สัมฤทธิผลนิยม (Pragmatism ) ของปัญญาชนไทย
กับการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549กรุงเทพธุรกิจ 8 พฤศจิกายน 2549 11:47 น.ธงชัย วินิจจะกูล มหาวิทยายาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 มักอ้างผลของโพลล์
หลังรัฐประหารที่บอกว่า
80% ของคนไทยสนับสนุนการรัฐประหาร
ต่อให้เราไม่กังขากับความน่าเชื่อถือของโพลล์ชิ้นนี้ ก็ยังคงมีคำถามที่น่าคิดอยู่ดี อาทิ
เช่น
ทำไมผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหารจึงเชื่อและถือเอาโพลล์รายนี้เป็นความชอบธรรม
ของการรัฐประหาร แต่กลับไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง? นักวิชาการชื่อดังถึงขนาดเอามาเป็น
หลักฐานประกอบ"สิทธิในการทำรัฐประหาร" ปัญญาชนผู้มีทั้งข้อมูลและคุณธรรมถือเอา
ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ในการเลือกข้อมูลสนับสนุนตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?
สมมติว่า
ก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน ผู้จัดทำโพลล์รายเดียวกันนี้ ออกสำรวจความเห็นของ
ประชาชนรายเดียวกันทั้งหมด ถามคำถามง่ายๆเพียง 2 ข้อได้แก่
ก. ควรแก้วิกฤติทางการเมืองขณะนั้นด้วยการรัฐประหารหรือด้วยวิธีทางประชาธิปไตย
ข. หากมีความพยายามทำรัฐประหาร ท่านสนับสนุนหรือไม่
ผู้เขียนมั่นใจว่าคนเหล่านี้แทบทั้งหมดจะตอบว่าให้ใช้วิถีทางประชาธิปไตยและไม่
สนับสนุนการรัฐประหารข้อสมมตินี้มีความเป็นไปได้มาก แต่ถ้าเช่นนั้นเราจะอธิบาย
80%
หลังการรัฐประหารอย่างไร?
เอาอย่างนี้ดีกว่าสมมติว่าก่อนหน้าการรัฐประหารมีผู้เอาคำถาม 2 ข้อนี้ไปสอบถาม
อ.ไชยันต์ ไชยพร อ. ธีรยุทธ บุญมี ศ.เขียน ธีระวิทย์ ศ. สุรพล นิติไกรพจน์ ศ. ชัยอนันต์
สมุทวณิช ศ. จรัส สุวรรณมาลา อ.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ ศ. เสน่ห์ จามริก สว. ไกรศักดิ์
ชุณหะวัณ สว.การุณ ใสงาม สว.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สว.แก้วสรร อติโพธิ สนธิ ลิ้มทองกุล
และทุกท่านที่สนับสนุนหรือแก้ต่างให้แก่การรัฐประหาร หรือที่ยอมรับอำนาจคณะรัฐประหาร
อย่างเชื่องๆ อยากทราบว่าท่านเหล่านี้จะตอบว่าอย่างไร?
หากท่านตอบว่าควรแก้วิกฤตด้วยการรัฐประหารและสนับสนุนความพยายามทำรัฐประหาร
มาแต่ไหนแต่ไรผู้เขียนจะขอปรบมือให้กับความคงเส้นคงวาของท่าน แล้วค่อยเถียงกันต่อ
ว่าประชาธิปไตยเลวขนาดนั้นเชียวหรือ
แต่ผู้เขียนกลับมั่นใจว่าทุกท่านคงจะตอบว่าให้ใช้วิถีทางประชาธิปไตย และไม่สนับสนุน
การรัฐประหาร (ไม่แน่ใจว่าอ.เขียนขบคิดทฤษฎี "สิทธิในการทำรัฐประหาร" มานานหรือ
ยัง หากเพิ่งคิดได้หลัง 19 ก.ย. ก็คงตอบเหมือนคนอื่นๆ) ท่านอธิการบดี มธ. บอกว่าจน
ถึงวันนี้ก็ยังคัดค้านการรัฐประหาร เป็นไปได้ว่าหลายคนใน คปค. คมช. คตส. และ สนช.
ก็คัดค้านการรัฐประหาร แต่ทำไปเพราะความจำเป็นเพื่อชาติ
ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดเพียงข้ามคืนหลังการรัฐประหาร ผู้ใหญ่ที่คนเคารพทั่วบ้านเมือง
จึงกลับลำกลายเป็นสนับสนุนหรือแก้ต่างให้แก่การรัฐประหารหรือยอมรับอำนาจคณะ
รัฐประหารอย่างเชื่องๆกันหมด?
80% ของคนไทยน่าทึ่งน้อยกว่าผู้นำทางปัญญาชนผู้มีทั้งข้อมูลและคุณธรรมเหล่านี้
บทความนี้อธิบายการกลับลำว่าเป็นเพราะ Pragmatism เพื่อสัมฤทธิผลตามทัศนะของ
เขาแค่นั้นเอง(อีกบทความที่จะตามมาติดๆ จะอธิบายว่าพวกเขาไม่ได้กลับลำเลย เพราะ
ความคิดเบื้องลึกของพวกเขาเป็นเช่นนี้มานานแล้ว แต่มิได้รู้เท่าทันความคิดของตนเอง
การรัฐประหารมาช่วยให้พวกเขาแสดงความคิดแท้ๆ ออกมา)
Pragmatism แปลอย่างง่ายๆ คือ ความคิดที่ถือเอาสัมฤทธิผลหรือ
ความสำเร็จตาม
ต้องการเป็นหลักใหญ่ที่สุดในการตัดสินใจหรือเลือกกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ความถูกผิดตามหลักการใดๆ แม้แต่หลักกฎหมายย่อม
เป็นเรื่องรองมีคำกล่าวกันมานานแล้วในหมู่ผู้สนใจศึกษาเรื่องเมืองไทยว่า Pragmatism คือ
คุณลักษณะของคนไทย สังคมไทยจึงไม่เคร่งครัดหนักหนากับกฎระเบียบ กฎหมาย
หรืออุดมการณ์ แนวคิดหลักศีลธรรมอะไร กลับยอมย่อหย่อนได้เพื่อสัมฤทธิผล
บางคนเรียกแนวคิดนี้ว่า
แมวสีอะไรก็ได้ถ้าจับหนูสำเร็จ แต่สีของแมวไม่เกี่ยวข้องกับ
หลักเกณฑ์ความถูกต้องทางการเมือง กฎหมาย หรือจริยธรรม คุณธรรมใดๆ หากเรา
แคร์ต่อความถูกต้องมีคุณธรรมอย่างที่เรียกร้องกันจริง เราต้องระวังว่า สีของแมวอาจ
เป็นแค่ข้ออ้างปิดบังการใช้วิธีเยี่ยงโจรไปจับโจร ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งสังคมตกต่ำกลาย
เป็นสังคมโจร
ในการรัฐประหารครั้งนี้มี Pragmatism ที่สำคัญ 4 ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง Pragmatism ที่อันตรายที่สุดคือความคิดว่า
การรัฐประหาร "เป็นทางออก
สุดท้าย" "ไม่มีทางเลือกอื่น" หรือกล่าวอีกแบบแต่มีความหมายเท่ากันได้ว่า
"ทำยังไง
ก็ได้ให้ทักษิณออกไปเป็นใช้ได้" คนเหล่านี้โกรธเกลียดทักษิณถึงจุดสูงสุดมานานแล้ว จึงพยายามทุกท่าเพื่อจะขจัด
ทักษิณให้ได้แม้ว่าจะไม่เป็นประชาธิปไตยก็ตาม เช่น การเรียกร้องให้ใช้มาตรา 7
ปัญญาชนผู้เรียกร้องคุณธรรมกลับโกรธเกลียดจนไม่สนใจใช้วิธีที่ถูกต้องชอบธรรม
กระทั่งพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเองว่า มาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย พวกเขา
จึงยอมหยุดเรียกร้อง
แต่แทนที่จะรู้สำนึกถึงความคิดที่ผิดๆ พวกเขากลับเห็นว่าเป็นแค่เรื่องของกลยุทธ แล้ว
ยึดถือ Pragmatism แบบผิดๆต่อไป ดังนั้นความคิดที่ผิดและวิธีผิดจึงไม่ถูกสะสาง ถูก
มองว่าเป็นแค่สีของแมว รัฐประหารก็เป็นแค่สีของแมว จึงไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือน่ารังเกียจ
หากช่วยให้บรรลุสัมฤทธิผล นักรัฐศาสตร์ชั้นนำของไทยถึงกับเสนอคำอธิบายรองรับ
สิทธิในการทำรัฐประหาร
เมื่อเหลวไหลกันถึงขนาดเห็นว่าวิธีโจรเป็นแค่สีของแมว การเมืองย่อมตกต่ำไร้หลักเกณฑ์
ความถูกต้อง ไร้จริยธรรม คุณธรรมหรือกฎหมาย จนกลายเป็นการเมืองแบบโจร
เลวไม่น้อย
ไปกว่าระบอบที่ตนต่อต้านสำหรับพวกเขาการเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้กันไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องมีหลักเกณฑ์ความ
ถูกต้องอะไรทั้งนั้น คนที่คิดเช่นนี้จึงนับว่าเป็นนักการเมืองไม่ต่างจากนักการเมืองที่พวก
เขารังเกียจเสียอีก
พวกเขาไม่เคยฉุกคิดว่าในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยทำไมพวกเขาจะต้องชนะ
เดี๋ยวนี้? ทำไมไม่ต่อสู้ในครรลองประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมจนกว่าประชาชน
จะเห็นด้วย? ทำไมในเมื่อคนจำนวนมหาศาลยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกเขา จึง
ต้องสนับสนุน "ทางออกสุดท้าย" ? เพียงเพื่อให้ความคิดของพวกเขาสัมฤทธิผลงั้นหรือ?
นี่คืออำนาจนิยมของชนชั้นนำขนานแท้ทั้งรูปแบบและเนื้อหา
ทฤษฎีสิทธิในการรัฐประหารคือทฤษฎีของชนชั้นนำ
ขี้แพ้ชวนตีที่ชนะตามครรลองไม่ได้
ก็ตะแบงหาเหตุผลมาสนับสนุนการใช้กำลัง นี่คือทฤษฎีอำนาจนิยมขนานแท้ทั้งรูปแบบ
และเนื้อหา
ผู้เขียนเห็นว่า
ทักษิณหมดความชอบธรรมตั้งแต่กรณีซุกหุ้นครั้งแรกเพราะทำผิดกฎหมาย
ทักษิณรอดมาได้ไม่ใช่แค่เพราะเขามีความร่ำรวยมหาศาลเป็นกำลังภายในเท่านั้น แต่
เพราะผู้นำทางสังคมและปัญญาชนช่วยกันป่าวร้องอุ้มชูทักษิณไว้จนกลายเป็นกระแส
สังคม ด้วยเหตุผลว่าต้องการให้ทักษิณเป็นผู้นำต่อ พวกเขาเป็น Pragmatist ที่ไม่เคารพ
หลักกฎหมายหลักจริยธรรมทางการเมืองใดๆ แทนที่จะยึดหลักกฎหมายอย่างไม่เข้าใคร
ออกใคร Pragmatist กลับช่วยกันแก้ต่างให้เขา ทำให้ทักษิณเป็นอภิสิทธิชนเหนือกฎหมาย
"ระบอบทักษิณ" งอกเงยขึ้นมาได้เพราะความเหลวไหลไร้หลักการของ Pragmatist
ผู้ใหญ่พวกนี้แหละ
5-6 ปีต่อมาผู้นำทางสังคมหน้าเดิมๆ เปลี่ยนข้างมาต่อต้านทักษิณ แต่แนวคิดพฤติกรรม
ของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนเลยสักนิด นั่นคือทำอย่างไรก็ได้เพื่อสัมฤทธิผลตามที่เขาคิด
แต่คราวนี้คือทักษิณต้องออกไปทันที หลักการใดๆ แม้กระทั่งกฎหมายและครรลอง
ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผู้นำทางสังคมเหล่านี้ สัมฤทธิผลตามความเชื่อ
ของเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
การใช้อำนาจผิดๆ ของทักษิณและนโยบายอันตรายต่างๆ นานาของรัฐบาลนั้น
ไม่อยู่นอก
วิสัยที่จะต่อสู้ตามครรลองประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมเพราะประเทศไทยยังไม่
ใกล้ตกนรก ยังไม่ใช่ Failed State หรือวิกฤติที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อกัน
ทุกวี่วัน ตัวอย่างเช่น สื่อมวลชนที่ว่าโดนแทรกแซงก็ยังด่ารัฐได้ทุกวี่วัน สื่อมวลชน
ชวนเชื่อของฝ่ายต่อต้านทักษิณก็ไม่ถูกสั่งปิด แถมยิ่งนานวันสื่อที่เป็นอิสระจากรัฐยิ่ง
ต่อต้านทักษิณ ยิ่งนานวันความกลัวทักษิณถดถอยจนแทบไม่เหลือ
กระบวนการยุติธรรมของไทยเป็น Pragmatist ยิ่งกว่าใครอื่น ดังนั้นการสยบต่ออำนาจ
จึงเป็นจารีตปกติมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แค่ผลงานของทักษิณ ครั้นท่านทั้งหลาย
ตระหนักดีว่าอำนาจของทักษิณไม่น่ากลัวอย่างที่คิดและมีอำนาจที่เหนือกว่าทักษิณอยู่
ในระยะหลังก่อนการรัฐประหาร ความกล้าของท่านจึงกลับสูงขึ้น แทนที่ผู้นำทางปัญญา
และสื่อมวลชนจะกล้าพูดความจริงที่น่าวิตกเกี่ยวกับ Pragmatism ที่ไร้หลักการไร้ความ
กล้าหาญทางวิชาชีพ ของกระบวนการยุติธรรม หรืออย่างน้อยก็อย่าสรรเสริญ ปัญญาชน
และสื่อมวลชนกลับแซ่ซ้องสรรเสริญตุลาการภิวัตน์เพียงเพราะพอใจที่กระบวนการยุติธรรม
เริ่มเข้าข้างตน พวกเขาให้ท้ายเพียงเพราะต้องการสัมฤทธิผลเฉพาะหน้า
วาทกรรม "ทางออกสุดท้าย" จึงเป็นแค่วาทกรรมแบบกระต่ายตื่นตูมหลังรัฐประหารเพื่อ
รองรับความชอบธรรมให้แก่สัมฤทธิผลที่ตนพอใจแค่นั้นเอง แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือผู้นำทาง
ปัญญาจำนวนมากรู้ดีว่าการต่อสู้ตามครรลองประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมมีความ
เป็นไปได้สูงขึ้น แต่พวกเขายังออกมาร้อง "ฟ้าถล่ม" "ประเทศไทยกำลังตกนรก" "วิกฤติ
ที่เลวร้ายที่สุดในโลก"
เพื่อสร้างความชอบธรรมแก่การรัฐประหารอยู่ดี
พวกเขาแก้ต่างให้แก่การรัฐประหารด้วยการตอกย้ำความเลวของทักษิณแต่พวกเขาไม่เคย
ตอบได้กระจ่างเลยว่า
ความเลวขนาดไหนจึงสมควรใช้การรัฐประหาร คนไทยโง่เง่าขนาด
ไหนจึงไม่คู่ควรกับวิถีทางประชาธิปไตย รัฐบาลอเมริกาขณะนี้ยังดีกว่าทักษิณขนาดไหน
ก่อปัญหาให้กับโลกน้อยกว่าทักษิณขนาดไหนจึงยังยอมให้สู้กันในกติกาประชาธิปไตยได้
แต่คนไทยต่ำชั้นกว่าหรืออย่างไรจึงไม่อาจยอมให้ใช้วิถีทางประชาธิปไตยต่อสู้กับทักษิณ
ได้อีกต่อไป Pragmatism แบบ "ทางออกสุดท้าย" ถือเอาความโกรธเกลียดของชนชั้นนำ
เป็นที่ตั้งโดยแท้
พวกเขาจึงต้องทำให้ทักษิณเป็นภูติผีปีศาจแทนที่จะต่อสู้อย่างเป็นธรรม ต้องกุเรื่อง
ไม่เป็นเรื่องอย่างเช่นปฏิญญาฟินแลนด์ขึ้นมาเพื่อขยายความเกลียดชัง กุผีคอมมิวนิสต์
ขึ้นมาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ใช้วิธีการทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมทางการเมือง
ไม่ต่างจากทักษิณ ลงท้ายผู้ต่อต้านทักษิณจำนวนมากตกเป็นเหยื่อคือกลัวภูตผีปีศาจที่
ตนเองสร้างขึ้นมา ตกอยู่ภายใต้ความ
โกรธเกลียดจนขาดสติ ไม่เห็นประโยชน์ของการ
ต่อสู้ตามครรลองประชาธิปไตย แต่กลับต้องการชนะโดยเร็วที่สุด แถมมีหลายคนที่มิได้
ตื่นตูมจริง รู้แก่ใจว่าหนทางประชาธิปไตยเป็นไปได้ แต่ทว่าเหลี่ยมจัดพยายามทำทุก
อย่างเพื่อหวังสัมฤทธิผลที่ตนต้องการ - แค่นั้นเอง
Pragmatism แบบนี้คือ ความมักง่ายของชนชั้นนำในสังคมที่ถือเอาตัวเองเป็นความ
ถูกต้องสูงสุด
ทฤษฎีที่อ้างว่าการรัฐประหารเป็นสิทธิอันชอบธรรมของทหารเพราะประเทศอยู่ท่ามกลาง
กฎหมายป่าคือทัศนะของชนชั้นนำชาวกรุงที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย และคือโฆษณา
ชวนเชื่อของคนเหลี่ยมจัดไม่ต่างจากทักษิณ
Pragmatism ประเภทนี้อันตรายที่สุดเพราะได้สร้างบรรทัดฐานแก่อนาคตว่า ถ้าหาก
ประชาชน
ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่
ชนชั้นนำคิดหรือรู้สึก การใช้กำลังทหารย่อม
เป็นสิทธิอันชอบธรรม
นี่คือบรรทัดฐานว่าการสู้กับโจรด้วยวิธีโจรเป็นสิทธิอันชอบธรรม การต่อสู้ด้วยอาชญากร
ด้วยอาชญากรรมเป็นสิ่งยอมรับได้ การสู้กับอำนาจที่ฉ้อฉลด้วยวิธีผิดๆ
สกปรกอย่างไรก็
พึงทำได้ ตราบเท่าที่สำเร็จตามที่ตนเองต้องการ ไม่ต้องสนใจหลักเกณฑ์ความถูกต้องทางการเมืองใดๆ ทั้งนั้น
Pragmatism ประเภทนี้ไม่สนใจศีลธรรมอย่างที่อวดอ้าง พวกเขามีมาตรฐานศีลธรรม
หลายชั้นตลอดเวลา เช่น ถือว่าการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐเป็นสิ่งเลวเป็นสื่อเทียม
แต่การโฆษณาชวนเชื่อของตนเป็นสิ่งดีเป็นสื่อแท้ การมอมเมาประชาชนโดยรัฐเป็น
สิ่งเลว แต่การโกหกใส่ร้ายป้ายสีกุข่าวทำเท็จให้กลายเป็นจริงเพื่อต่อสู้กับรัฐเป็นการ
ให้ข้อมูลให้การศึกษาแก่ประชาชน นักกฎหมายฝ่ายตรงข้ามเรียกว่าเนติบริกร ส่วน
เนติบริกรฝ่ายเราเรียกว่านักกฎหมายมหาชน
คนที่มีส่วนในอาชญากรรมเข่นฆ่าประชาชนเมื่อหลายปีก่อนจึงเป็นที่ยอมรับว่ามีคุณธรรม
สูงส่งก็ได้ถ้าหากเขาอยู่ข้างเดียวกับเราและช่วยให้เราบรรลุผลร่วมกันในคราวนี้
Pragmatism แบบนี้ช่วยฟอกตัวจนสะอาด ศีลธรรมและคุณธรรมสำหรับ Pragmatism
ประเภทนี้มีค่าเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
ประเภทที่สอง Pragmatist คือ ผู้ที่ย้ำว่า
"รัฐประหารเป็นเรื่องที่เกิดไปแล้วและเปลี่ยน-
แปลงแก้ไขอะไรไม่ได้" พวกเขาอาจจะไม่ได้สนับสนุนหรือแก้ต่างแทนการรัฐประหารเลย
อาจคัดค้านต่อต้านเสียด้วยซ้ำ แต่คำกล่าวอย่างไม่มีทางผิดดังกล่าวเปรียบได้กับการ
ปล่อยให้เกิดการกระทำความผิดต่อหน้าต่อตาผ่านเลยไปโดยไม่ต่อสู้ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน
ทาง (ศีลธรรม?) สังคมว่าอะไรผิดอะไรถูก
ใครจะข่มขืนใครโจรปล้นบ้านใคร อันธพาลยึดครองซอย ก็เป็นเรื่องที่เกิดไปแล้ว และ
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งนั้นแหละ พลเมืองดีควรทำแค่ปลอบใจเหยื่อและตัวเองว่า ช่างมัน
เถอะ อย่างนั้นหรือ? นี่ล่ะหรือคือความมีคุณธรรมจริยธรรมที่อวดอ้างกัน
มีเหตุผลได้หลายอย่างที่อาจอธิบาย Pragmatism ประเภทนี้ เช่น ความกลัว ความเกรงใจ
เพื่อนฝูงที่เป็น Pragmatist ประเภทแรก หรืออาจด้วยความเบื่อหน่ายต่อความไร้สาระของ
การเมืองที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ โดยที่ไม่ได้พอใจหรือเห็นด้วยกับการรัฐประหารแต่อย่างใดเลย
แต่เหตุผลเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้ Pragmatism ประเภทนี้เป็นที่พึงยอมรับแต่อย่างใด
อย่างมากก็เพียงน่าเห็นใจและพอเข้าใจได้ เช่น ความกลัว (แต่ย่อมเป็นหลักฐานว่าระบอบ
ทักษิณน่ากลัวน้อยกว่าระบอบรัฐประหาร)
คำกล่าวคล้ายๆ กันนี้ได้ยินบ่อยครั้งมากจากบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรรมกลาง
เมือง 6 ตุลาคม พวกเขาไม่ต้องการให้มีการขุดคุ้ย เล่าขาน หรือตัดสินคุณค่าใดๆ
ผลของ Pragmatism ประเภทนี้คือ ความขี้ขลาดทั้งของบุคคลและของสังคม ความไร้
หลักเกณฑ์ความถูกต้องทางการเมืองใดๆ ไร้บรรทัดฐานทางศีลธรรมของสังคม และ
การกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะผู้คนในสังคมสมรู้ร่วมคิดด้วยการเอาหูไปนาตาไปไร่
ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ คนที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชนคราว 6 ตุลาคม
และพฤษภา 35 กลับกลายเป็นคนที่ได้รับการยกย่องในคราวนี้ว่าเป็นผู้นำที่มีศีลธรรม
คุณธรรม เพราะสังคมไทยเห็นว่าโศกนาฏกรรมทั้งสองกรณี "เป็นเรื่องที่เกิดไปแล้วและ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้"
ขบวนการที่เรียกร้องคุณธรรมทางการเมืองคราวนี้แท้ที่จริงจึงเป็นแค่ขบวนการปากว่า
ตาขยิบเลือกที่รักมักที่ชัง ใครข้างเราถ้าทำอะไรไม่ดีก็เอาหูไปนาตาไปไร่ ใครไม่ใช่ก็
ถล่มมันซะจนกว่าจะ...ออกไป ปํญหาของคุณธรรมทางการเมืองจึงไม่ใช่แค่ทักษิณกับ
พวกและเนติบริกร 3 คนแต่รวมถึงผู้เรียกร้องเองด้วย ผู้ใหญ่ที่อ้างหรือเชื่อกันว่ามีคุณธรรม
บารมีสูงนั่นแหละน่ากลัวที่สุด
Pragmatism ประเภทนี้จึงอาจมิใช่การสนับสนุนการรัฐประหารโดยเจตนาหรือสำนึกรู้
แต่ย่อมเป็นการสมยอมต่อการกระทำผิดโดยปริยาย Pragmatist ประเภทนี้มักหลบเลี่ยง
คำถามเกี่ยวกับศีลธรรมหรือไม่ก็ยกให้เป็นเรื่องของคนอื่นซะ Pragmatism ประเภทนี้ยัง
เป็นฐานของ Pragmatism ประเภทต่อไป
Pragmatism ประเภทที่สาม ที่แพร่หลายมากๆ ในคราวนี้ คือ พวกที่บอกว่าตน
ไม่เห็นด้วย
กับการรัฐประหารเลย แต่ต้องเข้าใจความเป็นจริงว่ามันเกิดไปแล้วและต้องคิดถึงอนาคตคือเห็นว่าการประท้วงต่อต้านคงไม่เกิดประโยชน์ไม่เป็นผลดีที่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ดังนั้น
จึงควรผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยการเข้าร่วม
กับกลไกต่างๆ ของคณะรัฐประหารซะเลย ปัญญาชนหลายคนรวมทั้งอาจารย์ ผู้แทน
องค์กรสื่อมวลชน ผู้นำเอ็นจีโอ อ้างข้อนี้เป็นเหตุผลที่ไม่ออกมาคัดค้านและกลับร่วมมือ
กับคณะรัฐประหาร อธิการบดี มธ. ก็อ้างเหตุผลนี้ นายกสุรยุทธ์ก็อ้างว่ายอมเป็นนายก
เพราะเหตุผลนี้
ดูเหมือนว่าแทบไม่มีใครเลยที่ไม่คัดค้านการรัฐประหาร (คงมีแค่อ.เขียน เซี่ยงเส้าหลง
และคอลัมนิสต์ไม่กี่คนที่เอาจริงเอาจังกับโจ๊กรัฐศาสตร์ที่ว่าการรัฐประหารเป็นส่วนดีที่
จำเป็นของระบอบประชาธิปไตย) แต่ระบอบของคณะรัฐประหารอยู่ได้เพราะผู้ใหญ่ทั้ง
หลายเห็นความจำเป็นเพื่อชาติ จึงต้องช่วยกันประคับประคองสิ่งที่ตนคัดค้านให้ประสบ
ความสำเร็จ
หากยืมสำนวนอธิการบดีมธ. คงกล่าวได้ว่า
ต้องช่วยกันอาสาไปลงนรกเพื่อให้นรกประสบ
ความสำเร็จ เพราะถ้านรกไม่ประสบความสำเร็จ ความเป็นจริงที่ตนสยบยอมก็ไม่มีอยู่
อำนาจปืนของคณะรัฐประหารมีอยู่จริงและน่ากลัวจริง แต่อำนาจที่น่ากลัวนี้อยู่ได้ด้วยการ
พร้อมใจกันสยบยอมหรือการ "อุปโลกน์รวมหมู่" โดยบรรดา Pragmatist เหล่านี้เอง
หากยังงงอยู่โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่ง จะเข้าใจ Pragmatism แบบคลาสสิคของผู้ใหญ่ทั้ง
หลายในเมืองไทย กล่าวได้ว่าถ้าใครยังคิดอย่างนี้ไม่เป็นก็คงไม่มีทางได้เป็นผู้ใหญ่ที่น่า
เคารพยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงกว่าชาวบ้านธรรมดา ถ้าใครยังกล้าหาญไม่พอที่จะช่วยกัน
ทำให้นรกที่แทบทุกคนคัดค้านประสบความสำเร็จ ก็นับเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพไม่ได้
ตราบใดที่การพร้อมใจกันสยบยอมหรือ"อุปโลกน์รวมหมู่" ยังดำรงอยู่ความเป็นจริงอย่าง
ที่เขาเข้าใจก็ยังดำรงอยู่ แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้ Pragmatist เหล่านี้ลืมตาตื่น
ขึ้นพร้อมๆ กัน
ผู้ที่คิดอย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรถูกเป็นถูกผิดเป็นผิดกลับถูกเรียกว่าพวกกอดคัมภีร์
เถรตรง และไม่เข้าใจความเป็นจริง หากบวกความกล้าหาญอย่างคุณนวมทอง ไพรวัลย์
เขาเรียกว่าผู้หลงผิดอย่างฝังหัว ทั้งหมดนี้เป็นแค่วาทกรรมที่ผลักไสผู้ที่คิดต่างจากตน
ให้กลายเป็นพวกเซ่อซ่าไร้เดียงสา หรือเป็นพวกไม่รู้จักสังคมไทยเท่าตน วาทกรรมแบบ
นี้หลบเลี่ยงไม่ยอมเผชิญกับประเด็น ไม่ยอมรับว่าคนเราอาจคิดต่อความเป็นจริงเดียวกัน
ได้ต่างกัน
Pragmatism ประเภทสุดท้าย ก็คือผู้ทรงปัญญาหลายท่านออกมา
แก้ต่างให้เหตุผล
ปกป้องการรัฐประหารต่างๆ นานา แท้ที่จริงเป็นการให้ความชอบธรรมแก่ตนเองมาก
กว่าอื่นใดทั้งหมด
ก่อนหน้าการรัฐประหารคนเหล่านี้คงไม่สนับสนุนหรือยุยงให้เกิด แต่ครั้นเกิดการรัฐประหาร
ขึ้นจริง หลายท่านคงรู้สึกตัวทันทีว่าการต่อต้านทักษิณออกผลกลายเป็นผลไม้พิษที่ตน
คาดไม่ถึง
ทางออกของคนแบบนี้มีอยู่หลักๆเพียง 2 ทาง คือ
ทางแรก ยอมรับความผิดพลาดของตนซะ ซึ่งย่อมเจ็บปวดมากและอาจมีผลต่อชีวิตทาง
ปัญญาอย่างลึกซึ้งต่อไป
ทางที่สองคือ ให้ความชอบธรรมแก่การรัฐประหารซะ เพื่อเป็นการให้ความชอบธรรมแก่
ตนเองมากกว่าอย่างอื่น เพราะหากไม่สามารถอธิบายแก่ตัวเองได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปแล้ว
ไม่ผิด ชีวิตของคนๆ นั้นคงกล้ำกลืนกับความผิดพลาดครั้งสำคัญนี้ไปตลอดชีวิต
แทนที่จะคิดว่าตนพลาดอะไรไปหรือตนถูกครอบงำด้วยความโกรธ เกลียดทักษิณจน
หน้ามืด กลับกลายเป็นว่าผู้ทรงปัญญาต้องออกมาสร้างความชอบธรรมแก่การรัฐประหาร
เพื่อจะมีชีวิตปัญญาต่อไปตามปกติอย่างไม่ขมขื่นจนเกินไปนัก
ศีลธรรมของ Pragmatist ประเภทนี้ ถึงที่สุดจึงอยู่ที่ผลต่อตัวเองเป็นปัจจัยชี้ขาด
คำอธิบายที่แก้ความกระอักกระอ่วนของตนเองได้เป็นคุณธรรมสำคัญกว่าประชาธิปไตย
ของคนหมู่มาก
คนๆ หนึ่งสามารถเป็น Pragmatist หลายประเภทปนๆ กันได้ หลายคนในขณะนี้ก็เป็น
เช่นนั้น
อาจกล่าวได้ว่าการรัฐประหารในคราวนี้ช่วยให้ตระหนักว่าแม้กระทั่งนักวิชาการซึ่งน่าจะ
เป็นที่พึ่งได้ในการคิดและความมั่นคงกับหลักการ เอาเข้าจริงเป็นแค่ Pragmatist แทบ
ทั้งนั้น นักกฎหมายชื่อดังก็เป็นแค่ Pragmatist แทบทั้งนั้น นักประชาธิปไตยก็เป็นแค่
Pragmatist เช่นกัน
แทนที่หลักวิชากฎหมาย หรือหลักการประชาธิปไตยจะลงหลักปักมั่นในสังคมไทย หลัก
ทั้งหลายจึงคง
เป็นแค่หลักปักขี้เลนที่นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักต่อสู้โยกไปมาตาม
สัมฤทธิผลที่พวกเขาต้องการ
ภูมิปัญญาทุกๆด้านของสังคมไทยมีสกุลหลักเพียงสกุลเดียวคือสกุล Pragmatism ซึ่ง
แทรกตัวอยู่ทั้งในระบบราชการ กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ นักการเมือง เอ็นจีโอ
สื่อมวลชน มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ฝ่ายขวา ซ้าย อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และประชาชน
ทั่วไป
นี่คือคำอธิบายว่าทำไม 80% ของคนไทยรวมทั้งผู้นำทางปัญญาทั้งหลายจึงกลับลำ
มาสนับสนุนการรัฐประหารทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ยังบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารเลยพวกเขา
ปฏิเสธความมีหลักการด้วยเหตุผลผิดๆ เพราะ Pragmatist เหล่านี้
ไม่เคยเข้าใจ
ว่าหลักการคืออะไร?หลักการ
ไม่ใช่คัมภีร์ตายตัว (นั่นเป็นความหมายตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวก
Pragmatist) หลักการ
ไม่ใช่ความเถรตรง (นี่ก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อของ Pragmatist
เช่นกัน) หลักการ
ไม่ใช่นิสัยเฉพาะของฝรั่ง เพราะทุกสังคมมีทั้ง Pragmatist และพวกที่
เคารพหลักการ คนๆ หนึ่งสามารถเป็นทั้งสองอย่างในตัวเองยังได้เลย
หลักการคือผลสรุปหรือบทเรียนรวบยอดของประสบการณ์ของมนุษย์จำนวนมหาศาล
เป็นเวลายาวนานมากจนกลั่นออกมาเป็นหลักให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ยึดถือ แทนที่จะเอา
แต่คิดง่ายๆ สั้นๆ กับสถานการณ์เฉพาะหน้าอยู่ร่ำไป แต่หลักการไม่ใช่กฎตายตัวหรือ
ทฤษฎี โดยมากเป็นแค่บรรทัดฐานหรือกรอบแนวทางที่ยอมให้มีการ
ยืดหยุ่นได้ตาม
ความเป็นจริง หลักการหนึ่งๆ ยังมักเป็นเกณฑ์ที่สังคมโดยรวมยึดถือท่ามกลางความ
แตกต่างหลากหลายของผู้คน หลักการจึง
ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงหรือความ
เป็นไทย
น่าเสียใจที่นักวิชาการคอลัมนิสต์ ปัญญาชนออกมา
ประณามความมีหลักการ เห็นการ
ยึดมั่นในหลักเกณฑ์ความถูกต้องทางการเมืองเป็นเรื่องตลก แล้วกลับแซ่ซร้องสรรเสริญ
Pragmatism ที่อันตรายทั้ง 4 ประเภท กลายเป็นว่าทำยังไงก็ได้ให้ประสบผลเป็นสิ่งดี
เป็นวัฒนธรรมไทย เป็นภูมิปัญญาไทยที่น่ายึดถือเป็นแบบอย่าง
หรือว่าน่าภูมิใจนักที่จะประกาศต่อโลกว่าไทยเป็นชาติไม่มีหลักการ เกลียดหลักการ
แต่เอาเข้าจริง Pragmatist ทั้งหลายก็อยู่ในกรอบหลักคิดบางอย่างด้วยกันทั้งนั้น ทว่า
Pragmatist ที่เห็นคราวนี้คือบรรดาผู้ที่ถูกครอบงำด้วยกรอบเช่นนั้นจนสนิท ไม่รู้เท่าทัน
กรอบความคิดที่ครอบงำตนอยู่ เรียกได้ว่าเป็นทาสของกรอบความคิดบางอย่างสนิทจน
ไม่เคยตั้งคำถาม พอใจเพียงแค่สัมฤทธิผลในกรอบของความคิดครอบงำนั้นๆ
รัฐประหารคราวนี้เราได้เห็นความคิดที่ฝังลึกในภูมิปัญญาของปัญญาชนเหล่านี้ชัดเจน
กรอบของความคิดนี้มีคนเรียกว่าประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทย แต่ผู้เขียนเห็นว่าเป็น
อภิชนาธิปไตยที่มีประชาธิปไตยเป็นแต่เปลือก
http://www.bangkokbiznews.com/level3/news_119333.jspอ่านแล้วลองสำรวจตัวเองดูว่า เข้าข่าย pragmatist ประเภทไหนบ้าง ก็น่าจะสนุกดี
(หรือไม่สนุกหว่า?)
บางท่านอาจเป็นทุกประเภทได้ในเวลาเดียวกัน ตามผู้เขียนบอก
แต่ยังไง อ่านแล้วอย่าให้ความดันขึ้นสูงมากก็แล้วกัน
เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไป จขกท. จะพลอยบาปที่นำบทความต้นเหตุมาสู่สายตา