เปลวสีเงิน
เมื่อ ITV จบ-สุรยุทธ์ก็เริ่มจบ
8 มีนาคม 2550 กองบรรณาธิการ
ดูจากการ "บริหารปัญหา ITV" ก็พอประเมิน "พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์" ได้ว่า ท่านเป็น "คนดีมากๆ" อย่างที่ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" ตีตรารับประกัน อย่างไรก็อย่างนั้น!
แต่..ดีในลักษณะของท่าน ผมว่าน่าจะไปบวช มากกว่าจะมาใช้ความดีที่ "บริสุทธิ์จนเหลว" มาบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้
คนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นคนเลวก็ได้ แต่ข้อสำคัญคือ "ต้องเลวให้ดี" และเมื่อเข้าใจว่า "เลวอย่างไรถึงจะดี" แล้ว..
นั่นก็ไม่ต้องกลัวว่า ประชาชนจะด่า..เป็นนายกฯ ที่เลว!
การที่ท่านบริหารปัญหา ITV แบบไม่ใส่ใจที่จะศึกษาก่อนมีบัญชาในเชิงบริหาร ฉะนั้น อาการในลักษณะ เช้าเป็นอีกแบบ บ่ายเป็นอีกแบบ เย็นเป็นอีกแบบ
ครั้นมีอะไรจวนตัวก็ชูมือกล่าวคำ "ผมขอโทษ" ซ้ำๆ ซากๆ อย่างนั้น มันไม่ใช่คุณสมบัติของคนที่จะเป็นผู้นำหรอกครับ
ผมอยากถามท่านว่า การสั่งให้ ITV ออกอากาศต่อเนื่อง หลังรับทราบคำตีความข้อกฎหมายจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วนั้น ท่านสั่งไปด้วยวิสัยทัศน์แบบไหน อย่างไร?
กลัวพนักงาน "ตกงาน" และตั้งเวทีด่าไม่เลิก?
กลัวคนจะไม่ได้ดูละครเกาหลี กลัวจะไม่มีข่าวทีวีให้ชม? หรือ..
กลัวพนักงาน ITV ค่อนขอด คำพูดนายกฯ เชื่อไม่ได้?
หรือสั่งด้วยวิสัยทัศน์ บนการมีแผนงานเป็น "พิมพ์เขียว" รองรับอนาคตโลกข่าวสารผ่านคลื่น ITV ไว้เรียบร้อยแล้ว?
โดยจะแปรสภาพ ITV ให้เป็นสถานีโทรทัศน์อย่าง BBC หรือเป็นทีวีด้วยข่าวสารเสรีตามปรัชญาดั้งเดิม หรือจะเป็นแบบใด-หนึ่งอันใคร่ครวญกันมารอบคอบแล้ว?
ประเด็นสำคัญคือ "ความเป็นไปได้จริง" มีมั้ย และท่านบวก-ลบ-คูณ-หาร ว่าไม่พลาดแน่แล้วหรือ ที่นำผลจากการตัดสินใจวันนี้ ไปผนวกรวมเข้ากับแผนโทรทัศน์ในอนาคตไว้ล่วงหน้าเบ็ดเสร็จ?
แต่ถ้าคิดเพียงแก้ปัญหา "จอมืด" ตามประสงค์ของพนักงาน ITV ท่านก็ควรรับทราบไว้ด้วยว่า ในขณะที่ "จอสว่าง" ผ่านไปแต่ละวันนั้น ท่านอาจจะชอบใจ เพราะพลิกจากการตั้งเวทีด่าเป็นหันหน้ามาสัมโมทนียกถาท่าน
ครับ..ท่านไม่เสียอะไร แต่รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายเลื่อนไหลเพื่อให้จอสว่างนั้น ต่ำสุด-เดือนละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้านบาท
เดือนหนึ่งผ่านไป..เดือนสองผ่านไป..นอกจากดินพอกหางหมูเพิ่มพูนแล้ว ก็แสดงว่าทุกอย่างผ่านไปวันๆ ตามพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ลง โดยไร้จุดหมาย เดือนละร้อยล้าน..ร้อยล้าน.. เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดแน่นอน!?
ในเมื่อแนวคิดรัฐบาลเลื่อนลอยเช่นนี้ การใช้เงินหลวงซื้อปัญหาทั้งที่ไม่ใช่ปัญหาของรัฐ ก็จะเลื่อนลอยตามไปด้วย
ที่พูดกันสนุกปากว่า เดี๋ยวก็จะได้เงินค่าโฆษณาเดือนละร้อยล้าน-พันล้านหมุนกลับคืน แล้วก็จะนำมาจ่ายคืนให้รัฐนั้น
พูดมันง่าย แต่จริงๆ มันยาก! คนที่ถึงเดือนก็แบมือรับ ย่อมไม่รู้หรอกว่า โลกของความเป็นจริงทางธุรกิจนั้น มันไม่ใช่ ๑+๑ = ๒ อย่างที่ท่องเป็นสูตรคูณกันหรอก
ถ้าสูตรรายได้ของโทรทัศน์เป็นจริงอย่างนั้น ผมว่าช่อง ๑๑ กรมประชาฯ ป่านนี้ "หย่านม-งบประมาณ" ไปนานแล้ว
แต่ทุกวันนี้ก็ยังเห็น ตะแหง่ว..ตะแหง่ว..เลี้ยงไม่โตเหมือนเดิม!
ฉะนั้น ในโลกของความเป็นจริง การแก้ปัญหาแบบเล่นขายข้าว-ขายแกงอย่างนี้ ยาวไปในอนาคต ถามว่า..ฉิบหายมั้ย?
แล้วใครฉิบหาย?
ประชาชน ผู้จ่ายภาษีไงล่ะ!
ผมสนับสนุน และเห็นด้วยที่รัฐบาลจะช่วยให้คนมีงานทำ และช่วยพิทักษ์รักษาสิทธิ์ที่พนักงานจะต้องได้รับตามสิทธิ์
แต่รัฐบาลช่วยในลักษณะ "ไม่แยกขี้-แยกไส้" เช่นนี้ คือขยำรวมเอาทั้งคน-ทั้งธุรกิจ-ทั้งสัญญา อันเป็นปัญหาของบริษัท ITV ที่เขาต้องแบกรับ มาใส่สะเอวรัฐกระเตง จนแตกเป็นประเด็น "จอมืด-จอขาว"
กลายเป็นว่า รัฐบาลเป็นคู่กรณีกับพนักงาน ITV ซะนี่
อยู่ดีไม่ว่าดี ไปโกย "ทั้งขี้-ทั้งไส้" มาใส่กระเป๋ารัฐ..ว่างั้นเถอะ!
เอาปูนคาดไว้ได้เลย ต่อจากหนี้กองทุนฟื้นฟูยุค ๔๐ เพิ่มด้วยหนี้ประชานิยมยุค ๔๔ ซึ่งทั้งสองหนี้กลายเป็น "หนี้สาธารณะ" ให้ประชาชนทุกคนจ่ายแทนอยู่ขณะนี้แล้ว
ก็จะต่อด้วย "หนี้ ITV จอขาว" ยุค ๕๐ ไม่เชื่อก็คอยดู!
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และนายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ทั้ง ๒ ท่านก็เช่นกัน ที่ควรจะเป็นตามปรัชญา "คนเหมาะกับหน้าที่" แล้ว ท่านน่าจะแยกแยะระหว่างคำว่า รัฐมนตรี-ปลัดฯ กับคำว่า messenger ได้ชัดเจนกว่านี้
ประชาชนดูแคลนครับ!
ผมมีข้อให้สังเกต กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ เรื่องแง่มุมกฎหมายนี้ต้อง "ฟังละเอียด-คิดละเอียด" ถ้าผลีผลามแบบ "ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมาปฏิบัติ" ระวัง..จะจุกทีหลัง
อย่างกรณีนี้ อย่าไปสรุปเอาเองว่า "กฤษฎีกาตีความแล้วให้ ITV ดำเนินต่อไปได้โดยไม่ผิดกฎหมาย" นะครับ
ฟังให้ดี ฟังที่ "อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์" ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่พิจารณาเรื่องนี้ท่านออกมาบอก คือท่านบอกเพียงว่า
"กรมประชาสัมพันธ์เข้าบริหารสถานีโทรทัศน์ UHF แทน บมจ.ไอทีวี ได้โดยไม่ขัดกับข้อกฎหมายในมาตรา ๘๐ ของ พ.ร.บ.คลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ เพราะกรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานที่ได้รับข้อยกเว้น ไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์แห่งใหม่"
นั่นก็คือ "กฤษฎีกาบอกเพียงในประเด็น คลื่น ITV นั้น กรมประชาฯ สามารถเข้าไปบริหารได้เท่านั้น
ส่วนกรมประชาฯ จะให้ใครจะเอาไปทำอะไร แบบไหน อย่างไร จะจอมืด-จอขาว อย่างไร มีผลเกี่ยวเนื่อง-ผูกพัน อันจะเป็นปัญหา หรือไม่มีปัญหาในอนาคต กับใคร อย่างไร?
กฤษฎีกาท่านไม่ได้บอกอะไรเลย!?
ครับ..ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกในเรื่อง ITV แล้วกระมัง ถือว่าเป็น "ชัยชนะของลูกหม้อชินคอร์ป & เทมาเส็ก" ด้วยเชิงธุรกิจที่ชาญฉลาดกว่า "คณะรัฐบาลสุรยุทธ์"
ครม.สุรยุทธ์ ๒ ก็ประกาศออกมาแล้ว นอกจาก "ดร.ฉลองภพ สุสังกรกาญจน์" ที่มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แล้ว
ไม่มีอะไร "เป็นที่หวังได้" จากบุคคลที่วนๆ แล้วจับใส่เข้ามาอีก ๒-๓ ตำแหน่ง และจาก "ทิศทาง" การปรับ ครม.นี้ ก็บอกได้คำเดียวว่า
"ไม่เห็นทิศทาง"!
ก็ห่วง และเสียดายคนระดับ "ดร.ฉลองภพ" เท่านั้น ด้วยเวลา ด้วยภาวะ และด้วยศรัทธาต่อรัฐบาลที่คล้อยต่ำ ลำพังความตั้งใจจริงของท่าน จะช่วยแก้ไขปัญหา และกอบกู้ศรัทธาให้รัฐบาลได้ซักกี่มากน้อย
ก็ยังหวั่นๆ อยู่!
ลอง "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรี ต้องออกมาตีตรารับรองคุณภาพ "พลเอกสุรยุทธ์" กันกลางบ้าน-กลางเมือง อย่างที่เห็นวานนี้ โดยนัยแล้วจะแปลความเป็นอื่นไม่ได้
นอกจาก "ป๋าออกมาช่วยดัน"!
ประโยคที่ท่านประธานองคมนตรีบอกกับนักข่าวว่า "ผมคิดว่าเขาจะต้องอยู่จนทำสำเร็จ จนถึงวาระที่จะต้องพ้นไป" ฟังแล้วไม่ทราบว่า..
นี่คือคำสั่ง!?
นี่คือคำชมเชย!?
หรือ นี่คือ..
"บัตรเสริม?"
บ้านเมืองภายใต้การนำของ "นายกฯ ทองคำบริสุทธิ์" ขณะนี้ เราต้องบริหารการอยู่บนความอร่ามเรืองที่นุ่มนิ่ม ด้วยพุทธพจน์ "อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ" ตนนั่นแล เป็นที่พึ่งแห่งตน ไว้ให้จงหนัก "ภัยรูปแบบใหม่" ดังที่นายกฯ เคยบอกนั้น "ปรากฏแล้ว" แต่น่าเสียดาย..คนบอกยังมองเองไม่เห็น!.
-----------------------------------------------------------
ไม่ต้องพูดอะไร นอกจากคำว่า ขอบคุณเปลว สีเงิน ครับ เพราะท่านนิยาม นายกสุรยุทธ์ได้หมดเลยในข้อความนี้
เมื่อเราบอกให้ทักษิณลาออก แล้วมันไม่ออก เพราะหน้าด้าน
แล้วท่านสุรยุทธ์ ผู้แสนดี หน้าบาง จะทนได้หรือครับ?