

รองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า แนวทางจะมีการพบปะกันจนถึงวันที่ 30 พ.ค. โดยเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็หวังแต่ เพียงว่าทุกคนจะเข้าใจ และเชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเราคิดว่าเราทำหน้าที่ด้วยความสุจริตซื่อตรงเป็นไปโดยหลักกฎหมาย

แย้มลงมติเช้าก่อนแถลงบ่าย

ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวต่อว่า การวินิจฉัยคดียุบพรรคมีอยู่หลักเดียวคือหลักนิติศาสตร์ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคนมักชอบพูดกัน ว่าให้เอาหลักรัฐศาสตร์มานั้นก็เพราะไม่รู้ว่าในหลักนิติศาสตร์ได้ครอบคลุมหลักทั้งหลายทั้งปวงอยู่แล้ว เมื่อเราใช้กฎหมายเป็นและถูกต้องมันก็ คือหลักนิติศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งหลักนิติศาสตร์ไม่ได้หมายความว่าตีความตามตัวหนังสือ แต่มีความหมายในเจตนารมณ์ของกฎหมาย คนไม่เข้าใจก็เลยไปใช้หลักรัฐศาสตร์มารวมด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะไม่มีใครมาล็อบบี้ตุลาการฯ ได้ ถ้าหากใครยังทำอะไรที่ไม่ถูกต้องตนคิดว่าคนนั้นคงไม่ใช่คนไทย

"การลงมติอาจจะเป็นวันที่ 30 พ.ค. ช่วงเช้าก็ได้ ทุกอย่างต้องเสร็จให้ทันก่อนเวลานัดฟังคำวินิจฉัย เพราะเรากลัวในเรื่องการรั่วไหล หรือใครไปดึงอะไรออกมา แล้วมีใครทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่าผลการวินิจฉัยรั่ว ฉะนั้นถ้ามีคนใดคนหนึ่งไปกระทำเหมือนว่ารู้มาก่อน ตุลาการก็จะเสียหายซึ่งเป็นสิ่งที่เรากลัวที่สุด"



อ้างถึง
"มีชัย"เชื่อสถานการณ์จะดีขึ้น

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ให้สัมภาษณ์ถึงพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในเรื่องคดียุบพรรคว่า ตนฟังแล้วสรุปได้ 5 ประการ คือ
1.สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทรงเดือดร้อนพระทัยอีกครั้ง
2.เรื่องที่กำลังจะมีการตัดสินในเร็ว ๆ นี้เป็นเรื่องสำคัญและจะมีผลกระทบต่อบ้านเมือง อีกทั้งย่อมมีความคิดเห็นหลากหลายแตกต่างกันไป ต่างคนต่างคิด เพราะฉะนั้นไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไรก็จะมีคนที่ไม่เห็นด้วย
3.ทางที่ดีที่สุด คือ ศาลต้องตัดสินด้วยความกล้าหาญและความสุจริต
4.เมื่อตัดสินแล้วต้องใช้สติปัญญาของทุกคนอธิบายให้ประชาชนทุกระดับเข้าใจในผลการตัดสิน และ
5.ทรงอวยพรให้ปลอดภัยและโชคดี

นี่เป็นความเห็นของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ซึ่งควรรับฟังไว้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามความเห็นนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของทั้งสองท่าน ซึ่งไม่ค่อยจะถูกใจพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเท่าไหร่ โดยเฉพาะลิ่วล้อที่พยายามตีความพระราชดำรัสตามใจตน ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน (ราวกับหวั่นใจหรือแน่ใจอยู่แล้วว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไร โจรมันก็รู้อนาคตตัวเองได้นะคะ ว่าผิดแหงๆ  )

โดยเฉพาะความเห็นของนาย มีชัย ในข้อ 3 -5 อ่านแล้วหนาวไปถึงลอนดอนเลยค่ะ 
บันทึกการเข้า
Nai_puan
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 231


« ตอบ #2 เมื่อ: 26-05-2007, 10:04 »

ที่มอบหมายในครั้งก่อน

ทำซะ"ยุ่งหมด"  จนบ้านเมืองเกือบล่มจม

ไม่รู้ว่า ในครั้งนี้  จะตีความผิดๆอีกไหม?


+++++++++++


ขอพูดอย่างนี้ ท่านไปตีความเอาเอง ผู้พิพากษาศาลอะไรก็ตาม ต้องตีความแล้วต้องตีความให้ถูก ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองพัง

ก็เคยบอกกับท่านประธานว่า ครั้งก่อนที่มีเรื่องเกิดขึ้น ตอนที่ข้าพเจ้าพูดที่หัวหินเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ก็เป็นความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น

แล้วท่านก็เอาความรับผิดชอบใส่ในตัว แล้วความรับผิดชอบนั้นก็ทำให้คนเอะเอะขึ้นมา จนกระทั่งเกิดเรื่องราวต่างๆ

ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ก็มีเหตุมีผล ก็มีเหตุแล้ว ก็มีผลขึ้นมา ยุ่งหมด


อีกไม่กี่วันก็ยุ่งต่อไป ท่านเตรียมตัวดีๆ ที่จะให้พร้อมที่จะมีการวิจารณ์บ้าง ไม่ใช่ในฐานะศาล

ในฐานะส่วนตัว หรือในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ในฐานะผู้มีความรู้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้บ้านเมืองล่มจมอย่างทุกครั้ง

แล้วบอกว่าเราไม่ทำอะไร เราไม่พยายามแก้ไข จะล่มจม เราก็เกือบล่มจม ตอนนี้ก็เกือบจะล่มจมต่อไป
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 26-05-2007, 14:04 »

ที่มอบหมายในครั้งก่อน

ทำซะ"ยุ่งหมด"  จนบ้านเมืองเกือบล่มจม

ไม่รู้ว่า ในครั้งนี้  จะตีความผิดๆอีกไหม?


+++++++++++


ขอพูดอย่างนี้ ท่านไปตีความเอาเอง ผู้พิพากษาศาลอะไรก็ตาม ต้องตีความแล้วต้องตีความให้ถูก ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองพัง

ก็เคยบอกกับท่านประธานว่า ครั้งก่อนที่มีเรื่องเกิดขึ้น ตอนที่ข้าพเจ้าพูดที่หัวหินเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ก็เป็นความรับผิดชอบที่เกิดขึ้น

แล้วท่านก็เอาความรับผิดชอบใส่ในตัว แล้วความรับผิดชอบนั้นก็ทำให้คนเอะเอะขึ้นมา จนกระทั่งเกิดเรื่องราวต่างๆ

ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ก็มีเหตุมีผล ก็มีเหตุแล้ว ก็มีผลขึ้นมา ยุ่งหมด


อีกไม่กี่วันก็ยุ่งต่อไป ท่านเตรียมตัวดีๆ ที่จะให้พร้อมที่จะมีการวิจารณ์บ้าง ไม่ใช่ในฐานะศาล

ในฐานะส่วนตัว หรือในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ในฐานะผู้มีความรู้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้บ้านเมืองล่มจมอย่างทุกครั้ง

แล้วบอกว่าเราไม่ทำอะไร เราไม่พยายามแก้ไข จะล่มจม เราก็เกือบล่มจม ตอนนี้ก็เกือบจะล่มจมต่อไป


คุณตีความตามใจของคุณ ซึ่งคนอื่นเขาก็ตีความตามใจของเขา ยากที่จะบอกได้ว่าใครผิดใครถูก แต่ตัวอย่างการตีความที่ยกมาให้ดูแล้วนั้น เป็นการตีความของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองสองคน ซึ่งต้องพิจารณาว่าทำไมท่านตีความอย่างนั้น ไม่แนะนำให้เชื่อความคิดของผูใหญ่สองท่านนั้น เท่าๆกับที่ไม่แนะนำให้คุณเชื่อในการตีความของคุณเอง

แต่ผลของการตีความทั้งหมด จะเห็นกันในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ คุณจะได้เห็นคาตา

แต่ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร สัมภเวสีในไทยรักไทย ก็แตกฉานซ่านเซ็น ไปเตรียมตั้งพรรคใหม่กันหมดแล้วค่ะ 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #4 เมื่อ: 27-05-2007, 00:15 »

เมื่อได้ทราบผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
คนที่คาดเดาความหมายของพระราชดำรัส จะรู้ตัวเองว่า คาดเดาหรือเข้าใจถูกหรือไม่.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #5 เมื่อ: 27-05-2007, 17:43 »

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการตั้งพีทีวี ว่า ตนชี้แจงแล้วว่าพรรคไทยรักไทย ไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ สื่อมวลชนควรเป็นอิสระและเป็นกลางทางการเมือง เราไม่เกี่ยวข้อง

  ส่วนคนที่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยไปดำเนินการนั้น รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า  เราก็ให้อิสระในการประกอบอาชีพ เราจะไปห้ามเขาไม่ได้ แต่เราต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า เราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสถานีนี้เพื่อไทยรักไทย และตนได้ยินว่า ผู้ที่จัดตั้งสถานีจะลาออกจากตำแหน่งในพรรคภายใน 2-3 วันนี้ 

 
ที่มาจากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก 2007-02-20 21:25:34



http://webboard.mthai.com/16/2007-02-20/303614.html



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #6 เมื่อ: 31-05-2007, 00:08 »

'การตัดสินคดียุบพรรคเป็นการเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยให้สังคม'
 
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 17:43:00
 
 
" ผลการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองครั้งนี้ นำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดพื้นที่กว้างขึ้นให้กับสังคม และมีผลให้คนมีสามัญสำนึกทางการเมืองสูงขึ้น"ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจมี 2 ประเด็น คือ  1. การดึงปัญหาการเมืองเข้าสู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง เป็นนิมิตรหมายอันดี ที่มีผลให้คนมีสำนึกเกี่ยวข้องกับการเมืองสูงขึ้น แม้กระบวนการครั้งนี้จะมาจากการรัฐประหารก็ตาม ถือเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง

ส่วนประเด็นที่ 2. กระบวนการครั้งนี้ ทำให้พื้นที่ทางการเมืองจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญไม่มีทางที่จะปกปิดหรืองุบงิบทำได้อีก ปรากฎการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงกระบวนการที่นำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดพื้นที่กว้างขึ้นให้กับสังคม
 
 
http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/30/WW74_7403_news.php?newsid=75373
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: