การมองในแง่บวกในความคิดของผมไม่ใช่การมองอะไรดีไปซะหมด
แต่เป็นการมองอย่างครอบคลุม พิจารณาเหตุปัจจัย แล้วเลือกวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เช่น การได้รับมอบหมายงานที่ยาก
- ถ้ามองในแง่ลบอาจจะมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง หรือคิดแต่ว่างานนั้นเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จ
เมื่อทำงานนั้นด้วยความคิดเช่นนี้ งานนั้นก็จะกลายเป็นงานที่ไม่มีทางสำเร็จจริงๆ
ถึงจะมีคนมาช่วยจนสำเร็จออกมาได้ งานก็จะไม่มีคุณภาพ
เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า มันไม่มีทางออกมาดีอยู่แล้ว
เป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้งานที่ออกมาแย่ลงเรื่อยๆ
จนงานง่ายๆก็กลายเป็นนงานยากที่มีแต่ข้อผิดพลาดได้ หากใครมองเข้าข้างตัวเอง
และใช้ข้ออ้างการมองในแง่บวกเข้ามาเป็นข้อแก้ตัว ว่าทำแค่นี้ก็ดีแล้ว
ผลที่ได้ย่อมเด่นชัดออกมาเองว่า จริงๆแล้วเป็นคนที่มองในแง่ลบ
เพราะประสิทธิภาพในการทำงานลดลงนั่นเอง
- ถ้ามองในแง่บวก การได้รับมอบหมายงานที่ยาก
อาจแปลความหมายถึงการยอมรับ และผลตอบแทนที่มากขึ้น
การมองแบบนี้จะทำให้มีกำลังใจในการทำงาน และพยายามทำงานออกมาให้ได้ผลดีที่สุด
ซึ่งการที่จะทำงานให้ออกมาดีที่สุด ต้องรู้ทั้งเหตุที่มาของปัญหา ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำงาน
และผลที่อาจจะเป็นไปได้จากการทำงานไม่ว่าจะเป็นในแง่บอกหรือลบ เพื่อจะได้เตรียมทางเลือกไว้รอ
เช่นในกรณีที่คุณ Sex_Machine กล่าวว่าฝึกให้ คิดในแง่ Negative Thinking ไว้ก่อน
การทำงานแบบนี้แม้งานนั้นจะออกมาไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็เป็นการเรียนรู้เพื่อเป็นบทเรียนต่อไปในอนาคต
เมื่อผ่านเรียนรู้และพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ งานที่ยากก็จะกลายเป็นงานที่ง่าย
ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะดีขึ้นตามไปเอง
สำหรับเรื่องหลงตัวเองหรือไม่ หรือจะใช้ตัววัดจากไหนถึงจะถูกต้อง
ผมว่่า ให้พิจารณาจากเหตุและปัจจัย อย่าเอาตัวคนหรือสังคมเข้าไปยุ่ง
เหมือนที่ท่านพุทธทาสอธิบายคำว่า ตถตา เพราะอย่างนั้นจึงเป็นอย่างนี้
มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวคนเลย แต่บางคนชอบเอาไปใช้ผิดๆเอาตัวกูของกูเข้าไปจับ
มันก็เลยได้ผลกลายเป็น ตถกู เพราะทุกอย่างเป็นของกูจึงต้องทำเพื่อกู
เพี้ยนไปหมดซะอย่างนั้น
