โพลล์ชี้ครอบครัว'แม่-ลูก'ปัจจุบันใกล้ชิดน้อยลง 11 สิงหาคม 2549 16:32 น.
"เอแบคโพลล์"เผยผลสำรวจพบเจอ
...พูดคุยระหว่างแม่กับลูกทุกวันลดลงจาก 63.6% ลดลงเหลือ 46.4%
ในขณะที่ไม่เคยเจอพูดคุยกันเลย เพิ่มขึ้นจาก8.1% มาอยู่ที่ 23.7 %
ชี้ครอบครัวคนกรุงน่าห่วง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายวันชัย บุญประภา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ร่วมกับ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยผลสำรวจเรื่อง เสียงสะท้อนสายสัมพันธ์จากใจลูกถึงแม่ของคน 3 วัย (รุ่นคุณยายคุณย่า รุ่นคุณแม่ และคุณลูก) : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 12 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,245 ตัวอย่าง ซึ่งโพลนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่นแข็งแรงได้นั้น ถ้าหากครอบครัวไทย สังคมไทยขาดการสื่อสารเชิงบวก ย่อมมีผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมด้วย จึงได้เกิดการจัดทำโพลนี้ขึ้นมา
ดร.นพดล กล่าวว่า เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการขอโทษและการขอบคุณแม่ ในประเด็นเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างได้ระบุเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้
1) การพูดจาไม่สุภาพ / เถียงคุณแม่ / ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ (ร้อยละ 38.1)
2) ไม่ค่อยได้ดูแลแม่ / ไม่ค่อยสนใจแม่ / ไม่มีเวลาให้แม่ (ร้อยละ 22.5)
3) การประพฤติตัวหยาบคาย (ร้อยละ 15.9)
4) การไม่ตั้งใจเรียน / ทำงาน / ไม่ช่วยทำงานบ้าน (ร้อยละ 15.0) และ
5) การเที่ยวเตร่ / เที่ยวกลางคืน / กลับบ้านช้า (ร้อยละ 12.2)
ส่วนเรื่องที่อยากจะขอบคุณแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มตัวอย่างได้ระบุใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้
1) เรื่องดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี (ร้อยละ 46.2)
2) เรื่องที่แม่ให้คำปรึกษา / เป็นกำลังใจให้ลูกๆ เสมอ (ร้อยละ 17.
3) เรื่องคำสั่งสอนต่างๆ ที่ทำให้ลูกๆ เป็นคนดี (ร้อยละ 16.
4) เรื่องที่แม่ได้ให้กำเนิดลูกๆ มา (ร้อยละ 16.5) และ
5) เรื่องที่แม่หาเงินให้ใช้จ่าย (ร้อยละ 10.0)
เกี่ยวกับเรื่องที่อยากจะขอโทษแม่ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ใน 5 อันดับแรก ได้แก่
1) การพูดจาไม่สุภาพกับคุณแม่ (ร้อยละ 60.4)
2) การแสดงกิริยามารยาทไม่สุภาพกับแม่ (ร้อยละ 40.0)
3) การโกหก / พูดเท็จ (ร้อยละ 30.6) 4) การไม่ตั้งใจเรียน / ทำงาน (ร้อยละ 26.7) และ
5) การดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ (ร้อยละ 22.0)
ซึ่งผลการสำรวจนี้สะท้อนปัญหาเรื่องการสื่อสารในครอบครัวไทยโดยนายวันชัย ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า..
การที่เด็กอยากขอโทษแม่ เนื่องจากพูดจาไม่สุภาพกับแม่มากที่สุด สะท้อนปัญหาเรื่องการสื่อสารในครอบครัวไทย ซึ่งมักจะจะใช้
การสื่อสารแบบตำหนิกับเด็กมากกว่าการชมเชยหรือการพูดในเชิงบวก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกตั้งแต่เด็กยังเด็กอยู่ กลายเป็นพฤติกรรมเชิงลบในครอบครัวที่เด็กจะเกิดการเลียนแบบ และคำพูดเชิงตำหนิจะเป็นคำพูดที่ทำร้ายเด็กโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่จึงต้องมีการสื่อสารทางบวกมากขึ้น เช่น เมื่อเขาทำสำเร็จ ทำดีก็พร้อมที่จะชมเชยลูกเสมอ หากไม่สำเร็จ หรือผิดพลาดก็ต้องให้กำลังใจ เพราะฉะนั้น ตัวอย่างในการใช้คำพูดและเรื่องการสื่อสาร ตัวอย่างต้องเป็นแม่ เป็นครู เมื่อเด็กเห็นตัวอย่าง เด็กก็จะกล้าทำในสิ่งดี ๆ และพูดแต่ในสิ่งดี ๆ นายวันชัยกล่าว
ดร.นพดล กล่าวว่า เมื่อสอบถามความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่าง หากต้องพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่น พบว่า ส่วนใหญ่ คือ
ร้อยละ 63.9 ระบุรู้สึกดีที่ได้พูด
อีกร้อยละ 20.7 ระบุเฉยๆ และ
ที่เหลืออีกร้อยละ 15.4 ระบุเขินอาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่น (อายุ 12-24 ปี) โดยแบ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น (อายุ 12-15 ปี) กลุ่มวัยรุ่นตอนกลาง (อายุ 16-19 ปี) และกลุ่มวัยรุ่นตอนปลาย (อายุ 20-24 ปี) ในประเด็นการพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่น พบว่า
วัยรุ่นตอนต้นประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33.3 รู้สึกเขินอายต่อการพูดขอโทษ / ขอบคุณแม่ ต่อหน้าผู้อื่นสูงกว่า
วัยรุ่นตอนกลางและตอนปลายที่รู้สึกเขินอายในการกล่าวขอบคุณ/ขอโทษคุณแม่ของตนต่อหน้าผู้อื่นร้อยละ 20.6 และร้อยละ 27.3
ในประเด็นนี้ คุณวันชัยได้แสดงข้อคิดเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เด็ก 1 ใน 3 รู้สึกเขินอายต่อการกล่าวคำขอโทษว่า เนื่อง
จากโดยวัฒนธรรมคนไทยแม้แต่ผู้ใหญ่เองมักไม่ค่อยกล้าพูดขอโทษหรือขอบคุณกับคนใกล้ตัว ในขณะเดียวกันกลับกล้าที่จะพูดกับคนแปลกหน้า เช่น เพื่อนที่ทำงาน หรือ คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนใกล้ชิด แต่ไม่มีการปฏิบัติกับคนใกล้ชิดและคนในบ้าน เด็กจึงคุ้นเคยกับวัฒนธรรมเหล่านั้นที่พ่อแม่ก็ปฏิบัติเช่นนั้น เด็กจึงรู้สึกเขินอายที่กล่าวคำขอโทษหรือขอบคุณเช่นกัน เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จึงต้องเป็นต้นแบบให้กับเด็กในเรื่องเหล่านี้ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจประเด็นความสัมพันธ์ พบว่า
ความสัมพันธ์โดยทั่วไปกับแม่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า......
ร้อยละ 46.4 ระบุพบเจอ / พูดคุยกับแม่ทุกวัน
ร้อยละ 29.9 ระบุเป็นบางวัน
และอีกร้อยละ 23.7 ระบุไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกับแม่เลยจากการสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทั่วไปกับแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในประเด็นการพบเจอ / พูดคุยกับแม่ พบว่า
ร้อยละ 46.4 ระบุพบเจอ / พูดคุยกับแม่ทุกวัน
ร้อยละ 29.9 ระบุเป็นบางวัน และ
อีกร้อยละ 23.7 ระบุไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกับแม่เลย
ดร.นพดลกล่าว
เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจปีที่แล้วในประเด็นเดียวกัน พบว่า จำนวนคนที่บอกว่าพบเจอพูดคุยระหว่างแม่กับลูกทุกวันลดลงจากร้อยละ 63.6 เหลือร้อยละ 46.4 ในขณะที่ไม่เคยเจอพูดคุยกันเลย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 23.7
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า
ผลสำรวจเช่นนี้เป็นสัญญาณอันตรายต่อสถาบันครอบครัวและสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูกโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจจนอาจทำให้แม่ต้องทำงานนอกบ้านมากขึ้นไปกว่าปกติอีก เช่นการทำงานหารายได้พิเศษเพิ่มเติมจนไม่มีเวลาดูแลแม้แต่การพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งสังคมไทยเคยให้ความสำคัญและเอ่ยถึงปัญหาที่ผู้หญิงในเมืองต้องทำงานนอกบ้าน แต่ปัจจุบันนี้ทำไมไม่ค่อยมีการพูดถึงกันเลยยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาประเภทกิจกรรมที่ทำร่วมกับแม่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจร่วมกันระหว่างแม่กับลูก เช่น ออกกำลังกายเล่นกีฬาร่วมกัน ชมภาพยนต์ ท่องเที่ยว กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่เคยทำร่วมกันเลย เพราะผลสำรวจพบว่า.....
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.4 ไม่เคยเล่นกีฬาออกกำลังกายร่วมกันเลย
ร้อยละ 46.1 ไม่เคยชมภาพยนต์ร่วมกัน
และร้อยละ 31.2 ไม่เคยท่องเที่ยวด้วยกันเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับแม่ พบว่า กว่าครึ่ง คือ
ร้อยละ 51.6 ระบุสนิทสนมใกล้ชิดกับแม่มาก
ร้อยละ 27.8 ระบุค่อนข้างมาก
ร้อยละ 15.3 ระบุค่อนข้างน้อย
และที่เหลืออีกร้อยละ 5.3 ระบุน้อย / ไม่ใกล้ชิดเลย
ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อวิเคราะห์การอบรมเลี้ยงดูของแม่กับคน 3 ร่น 3 วัย คือรุ่นคุณยายคุณย่า รุ่นคุณแม่ และรุ่นคุณลูก พบว่า ความเคร่งครัดในการอบรมเลี้ยงดูลูกจากรุ่นคุณยายคุณย่า ถึงรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนในขณะนี้ พบว่าแนวโน้มความเคร่งครัดด้านศีลธรรมและคุณธรรมลดลงในหลายด้าน เช่น
ความเคร่งครัดด้านการพูดโกหก ลดลงจากรุ่นคุณยายคุณย่าที่เคยมีอยู่ร้อยละ 67.6 เหลือร้อยละ 52.6 ในรุ่นคุณลูก
ความเคร่งครัดด้านการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในรุ่นคุณยายคุณย่าเคยมีอยู่ร้อยละ 60.0 เหลือร้อยละ 52.6 ในรุ่นคุณลูก
ที่เป็นเยาวชนในปัจจุบัน ความเคร่งครัดด้านการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ ในรุ่นคุณยายคุณย่าเคยมีอยู่ร้อยละ 55.9 ลดลงเหลือร้อยละ 49.8
ในรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนปัจจุบัน ความเคร่งครัดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรในรุ่นคุณยายคุณย่ามีอยู่ร้อยละ 58.0 ลดลงเหลือร้อยละ 53.9 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน
และเรื่องการพูดจากิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยในรุ่นคุณยายคุณย่าร้อยละ 45.1 เหลือร้อยละ 24.8 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน
ในขณะที่ ความเคร่งครัดที่เพิ่มขึ้น ได้แก่
สิ่งเสพติดที่ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ มีความเคร่งครัดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 59.4 ในรุ่นคุณยายคุณย่า มาอยู่ที่ร้อยละ 77.0 ในรุ่นคุณลูกเยาวชน
และความเคร่งครัดในการอบรวมลูกห้ามสูบบุหรี่เคยมีอยู่ในกลุ่มคุณยายคุณย่าร้อยละ 59.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 62.9
อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งเล็กน้อยหรือ
ร้อยละ 51.3 ระบุว่าปัจจุบันการอบรมเลี้ยงดูเคร่งครัดน้อยกว่าอดีต
ในขณะที่ร้อยละ 27.0 ระบุเคร่งครัดเท่าเดิมและร้อยละ 21.7 ระบุเคร่งครัดมากกว่าอดีต
ส่วนเรื่องที่อยากจะขอบคุณแม่ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น กลุ่มตัวอย่างได้ระบุใน 5 อันดับแรกไว้ ดังนี้
1) เรื่องดูแลลูกๆ เป็นอย่างดี (ร้อยละ 46.2)
2) เรื่องที่แม่ให้คำปรึกษา / เป็นกำลังใจให้ลูกๆ เสมอ (ร้อยละ 17.
3) เรื่องคำสั่งสอนต่างๆ ที่ทำให้ลูกๆ เป็นคนดี (ร้อยละ 16.
4) เรื่องที่แม่ได้ให้กำเนิดลูกๆ มา (ร้อยละ 16.5) และ
5) เรื่องที่แม่หาเงินให้ใช้จ่าย (ร้อยละ 10.0)
เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างระบุถึงสิ่งที่ตั้งใจจะทำให้แม่ในวันแม่ที่จะถึงนี้ พบว่า ใน 5 อันดับแรก ได้แก่
1) ทำบุญตักบาตร (ร้อยละ 36.9)
2) ให้สิ่งของ เช่น ดอกมะลิ ของขวัญ การ์ด (ร้อยละ 36.7)
3) อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน (ร้อยละ 34.
4) ทำบุญอุทิศส่วนกุศล (ร้อยละ 26.
และ
5) ให้เงิน (ร้อยละ 22.6)
และเมื่อให้กลุ่มตัวอย่างระบุคำสัตย์ปฏิญาณความดีเพื่อแม่ที่นึกถึงอันดับแรกในใจของลูก มีดังนี้
1) ทำตัวเป็นคนดีของสังคม (ร้อยละ 31.2)
2) เป็นลูกที่ดีของแม่ (ร้อยละ 26.3)
3) ตั้งใจเรียน / ทำงาน (ร้อยละ 11.4)
4) จะรักแม่ตลอดไป (ร้อยละ 9.2) และ
5) ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด / เลิกเหล้า (ร้อยละ 5.6)
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้คนส่วนใหญ่จะระบุว่า ตนเองมีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับแม่มาก แต่จากการสำรวจในปัจจุบัน พบว่า แม่กับลูกมีเวลาได้พบเจอ / พูดคุยกันน้อยลงเมื่อเทียบกับผลสำรวจปีที่แล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้พบเจอ / พูดคุยกันเลยระหว่างแม่กับลูกมีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ แม่และลูกอาจมีเวลาให้กันน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการอบรมเลี้ยงดูของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนที่อาจขาดความใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ และความเคร่งครัดในการอบรมเลี้ยงดูด้านศีลธรรมคุณธรรมมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับการอบรมเลี้ยงดูในรุ่นคุณย่าคุณยาย รุ่นคุณแม่และรุ่นคุณลูกที่เป็นเยาวชนในปัจจุบัน
เมื่อมองภาพรวมแล้ว สถาบันครอบครัวของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้คือ การให้เวลาแก่กันและกันระหว่างแม่กับลูก ควรทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจร่วมกัน เช่น เล่นกีฬาออกกำลังกาย ชมภาพยนต์ และท่องเที่ยวต่างจังหวัดร่วมกัน แต่เป็นเรื่องที่ปฏิบัติจริงได้ยากเพราะสถาบันครอบครัวในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะสร้างบรรยากาศครอบครัวขึ้นมาได้เองรัฐบาลและกรุงเทพมหานครจึงควรสร้างระบบสังคมขึ้นมาเสริมสร้างชีวิตครอบครัวของคนกรุงเทพมหานครและเขตชานเมือง
หาแนวทางทำให้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญดึงคุณแม่ออกจากบ้าน ทำให้คุณแม่ถูกลดบทบาทความเป็นแม่ลงไปจากอดีต ส่งผลให้การอบรมเลี้ยงดูด้านศีลธรรมด้านคุณธรรมลดลง และต่อไปเด็กเยาวชนที่ไม่ตระหนักถึงศีลธรรมคุณธรรมเหล่านี้จะกลับมาทำร้ายสังคม
ดังนั้นทุกภาคส่วนของสังคมในเวลานี้ควรจัดเวทีระดมความคิดเห็นขึ้นมา เพื่อช่วยกันหาทางป้องกันวิกฤตการณ์ด้านสังคมอนาคตโดยรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร ควรเป็นเจ้าภาพ เพื่อค้นหานโยบายมาตรการต่างๆ เสริมความเข้มแข็งของครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูเสริมสร้างสายใยสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกให้มีมากยิ่งขึ้นhttp://www.bangkokbiznews.com/2006/08/11/w001_128388.php?news_id=128388