ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
08-02-2025, 20:02
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ถ้าบริษัททั้งหลายต้องเปิดเผยรายละเอียดผู้ถือหุ้นตลอดเวลาจะวุ่นวายขนาดไหน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ถ้าบริษัททั้งหลายต้องเปิดเผยรายละเอียดผู้ถือหุ้นตลอดเวลาจะวุ่นวายขนาดไหน  (อ่าน 1411 ครั้ง)
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« เมื่อ: 18-11-2006, 22:27 »

เพื่อจะค้นหานอมินี่ให้ได้ บริษัทฯที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทฯที่ประกอบธุรกิจประเภทตามแนบท้าย

ของกฎหมายต่างด้าว บริษัทฯ เหล่านี้ต้องเปิดเผยชื่อผู้ถือหุ้นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้น เช่น

ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเป็นบริษัทฯ ถือหุ้นอีกบริษัทฯ ถือหุ้นอีกบริษัทฯ... มาซื้อก็ต้องเปิดกันให้หมด

จนสุดถึงระดับบุคคลธรรมดาแล้วก็ต้องหาว่าบุคคลนั้นถือแทนใครอีกหรือเปล่า (คือมีปัญญาซื้อหุ้นขนาดนี้ได้

หรือไม่) ถ้าการซื้อขายหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็ต้องมีดัชนีชี้ว่าบริษัทฯ นี้มีผู้ถือหุ้นของผู้ถือ

หุ้นของผู้ถือหุ้น... เป็นต่างด้าวรวมกันเกินที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ไม่เช่นนั้นถ้าบริษัทฯ ที่มีต่างชาติถือหุ้น

อยู่หน่อยนึงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปซื้อหุ้นซี้ซั้วโดยที่ไม่รู้ว่าผู้ถือหุ้นรายอื่นมีต่างชาติแอบมาถือแทนบ้างหรือเปล่า

ก็จะซวยเข้าข่ายนอมินี่โดยสุจริตไปได้ ในทางปฏิบัติมันจะเป็นไปได้เหรอครับ
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #1 เมื่อ: 18-11-2006, 23:06 »

ในตลาดหลักทรัพย์ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บ้างก็ต้องเปิดเผยอยู่แล้วนี่ครับ
และเมื่มีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ทราบทุกครั้ง
เพราะมันมีผลต่อการลงทุนของผู้ถือหุ้นรายย่อย อันนี้เป็นระเบียบมาแต่ไหนแต่ไร

ส่วนเรื่องของบริษัทนอกตลาด ถ้าเป็นกรณีปกติไม่มีใครเขาสนใจหรอกครับ
ว่าคุณจะมีที่มาของเงินยังไง ใครเป็นนอฯให้ใคร
แต่นอฯครั้งนี้มันมีมูลค่ามหาศาล และเกี่ยวพันธ์ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
บริษัทที่ถูกเทคโอเวอร์ก็เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
ก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนให้ความสนใจ และต้องเปิดเผยรายชื่อ

จริงๆแล้วที่มันวุ่นไม่ได้เป็นเพราะต้องเปิดหรือไม่เปิดหรอกครับ
มันเป็นเพราะความตั้งใจหลบเลี่ยงกฎหมายมากกว่า
หากทำให้ถูกต้องปัญหายุ่งๆทำนองนี้มันไม่มีอยู่แล้ว

แหม...คุณแถก็แถไปได้
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #2 เมื่อ: 18-11-2006, 23:11 »

อาจจะเขียนสั้นไปเลยอ่านเข้าใจยาก หมายถึงว่าบริษัทที่ไปถือหุ้นก็ต้องเปิดเผยข้อมูลของตัวเองด้วย

ถ้ามีบริษัทย่อยลงไปอีกที่ถือหุ้นบริษัทที่ไปซื้อหุ้นก็ต้องเปิดลงไปอีก แบบ sub directory ยังไงยังงั้น

แล้วเอากลุ่มที่เป็นต่างชาติมารวมกันเพื่อจะดูว่ามีสัดส่วนต่างชาติเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่เรื่องแถนะครับ เพราะ

ถ้าไม่รู้ในจุดนี้ ผู้มาถือหุ้นทีหลังอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเรื่องต่างด้าวถือหุ้นเกินกำหนดได้ ถ้ากฎหมาย

นอมินี่มันชัดเจนกว่านี้

บางทีไอ้ชื่อชอบแถมันก็เลยทำให้ดูแถไปหมด กระทู้นี้ซีเรียสนะครับ เหอ เหอ
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #3 เมื่อ: 18-11-2006, 23:17 »

อ้าว .. ถ้าปฏิบัติตามกฏไม่ได้

งั้น ก็ให้ยกเลิกกฏ ๔๙/๕๑%

ทีนี้ ใครกุมเสียงข้างมาก ก็เข้ายึดกิจการการบริหารตามสะดวก

ดีมะ   
บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #4 เมื่อ: 18-11-2006, 23:33 »

เอ......ผมเขียนอะไรสั้นๆเข้าใจยากไปเหรอ
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #5 เมื่อ: 18-11-2006, 23:38 »

ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไงให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้อ่านเองยังงงเอง คือในพรบ ต่างด้าว ไม่ได้บอกว่า
ต่างด้าวต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน หรือมาจากที่เดียวกัน ประเทศเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องนอมินี่
ละเอียดไปถึง ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น

สมมติว่า บริษัท A ถือหุ้นโดยบริษัท B 51% ที่เหลือเป็นรายย่อยที่เป็นชาวไทย วันดีคืนดี
มี บริษัท C มาถือหุ้นบริษัท B 49% แต่บริษัท C ก็มีต่างชาติถือหุ้น 49% ก็เท่ากับว่ามี
ต่างชาติมาถือหุ้น A ทางอ้อมอยู่ประมาณ 12% ที่เหลือรายย่อยในตลาดอีก 49% ถ้าผ่าน
มือหลายมือบังเอิญมีต่างชาติซื้อไป 37% ก็เท่ากับเหลือไทย 12% ถ้าบังเอิญบริษัท D
มีต่างชาติถืออยู่ 49% มาซื้อ 4% จาก 12% ของชาวไทยไป บริษัท A ก็จะผิดกฎหมาย
ต่างด้าวทันที โดยที่บริษัท D ไม่มีทางรู้ว่าผิดก่อนซื้อเลยใช่มั้ย ถ้าไม่มีการแสดงรายการ
ผู้ถือหุ้นแบบละเอียดมากดังกล่าว
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #6 เมื่อ: 18-11-2006, 23:39 »

เอ......ผมเขียนอะไรสั้นๆเข้าใจยากไปเหรอ
ผมเขียนสั้นไม่ใช่คุณเขียนสั้น
บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 19-11-2006, 00:40 »

ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไงให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้อ่านเองยังงงเอง คือในพรบ ต่างด้าว ไม่ได้บอกว่า
ต่างด้าวต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน หรือมาจากที่เดียวกัน ประเทศเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องนอมินี่
ละเอียดไปถึง ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น

สมมติว่า บริษัท A ถือหุ้นโดยบริษัท B 51% ที่เหลือเป็นรายย่อยที่เป็นชาวไทย วันดีคืนดี
มี บริษัท C มาถือหุ้นบริษัท B 49% แต่บริษัท C ก็มีต่างชาติถือหุ้น 49% ก็เท่ากับว่ามี
ต่างชาติมาถือหุ้น A ทางอ้อมอยู่ประมาณ 12% ที่เหลือรายย่อยในตลาดอีก 49% ถ้าผ่าน
มือหลายมือบังเอิญมีต่างชาติซื้อไป 37% ก็เท่ากับเหลือไทย 12% ถ้าบังเอิญบริษัท D
มีต่างชาติถืออยู่ 49% มาซื้อ 4% จาก 12% ของชาวไทยไป บริษัท A ก็จะผิดกฎหมาย
ต่างด้าวทันที โดยที่บริษัท D ไม่มีทางรู้ว่าผิดก่อนซื้อเลยใช่มั้ย ถ้าไม่มีการแสดงรายการ
ผู้ถือหุ้นแบบละเอียดมากดังกล่าว

สงสัยคุณชอบแถไม่เข้าใจ ว่าทำไมนอมินีจึงผิดกฎหมาย แนะนำให้ลองหาอ่านดูใหม่
ที่คุณชอบแถอธิบายมานั้นถูกต้อง และบริษัทสมมติดังกล่าวก็ถือเป็นบริษัทสัญชาติไทย เพราะศาลเคยตัดสินไปแล้ว
แต่ประเด็นคือ มีข้อกฎหมายที่บอกว่าห้ามคนไทยช่วยเหลือชาวต่างชาติหลบเลี่ยงกฎหมายข้อนั้น
พูดง่ายๆ คือ คนไทยห้ามมาถือหุ้นแทนต่างชาติ เพื่อให้บริษัทกลายเป็นสัญชาติไทยดังที่กล่าวมา
สมมติหากมีฝรั่งมาบอกว่า ยูช่วยถือหุ้นแทนไอหน่อย เพราะไอถือหมดไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นต่างด้าว
แล้วคุณไปถือแทน แบบนั้นก็คือช่วยถือหุ้นแทนต่างชาติ มีความผิดตามกฎหมายครับ
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
pizzalulla
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46



« ตอบ #8 เมื่อ: 19-11-2006, 04:44 »

ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไงให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้อ่านเองยังงงเอง คือในพรบ ต่างด้าว ไม่ได้บอกว่า
ต่างด้าวต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน หรือมาจากที่เดียวกัน ประเทศเดียวกัน แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องนอมินี่
ละเอียดไปถึง ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น ของ ผู้ถือหุ้น

สมมติว่า บริษัท A ถือหุ้นโดยบริษัท B 51% ที่เหลือเป็นรายย่อยที่เป็นชาวไทย วันดีคืนดี
มี บริษัท C มาถือหุ้นบริษัท B 49% แต่บริษัท C ก็มีต่างชาติถือหุ้น 49% ก็เท่ากับว่ามี
ต่างชาติมาถือหุ้น A ทางอ้อมอยู่ประมาณ 12% ที่เหลือรายย่อยในตลาดอีก 49% ถ้าผ่าน
มือหลายมือบังเอิญมีต่างชาติซื้อไป 37% ก็เท่ากับเหลือไทย 12% ถ้าบังเอิญบริษัท D
มีต่างชาติถืออยู่ 49% มาซื้อ 4% จาก 12% ของชาวไทยไป บริษัท A ก็จะผิดกฎหมาย
ต่างด้าวทันที โดยที่บริษัท D ไม่มีทางรู้ว่าผิดก่อนซื้อเลยใช่มั้ย ถ้าไม่มีการแสดงรายการ
ผู้ถือหุ้นแบบละเอียดมากดังกล่าว

ก่อนอื่น ขอตอบคำถามของจขกท.ที่ตั้งไว้ในตอนท้ายของกระทู้ว่า ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือ
คำตอบคือ เป็นไปได้แน่น่อน ไม่วุ่นวายและไม่ยุ่งยากอะไรเลย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหา  ปัญหามันมักจะเกิดจากการที่บางคนเจตนาทำผิดกฏหมายโดยคิดว่าไม่มีใครตามทันต่างหาก

ส่วนโจทย์สมมติของคุณนั้น ดูคุณจะสับสนเรียบเรียงโจทย์ไม่ถูก ลองเรียบเรียงดูใหม่นะ
ผมจะชี้ให้เห็นว่าโจทย์สับสนอย่างไร

1. บริษัท A ถือหุ้น B  51%
โจทย์ไม่ได้บอกว่า A เป็นบริษัทไทยหรือต่างด้าว ผมเดาว่าคุณหมายความว่า A เป็นบริษัทไทย

2. วันดีคืนดีบริษัท C มาถือหุ้นบริษัท B 49%
คำถาม  หุ้น 49% ของ B ที่ C เข้ามาถือนั้น ซื้อหุ้นจาก A ซึ่งเดิมถืออยู่ 51% หรือซื้อจากผู้ถือหุ้นรายย่อยคนไทยที่ถืออยู่ 49%

3. แต่บริษัท C ก็มีต่างชาติถือหุ้น 49% ก็เท่ากับว่ามี ต่างชาติมาถือหุ้น A ทางอ้อมอยู่ประมาณ 12%
คำถาม  บริษัท C ไปเกี่ยวกับ A ตั้งแต่ตอนไหนครับที่ทำให้คุณสรุปอย่างนี้

พอมาถึงข้อ 3. โจทย์นี้ก็จบแล้วครับ โจทย์ไปต่อไม่ได้

ลองไปศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม แล้วลองเรียบเรียงดูใหม่นะ เพราะอ่านดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่า จขกท.ไม่เข้าใจตรงไหน
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #9 เมื่อ: 19-11-2006, 07:20 »

เรียบเรียงใหม่จากของเดิมให้อ่านง่ายหน่อย

A ถือหุ้นโดย 51%=B (ถือหุ้นโดย 49%=C (ถือหุ้นโดย 51%=ไทย และ 49%=ต่างด้าว) และ =51%ไทย) และ 49%=รายย่อย
A, B, C ถือเป็นบริษัท ไทยหมด A มีต่างด้าวแฝงตัว ประมาณ 12%
ถ้า 49% รายย่อยที่ถือหุ้น A เป็นต่างด้าว ซะ 37% ขาดอีก 2% A ก็จะมีต่างด้าวมากกว่าไทย ตอนนี้เหลือรายย่อยไทย 12%
ถ้า D ถือหุ้นโดย 51%=ไทย และ 49%=ต่างด้าว มาซื้อ 5% จากที่เหลืออยู่ 12% ที่เป็นรายย่อยไทย
บริษัท D ก็จะทำให้ A เป็นบริษัทที่ผิดกฎหมายทันที ถ้าจะบังคับใช้กฎหมายต่างด้าวด้วยการเอา
จำนวนต่างด้าวที่ถือหุ้นในบริษัททั้งหลายทั้งหมดที่ถือหุ้น A มาบวกกัน ในทางปฏิบัติมาคุ้ยตรงนี้มันยากอ่ะครับ
เพราะถ้ามีบริษัท E มาถือหุ้นบริษัท C อีก ก็ต้องแสดงรายละเอียดผู้ถือหุ้นของบริษัท E

โดยพรบ.ต่างด้าวที่มีอยู่ถ้าจะตีความให้นอมินี่ผิด มันก็ต้องออกมาลักษณะนี้คือวุ่นวายไปหมด
แต่ถ้าออกกฎหมายใหม่ก็ต้องรอดูว่าจะเขียนให้ตรงใจนึก เอาเฉพาะเจตนาเป็นนอมินี่ได้ยังไง
ถ้ามีคำว่าเจตนามาเกี่ยวข้องด้วยคงต้องรอถึงศาลพิพากษาในทุกกรณีเลยมั้งเนี่ย
บันทึกการเข้า
type
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


« ตอบ #10 เมื่อ: 19-11-2006, 17:34 »

มาเชียร์พี่แถ ครับ 
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #11 เมื่อ: 19-11-2006, 17:39 »

โธ่ นึกว่าอ่านเข้าใจ
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #12 เมื่อ: 19-11-2006, 21:36 »

แฉ 'โลตัส-เทเลนอร์' ติดบ่วงนอมินี
 
นายสกล หาญสุทธิวารินทร์ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบ 16 บริษัทว่าเป็นนอมินี (ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว) ว่า ขณะนี้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้รายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นมาแล้ว โดยพบว่า 12 บริษัทเข้าข่ายจะเป็นนอมินี ได้แก่ บริษัท อิซูมิ เซนโคชะ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด บริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเคชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) บริษัท Bolero-Tak Wu Holdings (UCOM-DTAC) บริษัท ไทยสกาย แอร์ไลน์ จำกัด บริษัท บูรภาลุมพินี แลนด์ จำกัด บริษัท เทเลนอร์ สัญชาตินอร์เวย์ บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด (ห้างคาร์ฟูร์) บริษัท ฮัทชิสันแคทไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด บริษัท ดีเอชแอล โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างเทสโก้ โลตัส) และบริษัท สยามซิตี้ ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) โดยอยู่ระหว่างเสนอให้คณะทำงานที่มีนายดุสิต อุชุพงศ์อมร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นประธานพิจารณา ซึ่งหากพบว่ามีมูลก็จะเชิญให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำเหมือนกับกรณีของบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด

ส่วนอีก 1 ราย คือ บริษัท ซีเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ ไม่ผิดเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ เพราะไม่ได้ประกอบธุรกิจในบัญชีสงวน ขณะที่อีก 3 ราย ได้แก่ บริษัท วิลลิช เซลส์ แอนด์ คอนแทรคติ้ง จำกัด ยังมีปัญหาการฟ้องร้องเรื่องหุ้น ต้องรอให้ได้ข้อยุติก่อน จึงจะตรวจสอบได้ สำหรับบริษัท เคี่ยน หวู มาร์เก็ตติ้ง จำกัด และบริษัท เอ็นเอ็นทีแอล (ประเทศไทย) จำกัด กรมได้ติดต่อขอข้อมูลทางบัญชี และการเงินไป แต่ไม่ยอมส่งกลับมาให้จึงถูกปรับตามกฎหมาย และต้องตรวจสอบต่อไป 

นายสกลกล่าวต่อว่า   กระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานเป็นการภายในไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกรณีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ส่งสำนวนการกล่าวหาว่าบริษัทกุหลาบแก้ว ผิดกฎหมายมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เพราะสำนวนที่ส่งไปค่อนข้างจะสมบูรณ์ และมีการชี้มูลความผิดไว้ชัดเจน “เท่าที่ได้อ่านสำนวนเห็นว่าค่อนข้างรัดกุมและมีการชี้มูลความผิดชัดเจน โดยเฉพาะเส้นทางเดินของเงิน ส่วนการดำเนินการกรณีชินคอร์ป ที่ได้รับสัมปทานด้านการบิน หรือโทรคมนาคม ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมที่จะดำเนินการได้เลยไม่ต้องรอผลสอบ” นายสกลกล่าว.

ไทยรัฐ

โลตัส และ ดีแทค ก็มาเป็นนอมินี่ภายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น จะยกเป็นความผิดเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นก็ไม่น่าจะเป็นธรรม
ถ้าจะเอาผิดอย่างนั้นควรจะมีการประกาศก่อนว่าบริษัทนี้มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวอยู่แล้วกี่ % ผู้มาซื้อใหม่จะได้รู้เลยว่าผิดหรือไม่ผิด
บันทึกการเข้า
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #13 เมื่อ: 20-11-2006, 02:09 »

เรียบวุธ  หละครับ


ฮิฮิ บอกแล้วงานนี้มีเฮ หลายเด้ง

ไปๆ มาๆ คนที่มีโอกาสทิ้งหุ้นให้ต่างชาติเอาไปถือเหงื่อแตก

ลุ้นนอร์มินี่ ลุ้นปิด ลุ้นปรับ

ก็ ศิษย์ ธรรมกาย  ด้วยกันทั้งนั้น

 
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
pizzalulla
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46



« ตอบ #14 เมื่อ: 21-11-2006, 02:35 »

เรียบเรียงใหม่จากของเดิมให้อ่านง่ายหน่อย

A ถือหุ้นโดย 51%=B (ถือหุ้นโดย 49%=C (ถือหุ้นโดย 51%=ไทย และ 49%=ต่างด้าว) และ =51%ไทย) และ 49%=รายย่อย
A, B, C ถือเป็นบริษัท ไทยหมด A มีต่างด้าวแฝงตัว ประมาณ 12%
ถ้า 49% รายย่อยที่ถือหุ้น A เป็นต่างด้าว ซะ 37% ขาดอีก 2% A ก็จะมีต่างด้าวมากกว่าไทย ตอนนี้เหลือรายย่อยไทย 12%
ถ้า D ถือหุ้นโดย 51%=ไทย และ 49%=ต่างด้าว มาซื้อ 5% จากที่เหลืออยู่ 12% ที่เป็นรายย่อยไทย
บริษัท D ก็จะทำให้ A เป็นบริษัทที่ผิดกฎหมายทันที ถ้าจะบังคับใช้กฎหมายต่างด้าวด้วยการเอา
จำนวนต่างด้าวที่ถือหุ้นในบริษัททั้งหลายทั้งหมดที่ถือหุ้น A มาบวกกัน ในทางปฏิบัติมาคุ้ยตรงนี้มันยากอ่ะครับ
เพราะถ้ามีบริษัท E มาถือหุ้นบริษัท C อีก ก็ต้องแสดงรายละเอียดผู้ถือหุ้นของบริษัท E

โดยพรบ.ต่างด้าวที่มีอยู่ถ้าจะตีความให้นอมินี่ผิด มันก็ต้องออกมาลักษณะนี้คือวุ่นวายไปหมด
แต่ถ้าออกกฎหมายใหม่ก็ต้องรอดูว่าจะเขียนให้ตรงใจนึก เอาเฉพาะเจตนาเป็นนอมินี่ได้ยังไง
ถ้ามีคำว่าเจตนามาเกี่ยวข้องด้วยคงต้องรอถึงศาลพิพากษาในทุกกรณีเลยมั้งเนี่ย



ที่คุณตั้งโจทย์มาก็เป็นไปตามนั้นแหละครับ ประเด็นของคุณคือมันยุ่งยาก
ความจริงคือมันไม่ยุ่งยาก ก็เพียงแต่เปิดเผยรายละเอียดของผู้ที่เข้ามาถือหุ้นให้ถูกต้องชัดเจน
ก็จะสามารถคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นของต่างด้าวได้ คำนวณคณิตศาสตร์ธรรมดาๆ
ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหนเลยนี่ครับ

สำหรับเรื่องนอมินีถือหุ้นแทนต่างด้าวเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นบริษัทคนไทย เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายแน่นอนครับ
กฏหมายมีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็เป็นการพยายามปกปิดที่มาโดยทำให้เป็นเรื่องยากแก่การติดตาม
แต่จริงๆแล้วมันไม่ยากที่จะสาวลงไปเลย ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #15 เมื่อ: 21-11-2006, 08:41 »

หุ้นมีการซื้อขายตลอดเวลา ถ้าต้องมีการแจงรายละเอียดข้อมูล ผู้มาซื้อ

ตลอดเวลาเพื่อดูว่าอัตราส่วนต่างด้าวเกินหรือไม่ แล้วไม่ยุ่งยาก ก็จบข่าวครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: