หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มหาดุริยกวี ห้าแผ่นดินประวัติหลวงประดิษฐ์ไพเราะ เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสินและนางยิ้ม ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ที่ตำบลคลองดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม ครูสินบิดาของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นั้นเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขกหรือ มี ดุริยางกูร) ส่วนชีวิตครอบครัวนั้น หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้แต่งงานครั้งแรกกับภรรยาชื่อ โชติ มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ คุณหญิงชิ้น อาจารย์บรรเลง (สาคริก) นายประสิทธิ์ และนายชัชวาล (รุ่งเรือง) ส่วนภรรยาคนที่ 2 ชื่อ ฟู มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ พัลลิกา ขวัญชัย น.อ.สมชาย และนายสนั่น ศิลปบรรเลง หลวงประดิษฐ์ไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุได้ 73 ปี
การศึกษาวิชาดนตรีหลวงประดิษฐ์ไพเราะเริ่มหัดดนตรีกับบิดาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ โดยเริ่มต้นเรียนฆ้องใหญ่ก่อน แล้วเริ่มหัดระนาดอย่างเอางานเอาการเมื่ออายุได้ 11 ปีจนสามารถออกงานประชันฝีมือได้ตั้งแต่อายุเข้าสู่วัยหนุ่ม โดยได้แสดงฝีมือเดี่ยวครั้งแรกที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ในงานโกนจุกธิดาของพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ ข้าหลวงใหญ่แห่งมณฑลราชบุร
ผลงานในปี พ.ศ. 2443 อายุ 19 ปี ได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธฮ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ถ้ำเขางู จังหวัดราชบุรี เป็นที่ต้องพระทัยเป็นอย่างมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ในปีต่อมาได้ทำหน้าที่เป็นจางวางหมาดเล็ก จึงขนานนามท่านว่า จางวางศร ตั้งแต่นั้นมา แสะได้เป็นคนตีระนาดเอกประจำวงพิณพาทย์วังบูรพาฯ โดยทรงหาครูมาสอนหลายคน ที่สำคัญคือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว
วังบูรพาภิรมย์ในสมัยรัชกาลที่ 5
เมื่ออายุครบบวช ก็ได้บรรพชาที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้ลาลิกขาบทแล้วทรงจัดการให้แต่งงานกับนางสาวโชติ หุราพันธ์ ธิดาของพันโทพระประมวลประมาณพล ตั้งแต่มาอยู่ที่วังบูรพาฯ จางวางศรได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เป็นอย่างมากซึ่งหาใครเปรียบไม่ได้ ทรงจัดหาครูที่มีฝีมือดีเด่นทุกทางมาสอน ทรงบังคับให้ฝึกซ้อมจนถึงทรงลงพระอาญา นับว่าทรงเคี่ยวเข็ญมาก จนจางวางศรได้ชื่อว่า เป็นคนเก่งที่สุดแห่งยุคนั้น จางวางศรประชันระนาดกับผุ้ใดก็ชนะ นำความชื่นชมโสมนัสมาสู่องค์ผู้ทรงอุปถัมภ์เป็นอย่างยิ่ง จางวางศรไม่ใช่เป็นแต่เพียงนักดนตรีที่มีฝีมือ มีความรู้รอบตัว สามารถเล่นดนตรีได้ทุกประเภทเท่านั้น ท่านยังมีสติปัญญาเฉียบแหลมสามารถค้นคิดประดิษฐ์เพลงตำราได้อย่างไพเราะในเวลาอันรวดเร็ว ราวกับว่าทำนองเพลงนั้น หลั่งไหลออกมาจากสมองของท่านอย่างไม่ขาดสาย ท่านเป็ฯคนจำเพลงแม่น มีปฏิภาณดีเยี่ยม และมีนิสัยชอบค้นคิดประดิษฐ์เทคนิคการบรรเลงแบบใหม่ๆ ขึ้น
ในสมัยรัชกาลที่ 5 จางวางศรเพิ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่นานนักแต่ท่านก็ได้แสดงฝีมือไว้ไม่น้อยทีเดียว คือ ได้เป็นนักดนตรีชุดพิเศษของหลวง ที่เรียกว่า วงปี่พาทย์ฤาษี เช่น เมื่อครั้งตามเสด็จวังบูรพา ไปอินโดนีเซีย ท่านก็ได้นำเพลวาหลายเพลงมาปรับปรุงเมื่อปี พ.ศ. 2451 เพลงรุ่นนี้คือ เพลงบุญเดินชอร์ค (สมัยนี้เรียกว่า บูเช็นชอก แปลว่า ไกลกังวล) เพลงยะวาเก่า ฯลฯ จางวางศรเป็นผู้นำเครื่องดนตรีชวา ซึ่งเขย่าด้วยไม้ไผ่เรียกว่า อังกะลุง ซึ่งมีเพียง 5 เสียงเข้ามาเมืองไทย ในปีนั้น โดยประดิษฐ์ให้เป็นเสียงไทย 7 เสียง แล้วมอบให้ศิษย์ ชื่อ นายเอื้อน ดิษฐ์เชย เอาไปเหลาที่บ้านสวนมะลิ นำออกเขย่าเผยแพร่ โดยเขย่า 2 มือ มือละเสียง เท่ากับว่าเป็นการพัฒนาวงอังกะลุงของชวาให้มาเป็นแบบไทย จางวางศรจึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวงอังกะลุง และครูเอื้อนจึงได้ชื่อว่า เป็นคนเหลาอังกะลุงคนแรก บรรเลงครั้งแรกที่วัดราชาธิวาสในงานกฐินหลวง
ในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ เลียบมณฑลปักษ์ใต้ ท่านได้ประดิษฐ์เพลงเขมรเขาเขียวขึ้นเป็นเพลงเถา ใช้ชื่อว่า เพลงเขมรเลียบนคร ทำเป็นทางกรอขึ้นบรรเลงถวาย นับเป็นการประดิษฐ์ทางบรรเลง ทางกรอ ขึ้นใหม่ เป็นวัฒนาการอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันมาจนปัจจุบัน จางวางศรได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ทั้งๆ ที่ ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อนเลย ทั้งนี้เพราะเป็นผู้มีฝีมือและความสามารถมากมายเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยมาก
เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงจัดให้มีการบันทึกเพลงไทยเป็นโน้ตสากล หลวงประดิษฐ์ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเพลงร่วมกับครูดนตรีหลายท่าน อาทิ พระยาเสนาะดุริยางค์ จางวางทั่ง พายทโกศล อาจารย์มนตรี ตราโมท โดยมีขุนสมาน เสียงประจักษ์ นายพิษณุ แช่มบาง นายโฉลก เนตราสูตร เป็นผู้ช่วยเขียนบันทึกลงเป็นโน้ตสากล ผลงานนี้ได้เก็บไว้ที่กองสังคีต กรมศิลปากร และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมบริพัตรฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 หลวงประดิษฐ์ไพเราะต้องรับหน้าที่ควบคุมวงดนตรี ณ วังลดาวัลย์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์ เพิ่มเติมขึ้นอีกวงหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า วงบางคอแหลม ได้ประดิษฐ์ทางเพลงสำหรับวงบางคอแหลมขึ้นเป็นพิเศษ เช่น แขกลพบุรีทางบางคอแหลม เชิดจีนทางบางคอแหลม เป็นต้น
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2469 ได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ซึ่งเป็นสมัยรัชกาลที่ 7 หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีไทย แก่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งได้มีส่วนช่วยในงานพระราชนิพนธ์เพลงไทยสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรลออองค์เถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น รวมทั้ง ได้ช่วยก่อตั้งวงมโหรีส่วนพระองค์ และวงมโหรีหญิงในราชสำนักด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 และได้รับพระราชทานตราเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ในปี พ.ศ. 2473 รับตำแหน่งปลัดกรมปี่พาทย์และโขนหลวงกระทรวงวังและรับพระราชทานเงินเดือนเดือนละ 150 บาท ในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จเจริญพระราชไมตรี ไปยังเมืองเขมรในปี พ.ศ. 24722473 หลวงประดิษฐ์ฯ ได้ตามเสด็จด้วย และได้ช่วยสอนดนตรีให้แก่ราชสำนักเขมรหลายเดือน เมื่อกลับมาก็ได้นำเพลงสำเนียงมาประดิษฐ์ขึ้นเป็นเพลงไทยหลายเพลง อาทิ ขะแมร์ชม ขะแมร์ชอ ขะแมร์กอฮอม เป็นต้น
หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความโอบอ้อมอารี อุปถัมภ์ค้ำชูนักดนตรีด้วยกัน รักและห่วงใยลูกศิษย์เสมอ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีนักดนตรีจากเมืองมอญมาอยู่กับท่านชื่อ ครูสุ่ม ดนตรีเจริญ หลวงประดิษฐ์ฯ ให้การอุปถัมภ์ในตอนต้นและให้ความนับถือแลกฝีมือและแลกเพลงซึ่งกันและกัน จึงเกิดเป็นเพลงเถาใหม่ๆ ขึ้นในยุคนั้นหลายเพลง หลวงประดิษฐ์ไพเราะแต่งเพลงไว้มากกว่า 300 เพลง บางเพลงก็ร่วมแงกับนักดนตรีท่านอื่น อาทิ พระยาประสานดุริยศัพท์ มีทั้งที่แต่งขึ้นจากเพลงสองชั้นของเดิมที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด และที่ดัดแปลงมาจากเพลงของต่างชาติ เป็นเจ้าของเพลงโหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบัดกีบ และโหมโรงบุญเดินซอล์ค เป็นต้น
ส่วนเพลงเถานั้นมีอยู่เป็นจำนวนนับร้อยเพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้แต่งขึ้น อาทิ กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา ครวญหาเถา จีนล่นถันเถา ฯลฯ ในบรรดาเพลงเถาต่างๆ ได้ทำเพลงสี่ชั้น สามชั้น สองชั้น และ ชั้นเดียว ไว้หลายเพลง อาทิ สุรินทราหู เขมรไทรโยค แขกพราหมณ์ ดาวจระเข้ เป็นต้น
สำหรับกระบวนทางเปลี่ยน ได้ทำทางเปลี่ยนไว้มากมาย อาทิ ช้าปี่ ดำเนินทราย ตามกวาง ทองย่อน พราหมณ์ดีดน้ำเต้า สร้อยเพล นกจาก ฯลฯ หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นต้นคิดบันทึกเพลงไทยออกเป็นโน้ต 9 เสียงเป็นต้นกำเนิดเพลงกรอ และเป็นต้นกำเนิดวิธีตีระนาดแบบสะบัดขยี้ รัว กวาดกรอ แบบพิสดารต่างๆ เหลือจะพรรณนาได้ บรรดาลูกศิษย์ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะมีมากมายกระจายไปทั่วทุกทิศทั้งชายและหญิง อาทิ นายเผือด นักระนาด, โชติ ดุริยประณีต, ชื้น ดุริยประณีต, ประสิทธิ์ ถาวร, บุญยงค์ เกตุคง ฯลฯ ศิษย์ที่เป็นผู้หญิงมีบุตรสาวทั้งสองคน คือ คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง และนางมหาเทพกษัตรสมุห (บรรเลง สาคริก) จันทนา พิจิตรคุรุกา, จิ้มลิ้ม กุลตัณฑ์, สุคนธ์ พุ่มทอง ฯลฯ
ข้อมูลจากฐานข้อมูลดนตรีของไทยพัฒนา โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร