หนึ่งประเทศ สองรัฐบาล โดย ชำนาญ จันทร์เรืองเราเคยมีความรู้สึกแปลกๆ ออกไปทางขำๆ เมื่อคราวที่เขมรมีนายกรัฐมนตรีสองคนใน
รัฐบาลเดียวกัน ซึ่งสภาพการณ์ของเขมรที่ว่านั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สภาพการณ์ที่
คล้ายคลึงกับสภาพการณ์ดังกล่าวแต่เป็นสภาวะหนึ่งประเทศ สองรัฐบาลกลับบังเกิด
ขึ้นในประเทศไทยภายหลังที่มีการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ เข้าบริหารประเทศภาย
ใต้เปลือกหอยของคณะ คปค. ที่ทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 แล้วแปรสภาพเป็น
คมช. ในปัจจุบัน
ที่กล่าวว่าสภาพการณ์ของไทยเราในปัจจุบันอยู่สภาวะหนึ่งประเทศสองรัฐบาลนั้นมาจาก
การพิเคราะห์การปฏิบัติงานของ คมช.
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่ว-
คราว) พุทธศักราช 2549 ที่ลอกแบบมาจากธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพุทธ
ศักราช 2534 หรือฉบับ รสช. เกือบทั้งฉบับ โดยกำหนดบทบาทของ คมช. ไว้
แตกต่าง
จากธรรมเนียมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไป
เป็นอย่างมาก อาทิ
- การให้ประธาน คมช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง สภานิติบัญญัติ
แห่งชาติและการแต่งตั้งประธานสภาและรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา
7 วรรคสาม ซึ่งอำนาจนี้โดยปกติแล้วจะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี
- การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง (ปลด???) ให้
ประธาน คมช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามมาตรา 14 วรรคสาม ซึ่ง
โดยทั่วไปแล้วอำนาจที่ว่านี้จะเป็นของประธานสภานิติบัญญัติ
- ประธาน คมช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานสภาและรอง
ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา 19 วรรคสาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอำนาจที่ว่านี้จะ
เป็นของประธานสภานิติบัญญัติ
- ประธาน คมช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ
ตามมาตรา 20 ซึ่งโดยปกติแล้วอำนาจที่ว่านี้จะเป็นของประธานสภานิติบัญญัติเช่นกัน
- ประธาน คมช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่าง
รัฐธรรมนูญตามมาตรา 23 วรรคสาม ซึ่งในกรณีนี้ควรเป็นอำนาจของประธานสภานิติบัญญัติ
- ประธาน คมช. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญฯ
ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งตามมาตรา 32 ซึ่ง
อธิบายได้ง่ายๆ ว่า
ประธาน คมช. ใหญ่กว่านายกฯ นั่นเองที่สำคัญและได้มีการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากก็คือประเด็นตาม
มาตรา 36ที่ว่าบรรดาประกาศและคำสั่งของ คปค. หรือหัวหน้า คปค. ให้มีผลใช้บังคับต่อไปและ
ให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าการปฏิบัติ
ตามประกาศหรือคำสั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศ
หรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็หมายความว่า
ทำอย่างไรก็ไม่มีทางขัดรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะผิดหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนหรือ
หลักนิติรัฐก็ตามและตาม
มาตรา 37 ที่ว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและ
ควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อ 19 ก.ย. 49 ของหัวหน้าและคณะ คปค. รวม
ตลอดทั้ง การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับ
มอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะ คปค. หรือของผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมาย
จากหัวหน้าหรือคณะ คปค. อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่ว่ากระทำใน
วันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้
ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็หมายความว่า
อยู่เหนือ
กฎหมาย ทั้งปวง นั่นเอง
จากสภาพการณ์ดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่าบ้านเมืองเราตกอยู่ในสภาวะที่มี รัฐบาลซ้อน
รัฐบาล ซึ่งสร้างความยากลำบากในการบริหารประเทศเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่เห็น
ได้ชัดก็คือ ประธาน คมช. ซึ่งก็คือ ผบ.ทบ. ในปัจจุบันที่มีสถานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
ของนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือแม้กระทั่ง ผบ.สูงสุด แต่เวลาประชุมร่วมกัน
ผบ.ทบ. ในฐานะประธาน คมช. กลับเป็นประธานในที่ประชุมฯ ในทำนองกลับกัน เวลา
นายกฯ ไปราชการภาคใต้ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับความมั่นคงโดยตรง ประธาน คมช. กลาย
เป็นผู้ติดตามไปเสียนี่
ในอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการยกเลิกกฎอัยการศึกที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งโดยปกติ
แล้วจะประกาศใช้ในภาวะสงครามหรือมิคสัญญีเท่านั้น ในทางนิตินัยรัฐบาลสามารถสั่งการ
ให้ยกเลิกได้อยู่แล้ว เพราะ ผบ.ทบ. หรือ ผบ.สส. ซึ่งเป็นผู้ประกาศใช้กฎอัยการศึก อยู่
ภายใต้อำนาจการบริหารของรัฐบาล แต่ในทางพฤตินัยกลับต้องให้ คมช. ให้ความเห็นชอบ
หรือเป็นผู้เสนอเรื่อง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งในความเป็นจริงความ
มั่นคงก็มิได้มีเฉพาะความมั่นคงทางทหารเท่านั้น ยังมีความมั่นคงทางด้านการเมืองหรือ
เศรษฐกิจและด้านอื่นๆ อีก ซึ่งจะมิกลายเป็นว่าต้องผ่าน คมช. ไปเสียทุกด้าน หรือว่า
แล้วแต่อยากจะให้ผ่านก็ไปผ่าน ไม่อยากให้ผ่านก็ไม่ต้องไปผ่านกระนั้นหรือ
ว่ากันตามจริงแล้วนอกเหนือจากอำนาจที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้ สถานภาพของ
คมช. นั้นมีสถานะเป็นเพียง
ที่ปรึกษา เท่านั้น ไม่มีอำนาจในการสั่งการ ไม่ว่าจะเป็นด้าน
การบริหาร นิติบัญญัติหรือตุลาการแต่อย่างใด เพราะ คมช.
มิใช่อำนาจอธิปไตยที่สี่หรือ
องค์อธิปัตย์ (Leviathan) ที่
อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะเป็นฉบับชั่วคราว ก็ตาม
และที่น่ากังวลเป็นที่สุดหากรัฐธรรมนูญฉบับที่จะร่างกันต่อไปนี้ ยังคงกำหนดให้มี คมช.
ต่อไป ซึ่งอาจจะแปรสภาพเป็น ค. อะไรก็แล้วแต่ หรือยังคงอำนาจของ คมช. ไว้ในรูป
แบบใดรูปแบบหนึ่ง ดังเช่นกรณีการร่างรัฐธรรมนูญฯปี 2534 ที่หมกเม็ดไว้ในมาตรา 216
ของบทเฉพาะกาลต่อท่ออำนาจให้ประธาน รสช. เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
นายกรัฐมนตรี จนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ขึ้นในเวลาต่อมา
นั่นเอง
ปกติในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งสูงไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็บริหารงานยากลำบาก
อยู่แล้ว และในสถานการณ์ที่ไม่ได้มาด้วยวิถีทางประชาธิปไตยเยี่ยงปัจจุบันนี้ ยิ่งต้องการ
ความชัดเจนในอำนาจหน้าที่เป็นพิเศษ เพราะการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองคงลุล่วงไปด้วยดี
ไม่ได้แน่ หากประเทศเรายังตกอยู่ในสภาวะ หนึ่งประเทศ สองรัฐบาล เช่นนี้
----------------------------------------------
หมายเหตุ คปค. = คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คมช. = คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
รสช. = คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
- ตีพิมพ์ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2549
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5940&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thaiไหนว่าแบบไทยๆ ไม่มีใครเหมือน
ไหงไปเหมือนเขมรได้ล่ะนี่
หรือไม่เหมือน เพราะแย่กว่า???