ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-11-2024, 05:48
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ความขลาดเขลา และกลัวของ สสร.ที่ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  (อ่าน 2243 ครั้ง)
ความจริงพุทธศาสนา
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 01-07-2007, 00:18 »

การที่ สสร.ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น เนื่องจากว่า กลัวว่าจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพ กลัวว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก กลัวว่าจะทำให้ศาสนาอืี่นไม่พอใจ หรืออาจกลัว คมช.ก็เป็นไปได้  แต่หลักความจริงนั้น การบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น มิได้หมายให้มีการใช้บังคับกับศาสนาอื่นให้มาปฏิบัติดังเช่นพุทธ หรือจะบังคับให้คนในสังคมต้องปฏิบัติตามศีล 5 ก็หาไม่ ซึ่งหากแต่เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ หากใครที่จะเข้ามาในประเทศก็ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมประเพณี หรือกฎ ข้อห้ามให้ดี เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเหมือนเราเดินทางไปตะวันออกกลาง ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรมให้ถูกต้อง แต่หากจะเอาความผิดที่คนกระทำความผิดก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาพุทธ เพราะความผิดทางศาสนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเพียงแต่นามธรรม แต่สิ่งที่จะเอาความผิดได้ก็คือ กฎหมายของประเทศ เท่านั้น ซึ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และไม่เกี่ยวว่าจะมีศาสนาพุทธเข้ามาทำการพิจารณาโทษด้วย ฉะนั้นการบรรจุพุทธศาสนา จึงมิใช่จะมาขลาดเขลากับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่เป็นนามธรรมที่เห็นได้เท่านั้นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นความสงบสุขเฉพาะตัว   จะขอกล่าวถึงอายุของพุทธศาสนาไว้ว่า
 สัทธรรมอันตรธาน อายุพุทธศาสนา 5000 ปี
มีอยู่ 3 ประการ คือ อธิคมอันตรธาน คือผู้บรรลุธรรม 1 ปฏิปัตติอันตรธาน คือผู้ปฏิบัติธรรม 1 ลิงคอันตรธาน คือเพศปฏิบัติธรรม 1 เมื่อเหตุ 3 ประการนี้เกิดขึ้นเมื่อใด พุทธศาสนาจักสิ้นไปเมื่อนั้น สำหรับการบรรลุธรรมในช่วง 5000 ปี มีดังนี้
พันปีแรก จักมี พระอรหันต์ 3 ประเภท คือ ปฏิสัมภิทา อภิญญา และ วิชชา เมื่อพ้้นแล้วจักไม่เกิดขึ้น
พันปีที่สอง จักมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสก เมื่อพ้้นแล้วจักไม่เกิดขึ้น
พันปีที่สาม ยังมีำพระอนาคามี
พันปีที่สี่ ยังมีพระสกทาคามี
พันปีที่ห้า ยังมีพระโสดาบัน
เมื่อสิ้น 5000 ปี แล้ว อธิคมสัทธรรมก็สิ้นไป พระปริยัติธรรมก็หมดไปทีละน้อย ลงท้ายก็เหลือแต่เพศภิกษุ ที่มีผ้าเหลือน้อยห้อยหู ทำไร่ไถนา เลี้ยงบุตรภรรยา แล้วลงท้ายก็หมดผ้าเหลือน้อยห้อยหู แต่เมื่อใดยังมีผู้จำพระพุทธวจนะได้เพียง 1 คาถา อันกำหนดด้วยอักขระ 32 ตัว เมื่อนั้นก็ยังเรียกว่า พระปริยัติศาสนายังอยู่ เมื่อไม่มีมนุษย์ใดในโลก จะจำพระพุทธวจนะเพียงคาถาเดียวได้ เมื่อนั้นแหละจึงเรียกว่า หมดพระปริยัติศาสนาจริง ๆ และมีกล่าวไว้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนาครบ 5 พันปีแล้ว พระอัฏฐิธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งอยู่ในที่ต่าง ๆ กันจะเสด็จมารวมกันที่ไม้ศรีมหาโพธิ์ แล้วปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าขึ้น ทรงแสดงธรรมแก่เทพยดาอยู่ตลอด 7 ทิวาราตรี เทพยดา หรือยักษ์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ผู้ใดเป็นธาตุเวไนย ผู้นั้นก็จักได้สำเร็จมรรคผล นิพพาน ในคราวนั้น แล้วจวนรุ่งอรุณในคืนที่ 7 พระอัฎฐิธาตุที่ปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นนั้น ก็จะมีเพลิงธาตุเกิดขึ้นถวายพระเพลิงเผาให้ย่อยยับไปไม่มีเหลือ เมื่อนั้นแหละเรียกว่าธาตุอันตรธาน ดังนีี้
ในแง่คิด ไม่ว่าพุทธศาสนาจะถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ก็ตาม
ความสิ้นไปแห่งพุทธศาสนาในไทยก็จักถดถ้อยไปตามกาลเวลาเท่านั้น และจะกลับเข้าสู่ชมภูทวีป คือประเทศอินเดียในเบี้องปลายอยู่ดี เหล่าผูใด้เป็นพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน หรือเป็นพุทธในพิธีเมื่อตายไปก็จักรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ปกป้องพุทธศาสนาไว้ได้ในเมื่อมี
อำนาจหน้าที่ หรือความเป็นไปได้สูงกว่าผู้อื่น เมื่อพระยายมราชถามท่านว่า ผู้ที่ห่มผ้าเหลือโกนผม คิ้ว ตัดเล็บ และเป็นผู้ที่ีมองแต่เบี้องล่างไม่เกิน 4 วา เป็นผู้กล่าวแต่ความจริงให้ผู้อื่นรู้ เรียกว่าอะไร เหล่าผู้นั้นไม่มีแม้จะนึกได้ ก็เพราะเหตุแห่งตนมีทิฎฐิเกินเป็นเกราะคุ้มกันอย่างหนาแน่น ได้แ่ต่เพียงบอกว่า นั้นเป็นผู้ที่ขอทานเลี้ยงชีพหามีหลักแหล่งไม่ พระยายมราชได้แต่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า นี้หรือผู้ที่หิวกระหายน้ำที่มีร่างกายอันสกปรกเมื่อเจอสระใหญ่อันมีน้ำสอาดต่างมุ่งตรงยังสระ พร้อมดื่มกิน แต่หาชำระร่างกายให้สดชื่นไม่ ได้แต่เอาเท้ากวนน้ำให้ขุ้น เพื่อที่จะไม่ให้ผู้อื่นได้มาดื่มกินอีก ก่อนขึ้นจากสระยังถ่ายมูลลงในสระ พร้อมกับเด็ดทำลายดอกบัวแล้วจึงขึ้นจากสระ พวกนี้หาควรให้อยู่ในพุทธศาสนาไม่ ได้แต่มืดมา แล้วก็มืดไป เขาเหล่านี้ถึงจะมีอำนาจหน้าที่มากก็ไม่ควรให้เรียกว่าชาวพุทธเลย
เพราะมิได้ป้องกันศาสนาของพระโคดมเลยแม้แต่น้อย
มีแต่ความขลาดเขลา เหล่าเทพยดา ภูตต่าง ๆ ที่เป็นญาติ เห็นแล้วก็จะรู้สึกสังเวชยิ่งนัก กรรมที่ทำไว้ก็จักมาให้ผลโดยเร็วพลันในเมื่อไม่มีเกราะคุ้มกันแล้ว เปรียบเหมือน ลูกธนูที่ทำจากเหล็กกล้า ย่อมวิ่งทะลวงร่างกายของผู้ทีี่่สวมใส่แต่เสี้อโกเชา การเป็นอยู่ในโลกนี้ หามีอรรถประโยชน์ไม่ แม้แผ่นดินก็จักลุกเป็นไฟ เพราะการกระทำของเขาเหล่านี้
พวกเขาเหล่านี้ ย่อมเป็นผู้ที่ห่างไกลจากพุทธศาสนามากเท่านั้น การเป็นอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลัทธิใดในโลกนี้ เป็นไปเพื่อยังชีวิตผู้อื่นให้ตกไป เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นเพื่อกิเลสตัณหา ลัทธินั้นหาใช่ศาสนาไม่ ศาสนาใดในโลกนี้ เป็นไปเื่พื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อจริงอันประเสริฐ เป็นไปเพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานนั้นไม่มี นอกจากพุทธศาสนาเท่านั้น"
เหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย จงฟัง ในโลกนี้ระหว่างคนโง่กับคนฉลาดใครมีมากกว่ากัน
หากแม้มีแ่ต่คนฉลาดก็คงต้องมีแต่ความสงบสุข
หากแม้มีแต่คนโง่ก็คงต้องมีแต่ความวุ้นวายไม่รู้จบ เหล่านรชนผู้เป็นอิสระจากมารได้แต่่ปลงกับเขาเหล่านั้น
เพราะอีกไม่นานชีวิตเขาเหล่านั้นก็จะสิ้นแล้ว ด้วยกรรมที่เขากระทำไว้
พุทธศาสนามิได้ต้องการอะไรเลยจากผู้ที่นับถือ แต่ผู้ที่นับถือเท่านั้นที่ต้องการสิ่งตอบแทนจากพุทธศาสนา
การป้องกันหรือการอุ้มชูพุทธศาสนาก็ถือว่าเป้นการสร้างบุญอัน
ยิ่งใหญ่กว่าการให้ทานด้วยวัตถุทั้งปวง ผลที่ได้ก็คือ เป็นผู้ที่ผิวพรรณดังสีทอง เป็นผู้ไม่มีโรค เป็นผู้ที่มีร่างกายสมส่วน เป็นผู้ไม่มีกลิ่นปากอันเหม็นเน่า เป็นผู้ที่ผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ เป็นผู้ที่เทวดา ภูต ผี ปิศาจคุ้มครอง เพียงแต่พูดคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นที่พึ่งของเรา เท่านั้น
หากแต่เป็นพระภิกษุผู้ประกาศศาสนา ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม หรือบิดเบือนหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ภิกษุผู้นั้นจะเป็นเหมือนปลาสีทองในแม่น้ำคงคง ที่มีเกล็ดสีทอง แต่มีกลิ่นปากนั้นเหม็นหาที่เปรียบมิได้ ต้องทรมานหลายภพหลายชาติไป

ขออนุโมทนา
ขอเป็นพุทธบุตรทุกชาติไป
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #1 เมื่อ: 01-07-2007, 06:40 »

ดีแล้วที่ไม่บรรจุ
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #2 เมื่อ: 01-07-2007, 06:55 »

อ่านแล้วช่างเป็นพวกที่โง่งมงายเสียนี่กระไร เริ่มต้อง ก็อ้างเรื่องไม่บังคับเรื่องศิล 5
ประเด็นนี้ เขียนมาได้ยังไงกัน

- หลักของการเทศนาครั้งแรก กับครั้งสุดท้าย มีเรื่องศึล 5 หรือ?
- ประเทศไทย ส่งออกเนื้อสัตว์มากมาย ถ้าเป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
จะมีน้ำหน้า ส่งเนื้อสัตว์ไปต่างประเทศหรือ?

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ศาสนาพุทธจคงอยู่ด้วยการบัญญัติเอาไว้เป็นตัวหนังสือหรือ?
บ้าไปแล้ว ศาสนาพุทธจะคงอยู่หรือไม่ อยู่ที่พุทธบริษัท ๔ ว่าจะรักษาธรรมวินัยไว้
ได้หรือไม่

พระไตรปิฎก อ่านครับแล้วหรือยัง ปฎิบัติแล้วหรือยัง อย่าทำศาสนาพุทธ เหมือนกฎหมาย
หมวกกันน๊อค ที่บัญญัติไว้ แต่ไม่ค่อยมีคนปฎิบัติเลย

วัดทั้งหลาย มัวเมา เอาแต่ผลประโยชน์ ปั๊มจตุคาม ขายมากมาย ไม่คิดจะทำอะไรกับ
วัดหล่านั้น กลับมาคิดเรื่องโง่ๆ จะให้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #3 เมื่อ: 01-07-2007, 07:22 »

มูลนิธิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ยกย่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นตัวอย่างชาวพุทธที่ดี เชิญชวนคนไทยยึดพระองค์เป็นแบบอย่าง พร้อมอยากให้ประชาชนศรัทธาองค์จตุคามรามเทพ แยกแยะความศรัทธา กับความงมงาย ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนานานาชาติเรื่อง พระราชกรณีย์กิจด้านพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดโดยมูลนิธิมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก และกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ว่า ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ 61 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ขณะเดียวกัน ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย์กิจ โดยยึดหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ ในการบริหารราชการแผ่นดิน การสัมมนาครั้งนี้จึงเป็นการเผยแพร่ ให้ชาวไทยชาวต่างชาติ เห็นข้อเท็จจริงว่า พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาของการดำเนินชีวิตที่ดี ถ้าปฏิบัติตามจะมีความสุข เปรียบเสมือนการดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และจากกระแสความนิยมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพที่แพร่กระจายไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะการใช้จตุคามเป็นสิ่งจูงใจในการหาเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆนั้น คุณหญิงไขศรี กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแลการเผยแพร่พระพุทธศาสนา รู้สึกเป็นห่วง ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ที่ประชาชนจำนวนมากมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีคนอีกจำนวนมากไม่ได้แยกแยะระหว่างความเชื่อ ความศรัทธา กับความงมงาย โดยห่วงว่าคนกลุ่มนี้อาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจะเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยได้ จึงอยากให้คนไทยระลึกถึงจุดนี้ด้วย ทั้งนี้จะหารือกับ นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เกี่ยวกับการจัดทำสติ๊กเกอร์รณรงค์ให้คนไทยมีสติโดยใช้คติธรรมอย่าหลงบูชาจตุคามอย่างงมงาย โดยจะทำสติ๊กเกอร์ข้อความเกี่ยวกับคติธรรมทางพุทธศาสนาแจกจ่ายรณรงค์ให้ประชาชนติดท้ายรถ
http://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45403

 
บันทึกการเข้า
วูปี
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 01-07-2007, 07:42 »

ไปเปรียบเทียบกับตะวันออกกลางคงไม่ใช่การเปรียบเทียบที่ถูกต้อง อิสลามทางตะวันออกกลางนั้นเขาครอบคลุมวิถีทางทางสังคม แต่ของไทยนั้นไม่ใช่

จริงๆควรไปดูประเทศอิสลามอื่นๆ หรือประเทศตะวันตกอย่างอังกฤษที่มีคนนับถืออิสลามไม่น้อยว่ามีวิถีทางสังคมอย่างไร แล้วจะเข้าใจว่าศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้แม้จะไม่มีบทบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติ

....
และจากกระแสความนิยมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพที่แพร่กระจายไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะการใช้จตุคามเป็นสิ่งจูงใจในการหาเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆนั้น คุณหญิงไขศรี กล่าวว่า ในฐานะที่ดูแลการเผยแพร่พระพุทธศาสนา รู้สึกเป็นห่วง ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ ที่ประชาชนจำนวนมากมีความเชื่อมั่น และศรัทธาในองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีคนอีกจำนวนมากไม่ได้แยกแยะระหว่างความเชื่อ ความศรัทธา กับความงมงาย โดยห่วงว่าคนกลุ่มนี้อาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนักการเมืองที่ฉวยโอกาสนำความศรัทธามาเป็นเครื่องมือแสวงหาคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจะเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนไทยได้ จึงอยากให้คนไทยระลึกถึงจุดนี้ด้วย ทั้งนี้จะหารือกับ นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา เกี่ยวกับการจัดทำสติ๊กเกอร์รณรงค์ให้คนไทยมีสติโดยใช้คติธรรมอย่าหลงบูชาจตุคามอย่างงมงาย โดยจะทำสติ๊กเกอร์ข้อความเกี่ยวกับคติธรรมทางพุทธศาสนาแจกจ่ายรณรงค์ให้ประชาชนติดท้ายรถ
..

ส่วนเรื่องคุณหญิงนั่น ผมว่าให้เขาเอาคำพูดนี้ไปบอกกับพวกคมช.หรือรัฐบาลีที่ไปทำพิธีจตุคามที่ผ่านมาแล้วกัน
บันทึกการเข้า
ปอดแหก
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 01-07-2007, 08:16 »

ผู้ช่วยด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา เป็นประธานทำพิธีเทวาภิเษก บรวงสรวงจตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคลองค์ราชัน ซึ่งจัดสร้างโดยราชนิกุล "กิติยากร"

นายนวัต สุขาวรา ผู้ช่วยด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ เป็นประธานและทำพิธีทางศาสนาพราหมณ์ บนเรือตรวจการณ์ศุลกากร ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณรอยต่อระหว่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย กับจังหวัดสตูล โดยทำพิธีเทวาภิเษก บวงสรวงเทพยดาทะเล พิธีบวงสรวง จตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคล องค์ราชัน วาระที่ 7 จากทั้งหมด 9 วาระ สำหรับจตุคามรามเทพรุ่น 9 มงคลองค์ราชัน จัดสร้างโดยราชสกุล กิติยากร มีหม่อมราชวงศ์ สมลาภ กิติยากร เลขานุการในพระองค์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างิ เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อช่วยเหลือข้าราชการ พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และสมทบทุนมูลนิธิ
ราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อพึ่ง(พา)ยามยาก ในโครงการคืนชีพพ่อ แม่ แก่ลูกน้อยที่ปลอดเอดส์ในสภากาชาดไทยhttp://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45833

 
บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 01-07-2007, 11:40 »

ผู้ช่วยด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา เป็นประธานทำพิธีเทวาภิเษก บรวงสรวงจตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคลองค์ราชัน ซึ่งจัดสร้างโดยราชนิกุล "กิติยากร"

นายนวัต สุขาวรา ผู้ช่วยด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ เป็นประธานและทำพิธีทางศาสนาพราหมณ์ บนเรือตรวจการณ์ศุลกากร ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณรอยต่อระหว่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย กับจังหวัดสตูล โดยทำพิธีเทวาภิเษก บวงสรวงเทพยดาทะเล พิธีบวงสรวง จตุคามรามเทพ รุ่น 9 มงคล องค์ราชัน วาระที่ 7 จากทั้งหมด 9 วาระ สำหรับจตุคามรามเทพรุ่น 9 มงคลองค์ราชัน จัดสร้างโดยราชสกุล กิติยากร มีหม่อมราชวงศ์ สมลาภ กิติยากร เลขานุการในพระองค์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างิ เพื่อทูลเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อช่วยเหลือข้าราชการ พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และสมทบทุนมูลนิธิ
ราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมทบทุนมูลนิธิอาสาเพื่อพึ่ง(พา)ยามยาก ในโครงการคืนชีพพ่อ แม่ แก่ลูกน้อยที่ปลอดเอดส์ในสภากาชาดไทยhttp://www.innnews.co.th/Breaknews.php?nid=45833

 


 


จตุคาม พระพรหม พิฆเนศ ฯลฯ ไม่ใช่ความเชื่อทางพุทธ หยุดเอาที่สาธารณะมาสร้างศาลพระภูมิได้แล้ว...มอมเมาตนเองไม่พอ มอมเมาคนไทยด้วยความเชื่อผีสางเทวดา..

หมดดู108จำพวก สังคมไทยจึงไร้เหตุผลไร้สติ..ขัดกับหลักคำสอนพุทธศาสนาโดยตรง..
บันทึกการเข้า

พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #7 เมื่อ: 01-07-2007, 14:04 »

อ้างถึง
การที่ สสร.ไม่บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น เนื่องจากว่า กลัวว่าจะกระทบกับสิทธิเสรีภาพ กลัวว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก กลัวว่าจะทำให้ศาสนาอืี่นไม่พอใจ หรืออาจกลัว คมช.ก็เป็นไปได้ 


- อันนี้คุณเดาและมั่วเอาเอง ไม่เป็นไปตามหลักกาลามสูตร ที่ให้ยึดเหตุผลในการพิจารณาเลย

อ้างถึง
แต่หลักความจริงนั้น การบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้น มิได้หมายให้มีการใช้บังคับกับศาสนาอื่นให้มาปฏิบัติดังเช่นพุทธ หรือจะบังคับให้คนในสังคมต้องปฏิบัติตามศีล 5 ก็หาไม่ ซึ่งหากแต่เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

- การประกาศให้โลกรู้ว่า เรามีอะไรเป็นของประจำชาติของเรานั้น ไม่จำเป็นต้องประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญ เรามีสัตว์ประจำชาติ ดอกไม้ประจำชาติ เพลงชาติ ฯลฯ ไม่เห็นได้เคยประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญที่ไหน ดังนั้นการจะบรรจุถ้อยคำระบุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นหลักความจริงที่จะประกาศให้โลกรู้แต่อย่างใด

อ้างถึง
หากใครที่จะเข้ามาในประเทศก็ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมประเพณี หรือกฎ ข้อห้ามให้ดี เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดเหมือนเราเดินทางไปตะวันออกกลาง ก็ต้องศึกษาวัฒนธรรมให้ถูกต้อง

- ถึงจะประกาศไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ฝรั่งขี้ยา จีนแก๊งค์ลูกหมู แขกแก๊งค์ลูกแพะ ก็คงไม่ศึกษาวัฒนธรรมประเพณีอะไรหรอกค่ะ พัฒน์พงษ์ นานา ข้าวสาร พัทยา ก็คงไม่ถือศีลข้อไหนๆหรอกค่ะ ส่วนเรื่องจะเดินทางไปตะวันออกกลางน้น ถ้าไปกับทัวร์ เขาก็จะบอกให้ว่าห้ามนำอะไรเข้าไปบ้าง ขืนนำเข้าไปก็โดนดีเองนั่นแหละค่ะ

อ้างถึง
แต่หากจะเอาความผิดที่คนกระทำความผิดก็คงไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหลักศาสนาพุทธ เพราะความผิดทางศาสนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเพียงแต่นามธรรม


- อ้าว แล้วเราบรรจุพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญแบบนามธรรมไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเขียนให้เป้นรูปธรรมด้วย รูจักนามธรรมกับรูปธรรม ก็น่าจะแยกแยะได้นี่

อ้างถึง
แต่สิ่งที่จะเอาความผิดได้ก็คือ กฎหมายของประเทศ เท่านั้น ซึ่งต้องมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด และไม่เกี่ยวว่าจะมีศาสนาพุทธเข้ามาทำการพิจารณาโทษด้วย

- เออ รู้เหมือนกันแฮะ

อ้างถึง
ฉะนั้นการบรรจุพุทธศาสนา จึงมิใช่จะมาขลาดเขลากับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่เป็นนามธรรมที่เห็นได้เท่านั้นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นความสงบสุขเฉพาะตัว

- ตกลงว่า บรรจุให้เฉพาะตัว ในนามธรรม รับทราบเฉพาะตัวแล้ว อย่าก่อกวนความสงบของส่วนรวม 
บันทึกการเข้า
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 01-07-2007, 20:12 »

ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกเหรอเนี่ย

น่าเบื่อจริงๆ จขกท ไม่บรรจุไว้น่ะดีแล้ว
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #9 เมื่อ: 01-07-2007, 22:52 »

* เบื่อแล้ววว ..........  ข้อความแบบนี้  ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

   ไปดูก่อนนะว่าอะไรที่ทำให้    ศาสนา    เสื่อม

   ถึงจะเอาข้อความมาโปรโมทแค่ไหน ........... ค่ามันก็เท่ากัน   ในความเป็นจริง
 
   อยากให้คนเห็นด้วย ... ก็น่าจะไปปรับปรุงในส่วนที่   บกพร่อง  ของ  องค์กรสงฆ์

   มากกว่า ... การมาส่งข้อความแบบนี้ หรือ ไป เย้ว กันแบบที่เป็นอยู่

   เขียนมาได้แบบเนื้อหาข้างบนนี้ ... แสดงว่าไม่ใช่เด็ก

   โต แล้ว ..... ใช้กระบวนการคิดหน่อย  นะ


   
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
sootyod
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 74



« ตอบ #10 เมื่อ: 01-07-2007, 23:57 »

"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
กะอีแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวไปโผล่อยู่ในรัฐธรรมนูญ แค่เนี้ย??จะเป็นจะตาย
ถ้าไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว พระจะสึกหมดประเทศหรือ
ถ้าไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว คนดีดีเค้าจะเลิกนับถือศานาพุทธหรือเปล่า
ถ้าบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว พระจะเลิกใบ้หวย เลิกปลุกเสกของขลัง หรือเปล่า
ถ้าบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว คนจะทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจผ่องใสทุกคน ได้หรือ

แล้ว2550+35ปีที่ผ่านมามีประเทศไหนบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญบ้าง

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า
...ถ้าจะมีศาสนาไหนที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด ศาสนานั้นก็คือศาสนาพุทธ...

แค่กฏหมายฉบับนึง เปลี่ยนคนให้ดำรงตนอยู่ในกรอบพระพุทธศาสนาได้หรือ

พระราชดำรัสของในหลวง
...บ้านเมืองเรานั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...

สสร.ไม่ได้โง่/กลัวคมช. ถึงไม่บรรจุปรโยคนี้ลงไปในรัฐธรรมนูญ
แต่รู้อยู่ว่า ศาสนาเป็นสถาบันหลัก ไม่ควรแดลงมาอยู่ในกฎหมาย
และด้วยความเป็นศาสนาพุทธเอง ก็เป็นศาสนาที่ยอมรับความแตกต่าง ให้เกียรติศาสนาอื่น
จึงไม่เหมาะสม ที่จะบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ
บันทึกการเข้า

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 02-07-2007, 00:01 »

น่าเบื่ออ่ะ ประเด็นเก่าแล้วเอามาพูดอยู่ได้
ถ้าไม่มีคำว่า "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ"
จะทำให้พระสึกหมดหรือครับ
จะทำให้ใครบางคนชักดิ้นชักงอขาดใจตายหรือครับ
บันทึกการเข้า

Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 02-07-2007, 11:22 »

น่าเบื่ออ่ะ ประเด็นเก่าแล้วเอามาพูดอยู่ได้
ถ้าไม่มีคำว่า "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ"
จะทำให้พระสึกหมดหรือครับ
จะทำให้ใครบางคนชักดิ้นชักงอขาดใจตายหรือครับ


ขี้ข้าธรรมกายอาจกำลังชักดิ้นชักงอ
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
Cylonn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: 11-07-2007, 17:01 »

ถ้าบัญญัติให้มีบทลงโทษทางโลก(ติดคุกไม่ใช่จับสึกแล้วจบ)กับพระนอกรีตที่ประพฤติธรรมวินัย มัวเมาลาภยส พวกค้าวัตถุศีล พวกมอมเมานับถือผีเปรตเทวดา และ อื่นที่ไม่ใช้วิถีพุทธ  ผมสนับสนุนให้บัญญัติใว้  แต่ผมว่าไอ้พวกห่มผ้าเหลืองที่ดูเหมือนพระหน้าสภาคงจะไม่รอด
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: