ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
31-01-2025, 06:32
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  Believe It Or Not! งาช้างกำลังจะงอกจากปาก*** ประชาธิปไตยจะคลอดจากมดลูกเผด็จการ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
Believe It Or Not! งาช้างกำลังจะงอกจากปาก*** ประชาธิปไตยจะคลอดจากมดลูกเผด็จการ  (อ่าน 2121 ครั้ง)
ป๋าเจ้าเก่า
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 272


ถึงไม่เห็นด้วยสักนิด แต่ผมจะแลกชีวิตให้คุณได้พูด


« เมื่อ: 17-05-2007, 20:57 »

รายงานพิเศษ
Believe It or Not!
คมช.ไม่สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร


การที่ผู้นำคณะรัฐประหาร19/9/49 ปฏิเสธรอบแล้วครั้งเล่าว่า จะไม่มีการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ภายหลังจากร่างรัฐธรรมนูญ เสร็จ และภายหลังจัดการการเลือกตั้งนั้น ดูจะไม่มีใครเชื่อกันนัก

ความหวาดระแวงว่าคณะรัฐประหารจะสืบทอดอำนาจเผด็จการ หรือสืบทอดอำนาจการบริหารของตนเองออกไปนั้น เนื่องเพราะความเป็นไปในทางประวัติศาสตร์นั้น ไม่เคยมีคณะรัฐประหารชุดใดเลยในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะยอมก้าวลงจากหลังเสือแบบง่ายๆ แล้วคืนอำนาจการปกครองให้กับประชาชน มีแต่การสืบทอดอำนาจการบริหารออกไปให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้กันทั้งนั้น

ลองอ่านดู "ความนัยระหว่างบรรทัด" ดูก็จะเห็นข้อเท็จจริงได้ไม่ยากเลย...

1.การรัฐประหารปี พ.ศ.2490:สืบทอดอำนาจเผด็จการนาน10ปี

สาเหตุ: พรรคประชาธิปัตย์ โจมตีใส่ร้ายว่านายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พัวพันอยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ประกอบกับคณะทหารไม่พอใจที่บทบาทของทหารถูกลดเกียรติภูมิลง หลังจากไปร่วมกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2
เหตุการณ์: จอมพลผิน ชุณหะวัณ ทำการรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน 2490 โดยบอกว่า"รักชาติจนน้ำตาไหล"(หนังสือพิมพ์สมัยนั้นล้อเลียนว่ารักชาติจนน้ำลายไหล) แล้วฟื้นฟูเกียรติของจอมพลป.พิบูลสงคราม จากอาชญากรสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และเนรเทศนายปรีดีไปต่างประเทศ
การสืบทอดอำนาจ: คณะรัฐประหารชุดนี้ครองอำนาจมาจนถึงปี พ.ศ.2500 รวมสืบทอดอำนาจ 10 ปี

2. การรัฐประหารปี พ.ศ.2500:สืบทอดมรดกเผด็จการนาน16ปี
สาเหตุ: พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป.ชนะเลือกตั้งท่วมท้น พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านกล่าวหาว่าเลือกตั้งสกปรก ขณะที่มีข่าวว่าจอมพล ป.จะฟื้นคดีกรณีในหลวงรัชกาลที่ 8 สวรรคตขึ้นมาเพราะมี "ข้อมูลใหม่" ว่านายปรีดีเป็นแพะทางการเมือง

เหตุการณ์: จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ โดยการสนับสนุนของCIAได้ทำรัฐประหารโค่นจอมพล ป.ลงจากอำนาจ ตัวจอมพลป.รวมทั้งจอมพลเผ่าคู่อริสำคัญ หนีตายไปต่างประเทศ จอมพลสฤษดิ์สร้างธรรมเนียมใหม่ด้วยการเข้าเฝ้าถวายรายงานการปฏิวัติต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งแรก
การสืบทอดอำนาจ: จอมพลสฤษดิ์ตั้งพลเรือนสลับกับจอมพลถนอม ลูกน้องสนิทเป็นรัฐบาลหุ่นอยู่ 2 ปี แล้วก็ทำการรัฐประหารตัวเอง ขึ้นเป็นนายกฯเอง ออกกฎหมายสั่งยิงเป้าคนได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล กับได้งบจากอเมริกามาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จนทำให้เขาเป็นคนร่ำรวยมหาศาล ภายหลังเขาตายคาอำนาจ สฤษดิ์มีเงิน 2,000 ล้านบาท(เทียบกับสมัยนี้ก็ไม่น่าต่ำกว่า2แสนล้านบาท)

ด้วยการบีบคั้นของสังคม จอมพลถนอมที่ขึ้นรับช่วงอำนาจต้องยึดทรัพย์ลูกพี่ไป 600 ล้านบาท เฉพาะที่พิสูจน์ได้ชัดว่าโกงมาจริงๆ

จากนั้นจอมพลถนอมก็สืบทอดอำนาจมรดกเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ต่อเนื่องยาวนานไปจนถึง 16 ปี ก่อนจะถูกพลังประชาชนลุกฮือขึ้นโค่นล้มในกรณี 14 ตุลาคม 2516

3. การรัฐประหาร6ตุลาคม2519:มรดกตกทอดหลายรุ่นรวม12ปี
สาเหตุ: จอมพลถนอม-จอมพลประภาส ที่ถูกนักศึกษาประชาชนขับไล่ออกไปในคราวเหตุการณ์14ตุลาคม 2516 และโดนยึดทรัพย์สินไปหลายร้อยล้านบาท(เทียบกับสมัยนี้ก็หลายหมื่นล้านบาท) เดินทางเข้าประเทศ เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนัก รัฐบาลพลเรือนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แถมยังแก่งแย่งอำนาจกันเป็นหลัก ทำให้นักศึกษานิยมซ้าย ได้จัดการประท้วง สื่อมวลชนขวาจัด "ดาวสยาม"และบางกอกโพสต์ ได้ตัดต่อภาพบิดเบือน ทำให้กลุ่มมวลชนฝ่ายขวาร่วมกับกองกำลังจากป่าหวาย และตชด.เข้าล้อมปราบกวาดล้างนักศึกษานิยมซ้ายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์: พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ภายใต้การสนับสนุนของ "กลุ่มทหารหนุ่ม" นำโดยคณะทหารนำโดยจปร.7 เช่น พ.อ.จำลอง ศรีเมือง, พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร, พ.อ.มนูญ รูปขจร, พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี, พ.อ.บุลศักดิ์ โพธิเจริญ(ยศขณะนั้น)เป็นต้นเข้ายึดอำนาจ
การสืบทอดอำนาจ: คณะรัฐประหารที่ใช้ชื่อว่าคณะปฏิรูปได้ตั้งรัฐบาลหุ่นนำโดยนายธานินท์ กรัยวิเชียร ใช้นโยบายขวาจัด ปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างเด็ดขาด มีนักศึกษาหนีเข้าป่าราว 3,000 คน และออกกฎหมายให้มีอำนาจสั่งยิงเป้าได้แบบยุคสฤษดิ์ แต่แค่ปีเดียวกลุ่มทหารหนุ่มก็ต้องทำรัฐประหารซ้ำขับนายธานินท์ออก แล้วสนับสนุนพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่กลุ่มหทารหนุ่มจะจี้ให้เกรียงศักดิ์ลาออก แล้วสนับสนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

พลเอกเปรมได้สืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ต่อเนื่องไปอีกรวมแล้ว 12 ปี แต่ได้ปรับแต่งเนื้อตัวจากเผด็จการเต็มใบมาเป็นประชาธิปไตยครึ่งไป และมีทีท่าประนีประนอมกับทุกฝ่ายในสังคมมากขึ้น

4. รัฐประหารปี พ.ศ.2524:นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฉายาที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
สาเหตุ: คณะทหารหนุ่มไม่พอใจที่พลเอกเปรมไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของพวกตน จึงเข้าทำรัฐประหารเมื่อ 1 เมษายน 2524 มีประชาชน(ที่จัดตั้งไว้)มามอบดอกไม้ให้คณะรัฐประหาร แต่พลเอกเปรมสามารถพลิกสถานการณ์ได้เมื่อได้ถวายอารักขาในหลวงและพระราชินี และแต่งตั้งกองบัญชาการปราบกบฏนำโดยพลตรีอาทิตย์ กำลังเอก(ยศขณะนั้น เหมือนพลเอกสพรั่งในขณะนี้ เพราะแค่ข้ามปีก็พรวดพราดขึ้นเป็นพลเอก เป็นผบ.ทบ.)ในที่สุดกลุ่มทหารหนุ่มต้องยอมแพ้ เดินทางออกนอกประเทศ

เหตุการณ์: ถ้าว่าเฉพาะกำลังทหารนั้นกลุ่มทหารหนุ่มสามารถเอาชนะได้ไม่ยากเลย เพราะคุมกำลังไว้หมด แต่เนื่องจากพลเอกเปรมยึดกุมยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่า จึงนำความพ่ายแพ้มาสู่กลุ่มนายทหารหนุ่ม

การสืบทอดอำนาจ: พลเอกเปรมปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ เปิดทางให้นักศึกษาฝ่ายซ้ายกลับเข้าเมือง ถ่วงดุลการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ กุมอำนาจทั้งฝ่ายทหาร เมื่อมีใครทำท่าจะขึ้นมามีบทบาทโดดเด่นก็ขจัดพ้นทาง เช่น กรณีปลดฟ้าผ่าพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก พ้นจากอำนาจ
พันเอกมนูญ รูปขจร ทำการรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 9 กันยายน 2528 แต่ก็ถูกปราบลงราบคาบ ถูกถอดยศเป็นนายมนูญ(ก่อนจะกลับมารับราชการได้อีกครั้งในยุครัฐบาลชาติชาย)

นอกจากนั้นยังแยกสลายพลังฝ่ายการเมือง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนในทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หากมีใครทำท่าจะขึ้นมามีบทบาทเชิงแข่งขันทางการเมือง เช่น กรณีพลตรีประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชฃาติไทย(ยศและตำแหน่งในขณะนั้น)ประกาศจะชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรมก็ผลักให้ไปเป็นฝ่ายค้าน กระทั่งนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่เป็นลูกพรรคขณะนั้นบ่นด้วยความเข็ดขยาดว่าเป็นฝ่ายค้านแล้ว”อดอยากปากแห้ง”
เกิดยุคสะตอสามัคคีขึ้นมาในช่วงนี้ ประชาธิปัตย์ยึดภาคใต้ได้เด็ดขาด มีเพียงม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในยามเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ยืนซดสู้นอกสังเวียนอย่างพอจะสูสีบ้าง แต่ในกลางปี 2531 พลเอกเปรมถูกนักศึกษาออกมาขับไล่ เมื่อหาทางลงที่สง่างามในตำแหน่ง "รัฐบุรุษ" ได้ พลเอกเปรมก็ลาออก แต่เลขาธิการนายกฯ ขณะนั้นคือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ บอกว่า"แค่โรงเรียนปิดเทอม เดี๋ยวไม่นานก็จะเปิดเทอมใหม่”
พลเอกเปรมปิดฉากกองมรดกรัฐประหาร6ตุลาคม2519ลงด้วยเวลาสืบทอดอำนาจยาวนานกว่า 12 ปี...

5. การรัฐประหารปี พ.ศ.2534:โฉ่งฉ่างเกินไปจนหมดสิทธิ์สืบทอดทายาทอสูร
สาเหตุ: คณะทหาร จปร.5 นำโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ได้ยินข่าวลือว่าพวกตนจะโดนปลด หลังจากที่หนังสือพิมพ์ยุให้ทำรัฐประหารรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เลยไปหยิบยกอ้างว่าอดีตกลุ่มทหารหนุ่ม จปร.7 มีการลอบสังหารพลเอกเปรมและบุคคลสำคัญระดับสูง ในช่วงหลังพ่ายแพ้จากการรัฐประหารปี 2524 จึงต้องออกมาทำรัฐประหารโดยอ้างว่าเพื่อปกปักรักษาราชบัลลังก์ และกำจัดรัฐบาลคอรัปชั่น
เหตุการณ์: ประชาชนที่จัดตั้งก็นำดอกไม้มามอบให้คณะรัฐประหาร พลเอกสุจินดาสร้างธรรมเนียมใหม่คือนอกจากเข้าเฝ้าถวายรายงานการรัฐประหารแล้วก็ยังให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พวกตนเป็นคณะรสช.ด้วย มีการนำเทปวิดีโอคำสารภาพของพ.อ.บุลศักดิ์ นายทหารจปร.7กรณี "ลอบสังหารบุคคลสำคัญ" ออกมาฉายให้ประชาชนชมหลายรอบเพื่อสร้างความชอบธรรมให้การรัฐประหาร รวมทั้งตั้ง คตส.มีพลเอกสิทธิ จิรโรจน์ขึ้นอายัดทรัพย์รัฐบาลชาติชาย แต่หลังๆ ก็ยึดไม่ได้ซักบาท ต้องคืนให้นักการเมืองหมด

การสืบทอดอำนาจ: มีการตั้งพรรคสามัคคีธรรมให้หนุนพลเอกสุจินดาเป็นนายกฯ ทำให้ประชาชนคัดค้านนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ส่วนในกองทัพก็ตั้งน้องชายของพลเอกอิสระพงศ์สืบทอดอำนาจ ว่ากันว่ามีแผนการสืบทอดอำนาจทางการทหารไปยาวกว่า 20 ปี
อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเหตุนองเลือดขึ้น ในหลวงได้ขอให้คู่ขัดแย้งยุติการนองเลือด แต่กลุ่มผู้ต้องการสืบทอดอำนาจก็ยังดึงดันจะให้พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ เป็นนายกฯ นอมินี่ แต่ด้วยเดชะพระบารมีคลี่คลายให้เหตุการณ์ยุติลง เมื่อมีโปรดเกล้าฯ ให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
ทำให้คณะรัฐประหารชุดนี้อยู่ในอำนาจสั้นที่สุดเพียงไม่ถึง 2 ปี

6. การรัฐประหารปี พ.ศ.2549:ประสงค์ร่างรธน.เปิดช่องสืบทอดอำนาจคมช.
สาเหตุ: สนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจหนังสือพิมพ์ขัดผลประโยชน์กับนายกรัฐมนตรีทักษิณทั้งเรื่องหนี้สิน และอภิสิทธิ์สัมปทานโทรทัศน์ เริ่มก่อการประท้วงได้แนวร่วมจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดยประชาธิปัตย์ นักวิชาการ ชนชั้นสูง และนักธุรกิจฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณเช่นประชัย เลี่ยวไพรัตน์-เอกยุทธ อัญชัญบุตร ผนวกกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ฝังลึกผ่านบทบาทของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และนักธุรกิจสื่อสารมวลชน ร่วมกันโค่นล้มสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" โดยกล่าวหาว่าทักษิณขายหุ้นบริษัทชินฯโดยหนีภาษี เป็นการขายชาติ และสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่ากำลังมีการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชน 2 ฝ่ายคล้ายกับกรณี6ตุลาฯ

เหตุการณ์: พลเอกเปรมแสดงตัวอย่างไม่ปิดบังว่า เป็นศูนย์บัญชาการ และศูนย์รวมจิตใจของการรัฐประหาร โดยการรัฐประหาร19/9/49มีขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการจัดการเลือกตั้ง15ตุลาคม2549ไม่ถึง 1 เดือน ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อระงับยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุนองเลือด โดยให้พลเอกสนธิ บุณยะรัตนกลิน เป็นผู้นำคณะรัฐประหาร ได้กำลังหลักจากพลโทสพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่3 (ยศขณะนั้น)เข้าทำการรัฐประหาร มีกองกำลังทหารเสือพระราชินีของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นกำลังหลักอีกหน่วย กองกำลังรัฐประหารใช้สัญลักษณ์สีเหลือง และสีฟ้าผูกตามแขนและปากกระบอกปืน และใช้ชื่อต่อท้ายว่า "อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข" ทำให้ต่างชาติเข้าใจว่าสถาบันฯสนับสนุนการรัฐประหาร ต่อมาจึงต้องตัดออก

การสืบทอดอำนาจ: ผู้นำคณะรัฐประหารยืนยันหลายครั้งว่า จะอยู่ในอำนาจเพียง 2 สัปดาห์แล้วจะคืนอำนาจให้ประชาชน แต่แล้วก็มีการตั้งรัฐบาลหุ่นให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยบอกว่าจะเป็นรัฐบาล 1 ปี ส่วนคณะรัฐประหารแปลงร่างเป็นคณะมนตรีความมั่นคงฯ(คมช.) โดยมีอำนาจการบริหารคู่ขนานไปกับรัฐบาลหุ่น จากนั้นมีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชนที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แล้วได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นร่างฉบับใหม่ โดยคณะรัฐประหารบอกว่าจะร่างให้มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับวัฒนธรรม "แบบไทยๆ"

ขณะที่น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ “ลูกป๋า”คนสำคัญรายหนึ่ง ได้ขึ้นเป็นประธานการร่างรัฐธรรมนูญ และประกาศโดยไม่ปิดบังว่า ที่มาของนายกรัฐมนตรีนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

ที่น่าประหลาดอยู่อย่างก็คือผู้นำรัฐประหารหนล่าสุดนี้คือพลเอกสนธิ บอกว่าเห็นข้อมูลตรวจสอบการคอรัปชั่นของรัฐบาลทักษิณแล้วอยากจะร้องไห้ วลีนี้ไม่ต่างกันเลยจากที่จอมพลผิน ผู้นำการรัฐประหารปี 2490 ที่บอกว่ารักชาติจนน้ำตาไหล(ที่เอาไปเอามาก็จบลงด้วยการรักชาติจนน้ำลายไหล!)

ที่เป็นธรรมเนียมอีกอย่างก็คือคณะรัฐประหารชุดนี้ก็ประกาศเช่นเดียวกับคณะก่อนๆว่า ทำการเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องหมู่คณะ ไม่มีความมักใหญ่ไฝ่สูงทางการเมืองใดๆเลย

สุดท้ายก็จบลงด้วยการสืบทอดอำนาจเผด็จการกันยาวนานนับ10-20ปี...หรือจะมีข้อเว้นให้กับคณะรัฐประหารชุดนี้ ท่านเชื่อหรือไม่?


บันทึกการเข้า

ถึงข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับท่านแม้แต่ซักนิด แต่ข้าพเจ้าจะยอมอุทิศชีวิตเพื่อให้ท่านได้พูด...วอลแตร์
ป๋าเจ้าเก่า
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 272


ถึงไม่เห็นด้วยสักนิด แต่ผมจะแลกชีวิตให้คุณได้พูด


« ตอบ #1 เมื่อ: 17-05-2007, 21:02 »

หมายเหตุ:ผมเคยโพสต์ไว้ที่ราชดำเนิน และประชาไทมาก่อน น่าจะหลายเดือนมาแล้ว คิดว่าสอดคล้องกับเหตุการร์ปัจจุบันที่"บัง"เกิดอยากเป็นนายกฯขึ้นมา เลยนำมาลงที่เวปนี้อีกทีคะรับ
บันทึกการเข้า

ถึงข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับท่านแม้แต่ซักนิด แต่ข้าพเจ้าจะยอมอุทิศชีวิตเพื่อให้ท่านได้พูด...วอลแตร์
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #2 เมื่อ: 17-05-2007, 21:05 »

"อำนาจที่หอมหวาน ไม่อาจต้านทาน พลังมวลชน"



Believe It or Not!

บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 17-05-2007, 21:22 »

ดีใจมากเลย ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ 
บันทึกการเข้า
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #4 เมื่อ: 17-05-2007, 21:53 »

เหตุการณ์ 19 กย.ที่ผ่านมา
ถ้าตีความหมาย "เผด็จการ" ตามวิธีการเข้ามายึดอำนาจ โค่นล้มนายกเก่า
ว่า "ทหาร" กลุ่มที่ "ใช้กำลัง" เข้ามานี่แหละ
คือตัวเป็น ๆ แห่งความหมาย - เผด็จการ
ก็อาจจะเป็นการตีความที่ตื้นเขิน-รู้ไม่เท่าทัน ไปหน่อย

เพราะหลังจากนั้นมา เรา ๆ ก็เห็นกันอยู่ว่า
มันมีอะไร ยึก ๆ ยัก ๆ แอบแฝง ซ่อนเร้น ขบเหลี่ยม กินนัย กันมาโดยตลอด
ระหว่าง ตัวละครที่ออกมาอยู่หน้าโรง 2 ตัว
ไม่รวม นายโรง ที่บอกบท ชักใย อยู่เบื้องหลัง

ถ้า ณ เวลานี้ ผมมอง พล.อ.สนธิ เป็นแค่ "เบี้ย" ตัวหนึ่งเท่านั้นนะ
ไม่มีค่า ไม่มีความสำคัญอะไรมากมาย
ไม่รู้ จะถูกผลักไปให้เขา "กิน" ตอนไหน

ถึงแก (อาจ)จะมีความคิดแอบจิตทะเยอทะยานอยากขึ้นเป็นใหญ่อยู่บ้าง
แต่ตามรูปการณ์แล้ว คงเป็นไปได้ ยากสสสสสส์
เพราะ "นักแสดงรับจ้าง" จะอาจหาญขึ้นมาเป็น ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง ก็คงไม่ใช่

ถึงตอนนี้ ผมกลัว ตัว "โคนขี้เหร่" ที่คนมองว่า ไม่เห็นมีบทบาทอะไร
นอกจากเดินวนไปวนมา โยกหน้าถอยหลัง อยู่กลางกระดาน
แต่อย่าลืมว่า วิถีการเดินของโคนตัวนี้ อยู่ภายใต้รัศมีของ "ขุน" ตลอด

เมื่อ "วางหมาก" ได้ตามที่ต้องการแล้ว
จะเลิกเล่น ล้มกระดาน หรือจะแพ้/จะชนะ จะยังไง...ก็คงไม่แปลก
เพราะ กระดานประเทศไทย เป็นไปตามที่ "เขา" ต้องการแล้ว

อืมม...ขี้เกียจ พรรณนาโวหาร ให้ปวดหัว เสียเวลา แล้วล่ะ
สรุปสั้น ๆ ว่า

อนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลของประเทศไทย

เมื่อ "ทุนนิยมสามานย์" ไป แล้ว "อมาตยาธิปไตย" มา

มันจะมีอะไรดีขึ้น เลวลง ก็ยังไม่รู้
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
ป๋าเจ้าเก่า
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 272


ถึงไม่เห็นด้วยสักนิด แต่ผมจะแลกชีวิตให้คุณได้พูด


« ตอบ #5 เมื่อ: 17-05-2007, 21:59 »

ผมเห็นไม่ต่างจากคุณSex_Machine ในกรณีของสนธิ บังฯครับ
บันทึกการเข้า

ถึงข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยกับท่านแม้แต่ซักนิด แต่ข้าพเจ้าจะยอมอุทิศชีวิตเพื่อให้ท่านได้พูด...วอลแตร์
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #6 เมื่อ: 18-05-2007, 01:22 »

๑๙ ก.ย. ๔๙ : รัฐประหารครั้งสุดท้ายของไทย โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง


      หนึ่ง ในจำนวนบรรดาผู้คนจำนวนมากที่มีความรู้สึกอึดอัดขัดข้องและทุกข์ระทมใน ประเทศไทยปัจจุบันนี้คงจะต้องรวม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ๑๙ ก.ย. ๔๙ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารในครั้งนี้เข้าไปด้วยอย่างแน่นอน
     
       เนื่องเพราะการตัดสินใจทำรัฐประหารในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีการเตรียม พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากการรัฐประหารที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเก่าหรือคลื่นใต้น้ำ การก่อความไม่สงบไม่ว่าจะเป็นการวางระเบิดหรือเผาโรงเรียนที่ระบาดจากภาค ใต้เข้าสู่เมืองหลวงและเมืองอื่นๆ การชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่างๆ การเข้าเกียร์ว่างของบรรดาข้าราชการทั้งหลายทั้งข้าราชการประจำและข้า ราชการการเมืองที่คณะรัฐประหารตั้งมาเองกับมือแท้ ๆ ตลอดจนการไม่ยอมรับจากบรรดานานาประเทศที่ต่อต้านการยึดอำนาจโดยใช้กำลัง ฯลฯ
     
       การขับเคลื่อนรัฐนาวาเป็นไปด้วยความอึดอัด ขัดข้อง จะเดินหน้าก็เดินไม่ได้ จะถอยหลังด้วยการวางมือกลางคันก็ไม่ได้เพราะเกรงว่านอกจากจะถูกตามเช็คบิล แล้วยังต้องเสื่อมเสียถึงเกียรติประวัติวงศ์ตระกูลเสียอีก เพราะต้นทุนเดิมที่มีอยู่ค่อนข้างสูงด้วยความเชื่อว่าเป็นผู้ที่ได้รับการ ยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เหนือเส้นมาตรฐานของความดี แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วความดีต่าง ๆ ที่สั่งสมมาไม่ได้ช่วยให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นแต่อย่างใด แต่กลับถูกว่ากล่าวโจมตีอย่าง เสีย ๆ หายๆ รวมไปถึงการขุดคุ้ยทั้งเรื่องจริงและไม่จริงออกมาก่นด่าประจานโดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางสื่ออีเล็กโทรนิก
     
       จากประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ผ่านมาไม่มีคณะรัฐประหารใดที่จบลงอย่างสวยงามเลย แม้แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ และ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ เจ้าของวลีอมตะ “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ที่ บางคนยังถวิลหาความเด็ดขาดในการบริหารบ้านเมือง มีการยิงเป้าผู้ถูกข้อหาลอบวางเพลิงและข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยการใช้ ม.๑๗ อย่างมากมาย จนท้ายสุดต้องเสียชีวิตคาตำแหน่ง แต่ทรัพย์สมบัติหรือมรดกตกทอดก็ต้องถูกตามยึดอายัดตกเป็นของแผ่นดินด้วย ม.๑๗ ที่ตนเองใช้ประหารชีวิตผู้อื่นนั่นเอง
     
       การรัฐประหารครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ รัฐบาลโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดานายกรัฐมนตรีได้ประกาศพระราชกฤษฎีกา"ให้ปิดสภาผู้แทนราษฎรและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่” โดยยุบคณะรัฐมนตรี แล้วตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นผลให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกสมัยโดยมิได้รับ ความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรพร้อมทั้งงดใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๔๗๕ บางมาตรา ซึ่งน่าประหลาดเพราะพระราชกฤษฎีกาซึ่งถือว่ามีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่า รัฐธรรมนูญแต่กลับไปบังคับให้งดใช้รัฐธรรมนูญ จึงถือได้ว่าเป็นการรัฐประหารเช่นกันแต่เป็นการรัฐประหารเงียบ
     
       แต่ต่อมาเมื่อ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ พระยามโนฯก็ถูกยึดอำนาจโดยคณะราษฎรเดิมจนต้องเดินทางออกจากเมืองไปลี้ภัย อยู่ที่เกาะปีนังเป็นเวลา ๑๕ ปีเศษโดยมิได้กลับมาเมืองไทยอีกเลยและเสียชีวิตที่นั่น
     
       ส่วนการรัฐประหารของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ที่รัฐประหารรัฐบาลของตนเองแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับมาราธอนเป็นปีๆ ก็ไม่เสร็จจนเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ที่นักศึกษาและประชาชนออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่ออกจากตำแหน่งจน ต้องหนีออกนอกประเทศ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ได้กลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย
     
       การรัฐประหารที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งที่สำคัญก็คือการรัฐประหารเมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติหรือ รสช.ที่คณะรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ นำรูปแบบมาใช้เกือบทุกอย่างแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี ๔๙ ก็แทบจะลอกมาทุกมาตราเพียงแต่เปลี่ยนจากคำว่า รสช.เป็น คมช.เท่านั้น และผลสุดท้ายของการรัฐประหารของ รสช.ก็จบลงด้วยเหตุการณ์นองเลือด “พฤษภาทมิฬ” อันเศร้าสลดเมื่อปี ๒๕๓๕
     
       เมื่อหันกลับมาดูการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ จนถึงปัจจุบันที่ล่วงมา ๖ – ๗ เดือนนั้นเล่า นับได้ว่าเป็นการรัฐประหารที่มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นคัดค้านอย่างชัดแจ้ง มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ ที่สำคัญคือในโลกของไซเบอร์หรืออินเตอร์เน็ตที่กระทรวงไอซีทีต้องตามไปปิด ไปบล็อกอย่างจ้าละหวั่น แต่การปิดเว็บก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะเป็นเหมือนกับการวิ่งไล่จับเงานั่นเอง
     
       ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญนั้นเล่า โอกาสที่จะไม่ผ่านประชามติก็มีค่อนข้างสูง เพราะในเนื้อหาหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสรรหา ส.ว.ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าหากเรามี ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งแล้วก็ไม่รู้ว่าเราจะมี ส.ว. ไว้ทำไมให้อับอายขายหน้าประชาชีเขา เพราะแม้แต่สภาขุนนางของอังกฤษที่มีวิวัฒนาการมาเป็นหลายร้อยปีเดี๋ยวนี้ก็ มีการเสนอให้เลือกตั้งกันหมดแล้ว หากเรามี ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งสู้เรามีสภาเดียวเหมือนสวีเดนหรือนอร์เวย์เสียยัง จะดีกว่า
     
       อีกทั้งระบบการเลือกตั้งที่จะใช้แบบแบ่งเขตเรียงเบอร์แทนแบบเขตเดียวคน เดียวที่เดิมผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีสิทธิ์เท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่จังหวัด เล็กหรือจังหวัดใหญ่นั้น มองอย่างไรก็ไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่นได้ว่าไม่ใช่การจงใจทำลายระบบพรรค การเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าพรรคใหม่ หรือพรรคที่หลงไปเชลียร์คณะรัฐประหารมาตั้งแต่ต้น ที่ตอนนี้ก็คงรู้ซึ้งแล้วว่าเขาคิดอย่างไรกับระบบพรรคการเมืองและยิ่งจะเลว ร้ายมากขึ้นไปอีกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้ว คมช.หยิบเอา รธน.ที่ต่ำกว่ามาตรฐานฉบับปี ๔๐ มาใช้ซึ่งจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงอย่างแน่นอน
     
       จากเหตุผลที่ยกมาข้างต้นทั้งหมดนี้ จึงจะเห็นได้ว่าการทำรัฐประหารในยุคต่อไปนี้ “ไม่หมู” แล้วสำหรับการนำรถถังเก่าๆออกมาวิ่งในถนน ยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์พร้อมกับออกประกาศยึดอำนาจเพื่อปกครองผู้คนในยุคที่ โลกมีการสื่อสารถึงกันทั่วโลกในพริบตาเดียวเช่นนี้ให้เชื่อฟังและปฏิบัติ ตามโดยไม่หือไม่อือเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
     
       การห้ามความคิดของคนที่อยากจะทำรัฐประหารนั้นคงห้ามความคิดกันไม่ได้ เพราะคนที่คิดแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยวิธีการมักง่าย ใจร้อน นั้นมีอยู่มากมาย แม้แต่กลุ่มองค์กรที่มีชื่อต่อท้ายว่า “ประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ก็ยังพากันเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ แทนการแก้ไขปัญหาในวิถีทางประชาธิปไตยตามชื่อเรียกของกลุ่มตนเอง
     
       ฉะนั้น จากบทเรียนอันเจ็บปวดที่ผมยกมาทั้งหมดนี้ จึงเชื่อได้ว่าการรัฐประหาร ๑๙ ก.ย. ๔๙ นี้จะเป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของไทยเรา ด้วยเหตุว่าคนที่คิดจะทำรัฐประหารต่อไปในอนาคตนอกจากจะ “โง่” แล้วยัง “บ้า” อีกต่างหาก นอกเสียจากว่าอยากจะคิดฆ่าตัวเองและประเทศชาติให้ตายตกไปตามกันเท่านั้น
     
http://pub-law.net/publaw/view.asp?PublawIDs=1095
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2550

เห็นว่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การรัฐประหารเหมือนกัน
เลยขอแปะด้วย
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #7 เมื่อ: 18-05-2007, 01:38 »

ตราบใดที่ตัวเลือกทางฝ่ายการเมือง อยู่ในมือนัการเมืองหน้าเก่าๆ

ที่ใครๆก็รู้เจตนาว่า กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ในทิศทางแบบไหน

ตราบนั้น การปฎิวัติ หรือการปฎิรูปของการทำรัฐประหาร ยังจะต้องเป็นทางเลือก

ให้ประชาชนคนไทยที่สิ้นหวังกับการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย แบบไร้รากเสมอ

เมื่อถึงวันนั้น เราจะโทษใครดี
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
คาคาชิ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 521


ที่นี่เหมือนโลกที่โดนมนุษย์ต่างดาวบุกหาตรรกะไม่เจอ


« ตอบ #8 เมื่อ: 18-05-2007, 02:12 »

ผมได้ยินมาว่า ทหารวางตัวคนที่จะเป็นนายกคนต่อไปแล้ว
เป็นทหารแหละ
แต่ไม่ใช่ คมช.

ก็ยัง งง งง อยู่เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #9 เมื่อ: 18-05-2007, 09:30 »

ตอนนี้ เดือน พฤษภาคม 2550 ครับ
บันทึกการเข้า
aoporadio
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 404


« ตอบ #10 เมื่อ: 18-05-2007, 10:45 »

ตราบใดที่ตัวเลือกทางฝ่ายการเมือง อยู่ในมือนัการเมืองหน้าเก่าๆ

ที่ใครๆก็รู้เจตนาว่า กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ในทิศทางแบบไหน

ตราบนั้น การปฎิวัติ หรือการปฎิรูปของการทำรัฐประหาร ยังจะต้องเป็นทางเลือก

ให้ประชาชนคนไทยที่สิ้นหวังกับการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย แบบไร้รากเสมอ

เมื่อถึงวันนั้น เราจะโทษใครดี



นี่ไง ข้าพเจ้าถึงมีความคิด(ตอนนี้ยังเปนแค่ความคิด )ฝังจิตว่า
อยากพกระเบิดพลีชีพ ไปเดินเล่นแถวเขาดิน เวลา เปิด(สภา)ประชุมสมัยสามาญ
เล่นที่เดียว 500 เลย ล้างซวย ตระกูล เจี๊ยะ ต่างๆ ที่ส่งใม้ความเลวต่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ยันหลาน
แต่พวกมันก็ชอบโดดประชุมซะเหลือเกิน 

ส่วน
-งาช้างกำลังจะงอกจากปาก*** ประชาธิปไตยจะคลอดจากมดลูกเผด็จการ-

มั๊นก่อบ่แน่ดอกนาย ม้า กะ ลา ยัง เฮ็ดกันจนออกมาเป็น ล่อได้ 
นั่งบนภู ดูหมูกินรำ ควายกินหญ้า คนกลืนน้ำลายตัวเองดีกั่ว
บันทึกการเข้า
katindork
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369


« ตอบ #11 เมื่อ: 18-05-2007, 11:39 »




มั๊นก่อบ่แน่ดอกนาย ม้า กะ ลา ยัง เฮ็ดกันจนออกมาเป็น ล่อได้ 
นั่งบนภู ดูหมูกินรำ ควายกินหญ้า คนกลืนน้ำลายตัวเองดีกั่ว

ผมกลัวว่า  เราซึ่งคิดว่าเป็นคนดูจะไม่ใช่คนดูที่แท้จริงหรอกครับ 
เพราะคนดูตัวจริงูที่อยู่บนหอคอย    ก็มองเราเป็นเพียงแค่ตัวประกอบเดินผ่านฉากเท่านั้น 
ไม่พอที่จะเป็นตัวประกอบ มีบทพูดด้วยซ้ำไป

จริงๆนะครับ
บันทึกการเข้า
Nai_puan
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 231


« ตอบ #12 เมื่อ: 18-05-2007, 11:51 »

อ้างถึง
ผมกลัวว่า  เราซึ่งคิดว่าเป็นคนดูจะไม่ใช่คนดูที่แท้จริงหรอกครับ 
เพราะคนดูตัวจริงูที่อยู่บนหอคอย    ก็มองเราเป็นเพียงแค่ตัวประกอบเดินผ่านฉากเท่านั้น 
ไม่พอที่จะเป็นตัวประกอบ มีบทพูดด้วยซ้ำไป

จริงๆนะครับ


แบ่งแยก แล้วปกครอง  ไงครับ

ยุทธวิธีโบร่ำโบราณ  ของพวกศักดิดาเก่า

แต่ยังสามารถนำมาใช้ได้ดี ในประเทศไทยยุคปัจจุบัน

เพราะยังมีหลายๆคน ที่ยังนิยมกับการถูกปกครองด้วยอำนาจเถื่อน และอำนาจศักดินา
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #13 เมื่อ: 19-05-2007, 21:21 »


แบ่งแยก แล้วปกครอง  ไงครับ

ยุทธวิธีโบร่ำโบราณ  ของพวกศักดิดาเก่า

แต่ยังสามารถนำมาใช้ได้ดี ในประเทศไทยยุคปัจจุบัน

เพราะยังมีหลายๆคน ที่ยังนิยมกับการถูกปกครองด้วยอำนาจเถื่อน และอำนาจศักดินา

ไฉนเลยจะเหมือนพวกลิ่วล้อของหัวหน้าศาสดาลัทธิเหลี่ยมที่ครองเมืองอยู่ สี่ซ้าห้าปี  ถูกแปรสภาพเป็นผีที่ยอมโม่แป้งเหมือนคนปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน กราบไหว้จอมมารทั่นงก ๆ ๆ   

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
หน้า: [1]
    กระโดดไป: