เมฆอำลา-ฟ้ากระจ่าง หลัง"พระราชดำรัส"เดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยที่มาถึง "ทางตัน" ในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง ทุกฝ่ายล้วนมีส่วนทั้งสิ้น
ถ้า "ทักษิณ ชินวัตร" ไม่คิดแบบ "ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม" ยุบสภาแล้วชิงความได้เปรียบด้วยการกำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30 วัน
พรรคฝ่ายค้านคงไม่เริ่มต้นคิดเกม "บอยคอต" ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ถ้า "ทักษิณ" ยอมรับที่จะลงสัตยาบรรณเพื่อปฏิรูปการเมืองหลังการเลือกตั้ง ไม่คิด "กำหนดเกม" ด้วยการเชิญพรรคเล็กๆ มาประชุมด้วยแทนที่จะประชุมร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน
การเดินหน้า "บอยคอต" ก็คงไม่เกิดขึ้น
การเลือกตั้งที่ควรจะเดินหน้าไปตามปกติกลับมีปัญหา ทั้งขาดความชอบธรรมและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายจนต้องเลือกตั้งซ่อมหลายครั้ง
ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ "ผิดปกติ" และพยายามหาหนทางแก้ความผิดปกติแทนที่จะเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและจัดตั้งรัฐบาล
การเมืองก็คงจะไม่ถึงทางตัน
ในภาวะที่ไม่มีใครมองเห็น "ทางออก" ของการเมืองไทย เพราะไม่ว่าจะเดินหน้าไปทางใดก็ล้วนแต่เห็น "ทางตัน" รอคอยอยู่เบื้องหน้า
หากไม่มีใครยอมถอยคนละก้าว
เย็นวันที่ 25 เมษายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาประจำศาล
ในการนี้ทรงมีพระราชดำรัสแนะนำหลักการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในขณะนี้ด้วย
ทันทีที่มีการแพร่ภาพกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับ "วิกฤตการเมือง" ที่เกิดขึ้นต่างน้อมรับกระแสพระราชดำรัส
"ตุลาการ" กลายเป็น "ความหวัง" ในการ "ผ่าทางตัน" ครั้งนี้
แม้บางฝ่ายคิดว่าจะพยายามผลักดันให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ เพื่อให้มีรัฐบาลชุดใหม่
แต่ดูเหมือนว่า "ทางออก" นี้จะเป็น "ทางออก" ที่นำไปสู่ทางที่ตันยิ่งกว่าเดิม
ไม่ใช่ความสว่างไสว แต่เป็นความมืดมน
วันนี้ "ทางออก" ที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ที่ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยครั้งหนึ่งต้องเป็น "โมฆะ"
"มันเป็นไปไม่ได้ในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งขึ้นพรรคเดียว เบอร์เดียว ไม่ใช่ทั่วไป อย่างมีคนที่สมัครรับเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย"
นี่คือ กระแสพระราชดำรัสที่ทุกฝ่ายน้อมรับ
เมื่อการเลือกตั้ง 2 เมษายน เป็น "โมฆะ" คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
และพรรคฝ่ายค้านต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
เพื่อให้เกิดการแข่งขันทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
ดูเหมือนว่า "ทางออก" ที่ดีที่สุดรูปแบบนี้ซึ่งไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ กำลังจะ "เป็นไปได้" เมื่อมีกระแสพระราชดำรัสเป็น "เทียนชัย" ส่องนำทาง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกา นัดประชุมร่วมกันในวันศุกร์ที่ 28 เมษายนนี้
มีคำร้องมากมายขอให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน เป็น "โมฆะ" อยู่ในศาล
และมีหลายฝ่ายที่เตรียมยื่นคำร้องใหม่
ส่วนพรรคฝ่ายค้านประกาศน้อมรับกระแสพระราชดำรัส ประกาศพร้อมส่งผู้สมัครในการเลือกตั้งครั้งใหม่
ไม่มีการพูดถึงการใช้ "มาตรา 7" และ "นายกฯ พระราชทาน" อีกต่อไป
ท่าทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ออกมาเหมือนจับกระแสได้ว่าทิศทางของการ "ผ่าทางตัน" จะออกมาในรูปแบบใด
พรรคไทยรักไทยก็มีท่าทียอมรับกับการผ่าทางตันด้วยการเลือกตั้งใหม่
เพราะรู้ดีว่าถ้าหากดึงดันให้การเลือกตั้งที่แสนอัปยศครั้งนี้เดินหน้าต่อไป ก็เหมือนกับการจุด "ระเบิดเวลา" รอไว้เบื้องหน้า
รอวันที่จะปะทะและระเบิดครั้งใหญ่
แต่ "ปัญหา" ใหญ่ของแนวทาง "ผ่าทางตัน" ครั้งนี้อยู่ที่ท่าทีหรือจุดยืนของ 2 คู่ขัดแย้ง
ฝ่ายหนึ่ง คือ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยังยืนยันการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 2 พฤษภาคม
เป็น "ท่าที" ที่แตกต่างจากแนวทาง "สมานฉันท์" ของทุกฝ่าย
"แกนนำ" พันธมิตรฯ ต้องไม่ลืมว่าพลานุภาพของของกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นอยู่กับปริมาณคนที่มาร่วมชุมนุม
ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เข้าร่วมชุมนุมในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้จะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
เพราะวันนี้หลังมีกระแสพระราชดำรัส "เงื่อนไข" ของการชุมนุมได้เปลี่ยนไปแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ ท่าทีของ "ทักษิณ ชินวัตร"
ถ้า "ทักษิณ" ถือว่าการเลือกตั้งใหม่ทำให้เงื่อนไขการเว้นวรรคของเขาหมดสิ้นไปและตัดสินใจโดดลงสนามเลือกตั้งพร้อมเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทย
รับรองได้ว่าแนวทาง "ผ่าทางตัน" ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง
แต่ถ้า "ทักษิณ" ยอมถอย และยืนยันที่จะ "เว้นวรรค" เพื่อปฏิรูปการเมือง
ความสมานฉันท์ก็บังเกิด
การเลือกตั้งครั้งใหม่ แม้จะเชื่อกันว่าพรรคไทยรักไทยยังกุมความได้เปรียบในการเลือกตั้ง แต่หาก "ทักษิณ" เว้นวรรค และเสนอใครก็ตามขึ้นมาแข่งขันแข่งกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ของพรรคประชาธิปัตย์
สถานการณ์ในสนามเลือกตั้งก็จะเปลี่ยนไป
เหมือนกีฬากอล์ฟที่มี "แต้มต่อ" ให้สำหรับคนที่เป็นรอง
ความพลิกผันย่อมเกิดขึ้นได้
สถานการณ์การเมืองไทยในวันนี้เหมือนท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเมฆหมอกและอึมครึมอย่างยิ่ง แต่เพียงแค่มีกระแสพระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ท้องฟ้าที่มืดดำก็แปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวในพริบตา
ด้วยพระบารมี
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0406280449&srcday=2006/04/28&search=noน่าจะถูกหมดแล้วนะ