soco
|
|
« เมื่อ: 06-09-2006, 11:56 » |
|
สตง.ประเมินสูงถึง4พันล้านระบุสรรพากรละเว้นหน้าที่โพสต์ทูเดย์ สตง.แย้มคำชี้แจงบิ๊กสรรพากรไม่สามารถหักล้างข้อกฎหมายได้ พานทองแท้-พิณทองทา อาจต้องเสียภาษีให้หลวง 3-4 พันล้าน จากการซื้อหุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริชในราคา 1 บาท แล้วขายให้สิงคโปร์ 49.25 บาท แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยความคืบหน้าของผลการสอบข้อเท็จจริงผู้บริหารกรมสรรพากร ว่า เท่าที่ประเมินข้อเท็จจริงในตอนนี้ สามารถสรุปได้ว่ากรมสรรพากรละเว้นการทำหน้าที่ในการไม่เก็บภาษีซื้อขายหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ของนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรของนายกรัฐมนตรี ที่ซื้อหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช จำนวน 329 ล้านหุ้น ในราคา 1 บาท แล้วขายออกไปให้สิงคโปร์ในราคา 49.25 บาท เพราะข้อเท็จจริงที่กรมสรรพากรพยายามยกเหตุผลมาอธิบายเหตุที่ไม่เก็บภาษีนั้น ไม่สามารถหักล้างในข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติได้ ทาง สตง. ไม่ค่อยเชื่อถือ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หากผลสรุป ออกมาผู้บริหารกรมสรรพากรละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้ถูกสอบวินัย และดำเนินคดีอาญา ส่วนบุคคลของครอบครัวนายกรัฐมนตรี คือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ที่ซื้อขายหุ้นจะต้องเสียภาษีให้รัฐประมาณ 3-4 พันล้านบาท ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางกรมสรรพากรพยายามชี้แจงว่า การตกลงซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายแพ่ง เอกชนจะซื้อขายราคาเท่าไรก็ได้ เป็นเรื่องของสองฝ่ายตกลงกัน แต่คณะทำงานกฎหมายของ สตง. เห็นว่าเป็นการชี้แจงที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยู่บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ ทำให้เงินภาษีรั่วไหล ประชาชนสามารถที่จะเอาแบบอย่างกรณีนี้ ด้วยการแจ้งหรือสำแดงราคาต่ำ โดยที่รัฐไม่สามารถเข้าไปเอาผิดได้ เพราะเป็นข้อตกลงกันของ 2 คน แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ข้อสังเกตของ สตง.นั้น สอดคล้องและเป็นไปในทางเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ ตีความว่าธุรกรรมได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ถือว่าบุคคลทั้งสองควรจะมีภาระภาษีหัก ณ ที่จ่ายทันที ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างของกรมสรรพากรว่าต้องไปยื่นแบบเสียภาษีในปีหน้า แหล่งข่าวยังเปิดเผยถึงการที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาทางกฎหมายขึ้นมา 1 ชุด และเชิญ สตง. เข้าร่วมนั้น ทาง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. แจ้งว่าจะไม่ส่งคนเข้าร่วม เพราะเห็นว่าคณะอนุกรรมการชุดนี้ ตั้งขึ้นมา เพื่อปกป้องและขัดขวางการสอบกรมสรรพากร ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นของครอบครัวนายกรัฐมนตรี และจะทำให้ สตง. ขาดความเป็นอิสระ ทั้งนี้ คตง. จะมีการประชุมกันในวันที่ 6 กันยายนนี้ โดยคณะอนุกรรมการที่ คตง. เสนอ ประกอบด้วย พล.ท.จุล อติเรก นายไกรสร บารมีอวยชัย นายคัมภีร์ แก้วเจริญ นายประสพสุข บุญเดช รศ.ศุภลักษณ์ พินิจภูวดล นายสงขลา วิชัยขัทคะ และนายอภิชัย จันทรเสน http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=119260****************
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Neoconservative
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 06-09-2006, 12:02 » |
|
3 - 4 พันล้าน จะอ่วมได้ไง ขนหน้าแข้งหลุดไม่กี่เส้น หลักหมื่นล้าน ถึงจะน่าตกใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
soco
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 06-09-2006, 12:03 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 06-09-2006, 12:03 » |
|
สำหรับคนงกอย่างทักษิณ 3-4พันล้านมันเรื่องใหญ่มากครับ คงไม่มีวันยอมเสียง่ายๆแน่นอนรอดูต่อไปเถอะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
ฟักแม้ว
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 06-09-2006, 12:07 » |
|
สตง. ลุย
ไอ้พวกคนรวยเห็นแก่ตัว มันใช้วิธีติดสินบนคน จ้างคนเก่งมาหาวิธีเลี่ยงภาษี ใช้มันสมอง อันหัวหมอ ไอ้พวกนี้ ขายชาติ ไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม
ซึ่งเทียบแล้ว ก็จ่ายเงินถูกกว่าที่จะเสียภาษี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
รู้ไว้ซ่ะ!!! กูเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่มีใครหนุนหลัง ไม่มีพรรคพวก ไม่มีแอบแฝง ไม่มีใครจ้าง เงินซื้อกูไม่ได้ กูมีศักดิ์ศรีพอ มาด้วยใจ ใจสั่งมา
ขอสาปส่งพวกที่ถูกจัดตั้งมา ถูกจ้างมา มีเบื้องหลัง ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม พวกนี้ขายชาติ ขายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เพื่อแลกกับเงินทอง ผลประโยชน์ ยศตำแหน่ง อำนาจ เงินมาอุดมการณ์เปลี่ยน สารเลวจริงๆ รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั้น เกิดมาทำห่าอะไรให้แผ่นดินประเทศชาติบ้าง สงสารโคตรเหง้า บรรพบุรุษบ้างหรือเปล่า ไหว้หมาดีกว่ายกมือไหว้ไอ้คนพวกนี้
|
|
|
O_envi
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 06-09-2006, 12:26 » |
|
ขายทุนยับเลย นี่ชินคอร์ปยังมีคดีอีกอื้อเลยนะเนี่ย ถ้าน้องเอมติกคุกจริงๆ ผมจะเอาข้าวผัดไปฝากนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
The change musts come one by one.It has to start with you
|
|
|
ธ.ส.
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 06-09-2006, 12:30 » |
|
ผมว่าทาง สตง ไม่ได้สนใจภาษีนั่นเท่าไหร่หรอกครับ งานนี้พุ่งเป้าไปที่ขี้ข้ารับใช้ทักษิณในสรรพากรมากกว่า คาดว่าคงจะเล่นงานกันให้ถึงคุก ซึ่งผมก็ว่าดีนะวิธีการแบบนี้ เป็นการตัดมือตัดตีนไปเรื่อยๆ ยังเหลืออีกหลายตัวครับ ว่างๆไปดูแถว ตลท บ้างก็ดี ที่นั้นยังมีขี้ข้านักการเมืองอีกหลายตัวอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ปีนี้เราจะได้ Triple Champ
คุณพนันกับผมไม๊ แต่ผมไม่พนันกับคุณนะ
|
|
|
A-NOY
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 06-09-2006, 13:39 » |
|
เอาไอ้พวกสรรพากรสุนัขรับใช้หน้าเหลี่ยมเข้าคุกให้ดูสักคนสองคนผมจะโมนทนาสาธุเลยครับ จะเล่นตัวใหญ่ต้องตัดแข้งตัดขามันให้หมดเดี๋ยวมันก็ล้มเองล่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
A-NOY
|
|
|
so what?
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 06-09-2006, 13:47 » |
|
เห็นด้วยกับสองความเห็นข้างบนครับ เงินภาษีไม่สนจริงๆ อยากดูคนชั่วเข้าคุกอย่างเดียวเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Şiłąncē Mőbiuş
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-09-2006, 14:13 » |
|
งานนี้สงสัยจะได้ตัวชั่วเยอะครับ อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.” . “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
|
|
|
พรรณชมพู
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 06-09-2006, 14:34 » |
|
ฟันธง
ระบอบทักษิณยังอยู่ ภาษีรายนี้ไม่ต้องเสีย
ระบอบทักษิณล้มแล้ว ต้องฟ้องร้องยึดทรัพย์จึงจะได้ภาษีนี้คืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
buntoshi
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 06-09-2006, 14:46 » |
|
เจอข้อหาเลี่ยงภาษี แล้วโดนปรับ แต่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง แสดงว่าเป็นคนดีเหรอเนี๊ยะ
ถ้าขนหน้าแข้งล่วง ถึงจะเรียก ไอ้เลวเลี่ยงภาษี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น.... ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ---------------------------
|
|
|
Solidus
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 06-09-2006, 19:20 » |
|
4พันล้านแถมคุกนี่อ่วมของแท้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ScaRECroW
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 06-09-2006, 19:26 » |
|
ผมสนทั้ง 2 กรณีครับ ทั้งเอาคนเลวเข้าคุก และได้ภาษี
อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.
ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่? ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
|
|
|
ดินสอไม้
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 06-09-2006, 20:16 » |
|
รวยขนาดนั้น ภาษี ยังไม่อยากจะจ่ายเลย คนเรา
สงสัยยังมีมกอีกเยอะละเเบบนี้
โอ๊ตไม่รู้น๊า พ่อบอกมา อย่าว่าโอ๊คสิ 55+
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 06-09-2006, 20:36 » |
|
ผมว่านะ ต่อให้เรื่องนี้เป็นรูปธรรมออกมาว่าทักษิณเลี่ยงภาษี --> มารก็จะยังได้รับเลือกตั้งเข้ามาอยู่ดี๊!!!!!!! เพราะว่า คนไทยคิดว่า โกงแต่ทำงานเก่ง กูช๊อบบบบบบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nui_kmitl
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
ออฟไลน์
กระทู้: 34
กี้กี้
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 07-09-2006, 03:30 » |
|
นอกจากต้องเสียภาษี-เข้าคุก ยังต้องยึดทรัพย์มันด้วยครับ อย่าลืมมมม!!!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าผมจะเกลียดทักษินมากแค่ไหน นั่นก็เพราะผมก็รักเมืองไทยมากแค่นั้น
|
|
|
นายเบียร์
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 07-09-2006, 03:47 » |
|
ถ้ามีการเอาจำนวนที่ว่าได้ ระบบทักษิณถึงขั้นล่มสลายเลยนะครับ เพราะจะเป็นการเริ่มเปิดแซะไปสู่แผลใหญ่อื่นๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
soco
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 07-09-2006, 10:18 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 07-09-2006, 22:09 » |
|
แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยความคืบหน้าของผลการสอบข้อเท็จจริงผู้บริหารกรมสรรพากร ว่า เท่าที่ประเมินข้อเท็จจริงในตอนนี้ สามารถสรุปได้ว่ากรมสรรพากรละเว้นการทำหน้าที่ในการไม่เก็บภาษีซื้อขายหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ของนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรของนายกรัฐมนตรี ที่ซื้อหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช จำนวน 329 ล้านหุ้น ในราคา 1 บาท แล้วขายออกไปให้สิงคโปร์ในราคา 49.25 บาท เพราะข้อเท็จจริงที่กรมสรรพากรพยายามยกเหตุผลมาอธิบายเหตุที่ไม่เก็บภาษีนั้น ไม่สามารถหักล้างในข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติได้ ทาง สตง. ไม่ค่อยเชื่อถือแหล่งข่าวเปิดเผยว่า หากผลสรุป ออกมาผู้บริหารกรมสรรพากรละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้ถูกสอบวินัย และดำเนินคดีอาญา ส่วนบุคคลของครอบครัวนายกรัฐมนตรี คือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ที่ซื้อขายหุ้นจะต้องเสียภาษีให้รัฐประมาณ 3-4 พันล้านบาท ......................................................................................................................................................... ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางกรมสรรพากรพยายามชี้แจงว่า การตกลงซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายแพ่ง เอกชนจะซื้อขายราคาเท่าไรก็ได้ เป็นเรื่องของสองฝ่ายตกลงกันแต่คณะทำงานกฎหมายของ สตง. เห็นว่าเป็นการชี้แจงที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยู่บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ ทำให้เงินภาษีรั่วไหล ประชาชนสามารถที่จะเอาแบบอย่างกรณีนี้ ด้วยการแจ้งหรือสำแดงราคาต่ำ โดยที่รัฐไม่สามารถเข้าไปเอาผิดได้ เพราะเป็นข้อตกลงกันของ 2 คน แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ข้อสังเกตของ สตง.นั้น สอดคล้องและเป็นไปในทางเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ ตีความว่าธุรกรรมได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ถือว่าบุคคลทั้งสองควรจะมีภาระภาษีหัก ณ ที่จ่ายทันที ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างของกรมสรรพากรว่าต้องไปยื่นแบบเสียภาษีในปีหน้า ถ้าข้าราชการระดับสูงกรมสรรพากร เป็นคนมีชีวิตจิตใจ มีเลือดเนื้อเหมือนคนไทยอื่น ๆ มีจิตสำนึกและสติปัญญา คิดได้ว่า บริษัทแอมเพิลริช( สองลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณเป็นผู้ถือหุ้น) ขายหุ้นราคา 1 บาทให้สองลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณ เพื่อให้สองลูกชาย-ลูกสาวไปขายต่อ 49.25 บาท กองทุนเทมาเสก(สิงคโปร์) โปร่งใส สะอาดหรือไม่ ปล. สองลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณที่ถือหุ้น กับผู้ซื้อหุ้นทอดแรก แหละขายทอดต่อไป เป็นสองลูกชาย-ลูกสาวคนเดียวกัน ไม่ใช่คนละคน หรือ คนละสายเลือด.....
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2006, 22:16 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 07-09-2006, 22:16 » |
|
ขี้โกงจริงๆครับ โกงทั้งโครตอย่างท่านอานันต์ว่าจริงๆ หน้าที่พลเมืองมันยังไม่ทำเลย เลี่ยงภาษีทั้งๆที่รวยมหารวยแล้ว นี่ยังไม่นับเรื่องที่พ่อมันทำเอาไว้กับชาติบ้านเมืองอีกนะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
นู๋เจ๋ง
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 07-09-2006, 22:57 » |
|
ลูกชาย ลูกสาว ก็มีปัญหา ชอบกินโค๊ก...อีกคนก็โดนหนุ่มหน้าตี๋เตรียมตกถังข้าวสาร ปวดหัวจริ๊ง.. ฟาดหัวฟาดหาง ปราบยาเสพติดไปทั่วประเทศแล้วก็ยังแก้ไม่ค่อยจะได้ ไหนเมียมีข่าวกลับบ้านดึกๆ ช่วยกันวางแผนแก้เกมการเมืองกับกิ๊ก มาดแมน ส่งห้อยไปคุมที่ตึกชินชา ทุ๊กวั้นทุกวัน เครียดนอนไม่หลับทุกคืน โอ๊ยย ...ไหนจะ คิดถึง คนอยู่ไกลๆ ลูกคนใหม่ก็ยังไม่ได้เห็นหน้า ..
เมื่อไหร่จะพ้นเวรพ้นกรรมซะทีน๊อ !!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
|
|
|
น้องแบ๊งค์เองครับ
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 08-09-2006, 06:59 » |
|
อยากให้พี่โอ๊คติดคุกจัง พี่โอ๊คโดนระเบิดรูขี้แน่ๆ
ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hison
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 20-09-2006, 13:53 » |
|
ช่วยกันหาข้อมูล เรื่องนี้หน่อยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
INC.BKK
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 20-09-2006, 15:56 » |
|
อาจจะโดนมากกว่าเสียภาษีแล้วหล่ะครับ สำหรับเหตุการณ์ปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Tuksin GET OUT !
|
|
|
เพนกวินน้อยนักอ่าน
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 20-09-2006, 21:00 » |
|
เด็กไม่เกี่ยวเลย ก็ไปลากเขาเข้ามาเอง ช่างเป็นพ่อ ที่หวังดีต่อลูกจริงๆ
เดินหมากผิดตานึง พลาดทั้งกระดาน จริงๆ ถ้าไม่คิดร้าย งกเงิน ชอบมั่ว ถือตนเหนือกฎหมาย
ป่านนี้ก็ยังบริหารประเทศอยู่ได้ นี่ลูกสองคน ต้องมาเสียประวัติ
เฮ้อ จริงๆเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mini
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 20-09-2006, 23:53 » |
|
นี่ถ้า ขายหุ้นไป แต่ยอมเสียภาษีเต็มๆ ป่านนี้ ก็ไม่ต้องยุบสภา มีอำนาจเต็มที่ ประชาชนรวมตัวกันไม่ติดขนาดนี้หรอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
et009
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
ออฟไลน์
กระทู้: 20
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 21-09-2006, 00:08 » |
|
พ่อแม่รังแกฉันจริง ๆ เลยกระทู้นี้ สงสยัทักษินอยากเป้นราชครูผัง 555 เลี้ยงลูกไม่ดียังลากลูกมาโดนคุกอีก อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 21-09-2006, 00:27 » |
|
พ่อแม่มักจะคิดว่ามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกแล้ว หารู้ไม่มอบยาพิษให้ลูกฆ่าตัวตายชัดๆ จากนี้ไปลูกของเหลี่ยมทั้ง3คนจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
hison
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 26-09-2006, 20:28 » |
|
บทความ เจิมศักดิ์ : ไม่เสียภาษีรายได้จากหุ้น คิดแบ่งปันสังคมเสียที
ซุกรายได้จากหุ้น ไม่เสียภาษี
เลิกบกพร่องโดยสุจริต คิดแบ่งปันสังคม
โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา ตรวจสอบพบว่า
1) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2540 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้โอนหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ จำนวน 4.5 ล้านหุ้น โดยที่ไม่ได้ชำระภาษีรายได้
2) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 26,825,000 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะนั้นหุ้นดังกล่าวมีราคาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 150 บาท ทำให้นายบรรณพจน์ได้รับผลประโยชน์ประเมินเป็นรายได้ คือส่วนต่างของราคาที่ซื้อขายกับราคาในตลาด เป็นมูลค่าประมาณ 3,755 ล้านบาท หากนำมาคำนวณภาษีต้องเสียภาษีจำนวน 1,389 ล้านบาท แต่ผู้มีเงินได้ก็มิได้ชำระภาษี
3) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะนั้นหุ้นดังกล่าวมีราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 150 บาท ทำให้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับผลประโยชน์ประเมินเป็นรายได้ คือ ส่วนต่างของราคาที่ซื้อขายกับราคาตลาด เป็นมูลค่าประมาณ 180 ล้านบาท หากนำมาคำนวณภาษีต้องเสียภาษีจำนวน 67 ล้านบาท แต่ผู้มีเงินได้ก็มิได้ชำระภาษี
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า กรณีที่มีการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ซื้อในทันทีที่มีการโอนหุ้น เพราะผู้ซื้อได้รับหุ้นที่สามารถประเมินเป็นมูลค่าสูงกว่าที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อหุ้นดังกล่าวในทันที แล้วผู้รับโอนซื้อหุ้นต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่?
เรื่องทำนองนี้ เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2538 แล้ว โดยมีบุคคลผู้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ได้ขายหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้แก่พนักงาน กรมสรรพกรได้มีคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 ให้พนักงานผู้ซื้อหุ้นดังกล่าวต้องคำนวณส่วนต่างของราคาหุ้นในตลาดกับราคาหุ้นที่ซื้อ เพื่อหามูลค่าแตกต่างทั้งหมด โดยถือว่าเป็นรายได้ของพนักงานที่ได้รับ จึงต้องนำมาคำนวณรวมกับรายได้อื่นๆ เพื่อเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา
คำวินิจฉัยนี้ ดร.อรัญ ธรรมโน เป็นหัวหน้าคณะพิจารณา ได้วางแนวทางการวินิจฉัยเอาไว้อย่างถูกต้อง เพราะถ้าไม่ถือว่าความแตกต่างของราคาและมูลค่าเป็นเงินได้ที่ต้องประเมินเสียภาษี ต่อไป ก็จะมีผู้หลักเลี่ยงภาษี โดยขายหุ้นให้ราคาต่ำๆ แลกเปลี่ยนกับการจ่ายเงินเดือน หรือค่าเช่า หรือค่าจ้างเป็นตัวเงิน รัฐก็จะขาดรายได้ และไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อผู้ซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไม่ได้นำรายได้ดังกล่าวไปประเมินเพื่อเสียภาษีรายได้ ก็บังเอิญว่า ฟ้ามีตา
จึงได้มีกรณีของคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ซื้อหุ้นของบริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จากบิดา โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 5,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาซื้อขายหุ้นดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์มีราคาหุ้นละ 21 บาท เป็นผลให้นายเรืองไกร ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อหุ้นนั้นทันที (คำนวณมูลค่าจากส่วนต่างราคา) เป็นเงิน 54,000 บาท
ในขั้นต้น นายเรืองไกรก็ไม่ได้นำผลประโยชน์ดังกล่าวไปคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี เช่นเดียวกับนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
แต่กรมสรรพากร ได้นำผลประโยชน์ที่นายเรืองไกรได้รับจากการโอนซื้อหุ้นนี้ ไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี และแจ้งให้นายเรืองไกรไปชำระภาษีเพิ่ม จำนวน 21,000 บาท นายเรืองไกรก็ได้นำเงินไปชำระเรียบร้อยโดยไม่ได้อุทธรณ์
ต่อมา นายเรืองไกรได้อุทธรณ์การชำระภาษีเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการต้องเสียภาษีจากการได้รับโอนซื้อหุ้นนี้ คณะกรรมการอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยเรื่องนั้น และได้มีวินิจฉัยครอบคลุมถึงกรณีให้นายเรืองไกรต้องชำระภาษีเพิ่ม จากผลประโยชน์ในการซื้อหุ้นดังกล่าวว่า กรมสรรพากรเรียกเก็บถูกต้องแล้ว
ในประเด็นนี้ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า กรมสรรพากรได้วินิจฉัยและดำเนินการมาถึงขั้นนี้ ถูกต้องแล้ว
แต่เมื่อเกิดเหตุ มีผู้เทียบเคียงกรณีของนายเรืองไกร กับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จึงเกิดคำถามว่า กรมสรรพากรเลือกปฏิบัติต่อราษฎรอย่างนายเรืองไกร แตกต่างจากผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และภริยานายกรัฐมนตรี ได้อย่างไร
กล่าวคือ เรียกเก็บภาษีแต่เฉพาะนายเรืองไกร แต่กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กลับทำนิ่งเฉย ไม่เรียกเก็บ จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ดับเบิลสแตนดาร์ด
กรมสรรพากร ได้พยายามชี้แจงว่า กรณีของนายเรืองไกร เป็นความบกพร่องโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ และอ้างว่าคอมพิวเตอร์คำนวณผิดพลาด เมื่อเห็นเป็นรายได้ก็นำมารวมคำนวณเสียภาษี โดยเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจสอบไม่รอบคอบ และกรรมการอุทธรณ์ที่วินิจฉัยไปถึงกรณีนี้ว่าให้นายเรืองไกรต้องเสียภาษีก็เป็นความผิดพลาด ไม่ได้ตรวจทานการพิมพ์คำวินิจฉัย
และเมื่อมีการท้วงติงจากคณะกรรมาธิการฯ ของวุฒิสภา สื่อมวลชน รวมทั้งมีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรโดยพรรคฝ่ายค้าน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมากล่าวหาว่านายเรืองไกรไม่เข้าใจข้อกฎหมาย และกรมสรรพากรก็ได้เรียกนายเรืองไกรไปรับเงินคืน
เมื่อนายเรืองไกรไม่ยอมไปรับเงินคืน โดยให้เหตุผลว่าตนเห็นชอบว่าตนมีรายได้ ควรที่พลเมืองผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องเสียภาษีให้รัฐ และหากตนไปรับเงินคืน ในอนาคตตนอาจถูกเรียกภาษีย้อนหลัง ต้องเสียค่าปรับและเงินเพิ่มอีกจำนวนมาก แต่แล้วกรมสรรพากรก็อุตส่าห์ออกเช็คส่งเงินภาษีพร้อมดอกเบี้ยคืน โดยส่งไปให้นายเรืองไกรถึงบ้าน บัดนี้ นายเรืองไกรก็แจ้งว่า ยังไม่นำเช็คไปขึ้นเงิน และจะไม่ไปขึ้นเงิน
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า กรมสรรพากรไม่มีอำนาจคืนเงินภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นเงินของแผ่นดินไปคืนแก่นายเรืองไกร และได้วินิจฉัยว่าการซื้อขายหุ้นโดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์ ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ผู้ซื้อแล้ว (ไม่ว่าจะขายหุ้นดังกล่าวหรือยังไม่ขายก็ตาม) จึงเป็นรายได้ที่พึงประเมินเพื่อเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรเอง เมื่อปี 2538
คำชี้แจงของกรมสรรพากรที่อ้างว่า ขณะนี้ นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่ได้ขายหุ้นที่ซื้อมาจึงยังไม่เกิดรายได้ จึงฟังไม่ขึ้น เพราะในความเป็นจริง หุ้นที่บุคคลทั้งสองซื้อมามีมูลค่าในตลาดสูง การถือเอกสารใบหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าที่ซื้อมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการถือธนบัตร เพราะจะเปลี่ยนเป็นเงินสดเมื่อใดก็สามารถนำหุ้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที
คำชี้แจงของกรมสรรพากร เป็นคำชี้แจงที่ไม่ตรงกับคำวินิจฉัยของตนเมื่อปี 2538 จะอ้างว่า คำวินิจฉัยในปี 2538 เป็นกรณีนายจ้างขายหุ้นให้กับลูกจ้างก็ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นใครขายให้กับใคร หากขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาดหลักทรัพย์ ก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์เป็นเงินได้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับหุ้นเช่นกัน
และหากกรมสรรพากรจะละเลย ปล่อยให้ผู้ซื้อหุ้นกรณีดังกล่าว ไม่ต้องนำผลประโยชน์มาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี ต่อไปในวันข้างหน้า ผู้ซื้อก็จะนำหุ้นไปขายโดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ และสร้างเรื่องว่าตนขายในราคาต่ำ ในราคาเท่าที่ซื้อมา ก็ไม่ต้องเสียภาษีอีก และหากทำต่อๆ ไปเช่นนี้ รัฐก็จะขาดภาษีจำนวนมาก และตลาดหลักทรัพย์ก็จะมีปัญหาในระยะยาว
กรมสรรพากร จึงต้องเรียกภาษี พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จากนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท
คนที่อยู่ระดับสูงในสังคม มีเงินทองมากมาย มีทรัพย์สินมั่งคั่ง สมควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนทั่วไปในสังคม
เรื่องนี้ ขอสรรเสริญคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในความตรงไปตรงมา และกล้าหาญ เห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมสำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ChuNg
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 28-09-2006, 02:21 » |
|
กระทู้นี้แปลกแฮะ ไม่มีคนมาช่วยลูกพี่เหลี่ยมเลย ..... สงสัยคิดเหตุผลแก้ตัวให้ลูกพี่กันไม่ทัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hison
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 17-10-2006, 20:25 » |
|
คุณปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานปปช. ให้สัมภาษณ์วันนี้
"จะมีการนำคดีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่สรรพากร ที่ไม่ยอมเก็บภาษีี ในการขายหุ้นชินคอร์ปเข้าหารือด้วยว่าดำเนินไปถึงขั้นตอนใดแล้ว เพื่อตั้งอนุกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมเช่นกัน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชายสายชม
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 17-10-2006, 20:43 » |
|
เข้ามาเชียร์ ให้เจ้าพนักงาน ทีช่วยคนโกง ขอให้ได้เข้าคุกทั้งก๊วน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Abraxas
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 18-10-2006, 09:54 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Power comes from lying. Lying big, and gettin' the whole damn world to play along with you. Once you got everybody agreeing with what they know in their hearts ain't true, you've got 'em by the balls.
[/size][/color][/b]
|
|
|
|