ทวงคืนดาวเทียมไทยคม [20 ก.พ. 50 - 18:46]
ก็กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกหนึ่งประเด็น เมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ออกมาส่งสัญญาณตรงไปตรงมาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อีกเรื่องว่า อยากได้ทรัพยากรและทรัพย์สมบัติของชาติที่ถูกซื้อไป โดยเฉพาะ ดาวเทียม คืนมา
พล.อ.สนธิ ตอกย้ำว่า
คงต้องไปว่าต่อในอนาคตว่าจะนำสมบัติของเรากลับคืนมาได้หรือไม่ ผมไม่ต้องกู้แผ่นดิน แต่ผมจะกู้สมบัติของผมคืนมา
ทันทีทันควัน โฆษกกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ก็ออกมาแถลงกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า รู้สึกแปลกใจในคำพูดของ พล.อ.สนธิ และต้องการคำชี้แจงจากรัฐบาลไทยว่า คำพูดดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไร
ผมรู้สึกว่าโฆษกกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์จะพูดเอาแต่ได้มากไปหน่อย
พูดกันแฟร์ๆแล้ว ผมเห็นด้วยกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่า ควรจะต้องเอาดาวเทียมไทยคมของไทยคืนมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามวิธีง่ายที่สุดก็คือ การให้รัฐบาลประกาศยกเลิกสัมปทานดาวเทียม เพราะการเอาสัมปทานที่เป็นความมั่นคงของประเทศไปขายให้ต่างชาติ ผิดกฎหมายอยู่แล้ว ไม่มีประเทศไหนยอม แม้แต่ประเทศสิงคโปร์ก็เถอะ
ความจริงตัวดาวเทียมนะไม่สำคัญเท่าไร ที่สำคัญที่สุดก็คือ วงโคจรดาวเทียม ในอวกาศต่างหาก ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมนั้น ถือเป็น อธิปไตยของชาติ เป็น สมบัติของประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก จะเอาไปขายให้ต่างชาติไม่ได้กว่าที่ประเทศไทยจะได้วงโคจรดาวเทียมเหล่านี้มา กระทรวงการต่าง ประเทศเองก็รู้ดีว่า ต้องใช้เวลาในการเจรจาต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมไทยคมกับชาติอื่นมาอย่างไร เพราะตำแหน่งนี้แย่งกันหลายประเทศ เนื่องจากจุดตำแหน่งวงโคจรที่เหมาะสมในอวกาศสำหรับแต่ละประเทศมีจำนวนจำกัด
ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม จึงเป็นสมบัติ เป็นอธิปไตย และเป็นความมั่นคงของประเทศ จะขายไปอยู่ในมือต่างชาติไม่ได้ แม้บริษัทเทมาเสกของรัฐบาลสิงคโปร์จะออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า ไม่ดักฟังหรอก แต่ความมั่นคงของชาติก็ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติคือ สิงคโปร์ไปแล้ว ตรงนี้คือจุดอันตราย
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศก็ดี หรือมีผลกระทบทางอ้อมต่อความมั่นคงของประเทศก็ดี ไม่มีประเทศไหนในโลกยอมปล่อยให้ มีการค้าเสรี หรอก ผมขอให้ดู สหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างการขายดาวเทียมก็ดี ขายเครื่องบินรบก็ดี ขายอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ดี แม้แต่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับยุทโธปกรณ์ เช่น อุปกรณ์เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโรงงานนิวเคลียร์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฯลฯ เป็นต้น รัฐบาลสหรัฐฯถือเป็นสินค้าความมั่นคง จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเสียก่อน บางกรณีต้องมีการขออนุมัติต่อรัฐสภาด้วยซ้ำ
ประเทศไทยเองผมเชื่อว่ากระทรวงกลาโหมก็คงมีกำหนดไว้ เท่าที่รู้ แม้แต่ถ่านไฟฉาย ผงชูรส สมัยก่อนที่มีสงครามรอบบ้าน รัฐบาลก็ถือว่าสินค้าต้องห้ามเป็น ยุทธปัจจัย ที่ต้องควบคุมการซื้อขายตามชายแดน ถ่านไฟฉายใช้จุดระเบิดได้ ผงชูรสใช้ห้ามเลือดได้ ประสาอะไรกับ ดาวเทียม และ ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงในวงกว้าง
เรื่องนี้ผมคิดว่ารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ น่าจะขานรับนโยบาย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เร่งเอาคืนมา ต่างชาติคงไม่มีใครติดใจเท่าไร ยกเว้นเทมาเสกและรัฐบาลสิงคโปร์ที่เห็นแก่ได้ เกินไป จนกลายเป็นไร้มารยาท
ดีที่สุด ผมคิดว่า รัฐบาลน่าจะเสนอให้เป็นกฎหมายออกมาเลย สินค้าและธุรกิจประเภทใด ที่เข้าข่ายเป็นสินค้าที่เกี่ยวโยงกับความมั่นคง ห้ามค้าขายเสรี ต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลหรือรัฐสภาเสียก่อน เพื่อป้องกันอนาคตเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ต้องไปทวงคืนอีก.
ลม เปลี่ยนทิศ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=37519