สู้กับประชานิยมจอมปลอม โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ นโยบายของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกกันว่า "ประชานิยม" นั้น ประกอบด้วย
ด้านต่างๆ คือ
ก. หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ที่เด่นที่สุดของด้านนี้คือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
ถ้าถือความพอใจของผู้รับบริการเป็นตัววัด ก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จในขั้นหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่อนปัญหาไว้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอันมาก ด้วยเหตุผล
สองประการที่สำคัญคือ
1. การบริหารจัดการที่ปรับปรุงไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ปัญหาด้านบุคลากร,
การส่งต่อ, งบประมาณ, ฯลฯ
2. ความสำเร็จของโครงการอยู่ที่ฐานคือสังคมที่มีสุขภาพ แม้ว่ารัฐบาลไทยรักไทยเข้าใจ
ประเด็นนี้ในภายหลัง แต่ก็สร้างสังคมสุขภาพได้เพียงการรำไม้พลองในหมู่บ้าน เพราะ
สังคมสุขภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ท่ามกลางบริโภคนิยมที่รัฐบาลช่วยเร่งเร้าในทางอ้อม,
ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคมที่เปิดให้สร้างมลภาวะและวางระบบที่เอื้อต่อการสร้าง
มลภาวะ, ในสังคมที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้, ในสังคมที่อำนาจมีแหล่งกำเนิดที่มาจาก
เส้นสาย ไม่ใช่ความชอบธรรม ฯลฯ
หมายความว่าสุขภาพจะได้รับการประกันถ้วนหน้าจริงในทางปฏิบัติ มีความหมายกว้าง
กว่าโรงพยาบาล แต่รวมไปถึงการเข้าไปจัดการกับตัวระบบสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง
และวัฒนธรรม อันเป็นพื้นฐานของระบบซึ่งคุณทักษิณไม่เคยแตะเลย
ข. การเข้าถึงทุน เช่น โครงการเอสเอมอี, เอสเอมแอล, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคาร
ประชาชน, การพักชำระหนี้, รวมทั้งการให้กู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องมือการผลิตเช่นแท็กซี่
หรือโครงการเอื้ออาทรต่างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่ผู้รับไม่สามารถเอาไป "ผลิต" อะไรได้)
เป็นความเชื่อมานานในสังคมไทยแล้วว่า ที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเงยหน้าอ้าปากได้
ก็เพราะเข้าไม่ถึงทุน จึงไม่อาจก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ได้มากไปกว่าแรงงานไร้ฝีมือ
แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับ "ทุน" ที่คุณทักษิณวางเป็นแนวของนโยบายออกจะแคบเกินไป
เพราะเน้นหนักที่เงินเพียงด้านเดียว ผลก็คือจำนวนมากจนถึงส่วนใหญ่ของกลุ่มเป้าหมาย
ไม่มีความสามารถจะพัฒนาทุนประเภทนี้ได้ เนื่องจากขาดทักษะ ส่วนใหญ่ไม่ประสงค์จะ
เข้าไปใช้บริการเพราะไม่ต้องการภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น อีกไม่น้อยรับบริการแล้วไม่สามารถ
ส่งคืนได้ โดยเฉพาะในกองทุนหมู่บ้าน
ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นก็คือ รัฐบาล ทรท. ไม่ได้คิดถึงเรื่องการกระจายแหล่งทุนนี้
อย่างมีประสิทธิภาพ ผลก็คือทุนที่อัดลงไปจำนวนมากกระจุกอยู่กับกลุ่มชนชั้นนำใน
ชนบทและเครือญาติบริวาร หรือมิฉะนั้นก็กระจุกอยู่กับกลุ่มที่เข้าถึงทุนอยู่แล้ว มาก
กว่าคนที่มีศักยภาพจะใช้ทุนที่เป็นเงิน แต่ไร้อำนาจ
อันที่จริง ทุนมีความหมายกว้างกว่าเงิน ทุนเคยกระจายในชนบทกว้างขวางกว่านี้
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของที่ดิน, ทักษะ, ทรัพยากรสาธารณะ, เครือข่ายทางสังคม ซึ่งอาจ
แปรเปลี่ยนเป็นเครือข่ายทางธุรกิจ, ฯลฯ แต่ทุนเหล่านี้หลุดไปจากมือของประชาชน
ส่วนใหญ่ เนื่องจากนโยบายพัฒนาที่เร่งรัดก้าวเข้าสู่ทุนนิยมอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คำนึง
ถึงความเป็นธรรมเลย การเปิดโอกาสให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงทุน จึงไม่จำกัดอยู่
แต่เรื่องเงินอย่างเดียว หากที่สำคัญกว่าคือปกป้องและฟื้นฟูทุนที่เขามีทักษะจะพัฒนา
ได้ประเภทนี้มากกว่า แต่การกระทำเช่นนี้ทำได้ยากกว่ากันมาก และเสี่ยงกับการ
ขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มที่แย่งยื้อเอาทุนของชาวบ้านไปครอบครอง อันประกอบ
ขึ้นเป็นหัวคะแนนของพรรค ทรท.ไปจนถึงแกนนำพรรคทั้งหมด
ค. การสร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ชาวบ้าน
ที่แตกต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ก็คือโครงการโอท็อป มีผลิตภัณฑ์ชาวบ้านที่อาจถือได้ว่า
ประสบความสำเร็จจำนวนหนึ่ง แต่ไม่แน่ชัดนักว่าที่สามารถสร้างตลาดของตนได้นั้น
เป็นเพราะนโยบายหรือเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับนโยบาย (คือ ถึงไม่มี
นโยบายผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว) ยิ่งไปกว่านั้น หากดูว่า
โครงการโอท็อป ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อแปรรูป
มากน้อยเพียงใด จะพบว่ามีน้อยมากอย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่นับรวมผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ
อยู่แล้ว และโอท็อปไปขอปะชื่อในภายหลังด้วย
ตลาดของผลิตภัณฑ์โอท็อปจะขยายตัวได้ หลีกไม่พ้นที่ต้องเชื่อมต่อกับธุรกิจค้าปลีก
แต่ธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะในเมืองไทยมีลักษณะรวมศูนย์มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะ
เอารัดเอาเปรียบผู้ผลิต แม้แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ ปราศจากการจัดการและการควบคุมใน
ระดับหนึ่ง สินค้าโอท็อปไม่มีทางเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ไปกว่าตลาดท่องเที่ยวและสินค้า
ที่ระลึก หากคิดว่าผลิตภัณฑ์โอท็อปมุ่งตลาดเฉพาะ (niche market) คำถาม คือ
ชาวบ้านจะเข้าถึงตลาดเฉพาะได้อย่างไร
โดยสรุปก็คือ โครงการโอท็อปไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง โดยเฉพาะเมื่อ
คิดถึงเงินลงทุนจำนวนมหาศาล นอกจากเปิดให้นักธุรกิจในชนบทให้เข้าสู่วงจรธุรกิจ
เป็นบางราย แต่ไม่ได้สร้างเถ้าแก่, ไม่ได้สร้างการกระจายงานในชนบท, และไม่ได้
สร้างการแปรรูปผลผลิตด้านการเกษตรอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เหตุผลก็เพราะรัฐบาล ทรท.
ไม่กล้าเข้าไปแตะถึงด้านโครงสร้าง
ง. การศึกษา
จะพูดว่านี่เป็นด้านที่คุณทักษิณล้มเหลวที่สุดก็ได้ เพราะนโยบายด้านการศึกษาไม่ได้
เปิดให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษากว้างขวางขึ้น (ไปกว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
และกฎหมายซึ่งเร่งรัดให้การศึกษาขยายตัวอยู่แล้ว) แต่กลับสร้างความใฝ่ฝันสำหรับ
คนส่วนน้อยยัดเข้าไปในระบบการศึกษา ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงให้มีความไม่เป็นธรรมอยู่ได้
ด้วยการแข่งขันทะยานไปสู่ความใฝ่ฝันสำหรับคนส่วนน้อยอยู่แล้ว โครงการหนึ่งอำเภอ
หนึ่งนักเรียนนอกก็ตาม โครงการโรงเรียนในฝันก็ตาม หรือแม้แต่โครงการสมิธโซเนียน
ก็ตาม ล้วนไม่ได้ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในชีวิตของผู้คน มาตรฐานคุณภาพ
ของการศึกษาในระบบต่ำลงทุกระดับ
สื่อสำคัญในชีวิตคนคือทีวีก็ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม ศูนย์การเรียนรู้ของชาวบ้านไม่ได้รับ
การส่งเสริม ฯลฯ
ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า นโยบาย "ประชานิยม" ของคุณทักษิณ ไม่ได้มีผลประโยชน์
ของ "ประชา" เป็นเป้าหมาย เท่ากับคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง แม้กระนั้นก็เป็นส่วน
สำคัญที่ทำให้คุณทักษิณได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้น และ
กลายเป็นความระแวงของคณะทหารที่ทำการรัฐประหารในทุกวันนี้ เพราะพลัง "มวลชน"
ที่อาจหนุนหลังผู้ที่ต้องการทำรัฐประหารซ้อน
รัฐบาลชั่วคราว (รวมไปถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในภายหน้าด้วย) จะสู้กับ
"ประชานิยม" แบบของคุณทักษิณอย่างไร อันจะเป็นการ "ปลดอาวุธ" คุณทักษิณ
และบริวารอย่างถาวร
ประการแรก ต้องไม่ด่วนสรุปก่อนว่า ผู้ที่สนับสนุน "ประชานิยม" ของคุณทักษิณคือ
คนโง่-จน-เจ็บ แม้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในชนบท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนประเภท
เดียวกัน แท้จริงแล้ว อาจแบ่งออกได้หยาบๆ เป็นสองกลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้
ไม่ใช่คนจนของหมู่บ้าน ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะร่วมอยู่ในเครือข่าย
ทั้งทางธุรกิจและการเมืองกับผู้มีอำนาจระดับต่างๆ เขาทำหน้าที่เป็นหัวคะแนนเสียงใน
การเลือกตั้งมานานก่อนจะมีพรรค ทรท.เสียอีก และเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ
"ประชานิยม" ของคุณทักษิณมากที่สุด
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง แม้เป็นคนจนและไร้กำลังทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ก็ไม่ได้รับ
ประโยชน์โดยตรงจากโครงการ "ประชานิยม" นัก หากทะว่ามีชีวิตในเครือข่ายอุปถัมภ์
ของกลุ่มแรก หรือมิฉะนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับกลุ่มแรกซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในหมู่บ้าน
จึงอาจ "ขอกันกิน" ได้บ้าง เช่น หากให้ค่าตอบแทนที่ไม่ทำให้สูญเสียเกินไป ก็พร้อมจะ
ร่วมชุมนุมทางการเมืองตามที่กลุ่มแรกร้องขอ และนี่คือพลัง "มวลชน" ที่แท้จริงของผู้ที่
สนับสนุนคุณทักษิณ
แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าโครงการ "ประชานิยม" ทั้งหลายนั้น ไม่ได้มุ่งจะถ่ายโอน
ทรัพยากรกลางมาแบ่งปันให้เขา หากเอามาหล่อเลี้ยงบริษัทบริวารซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้
ได้เปรียบอยู่แล้วในชนบทต่างหาก แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเช่นกัน เพราะรัฐบาลอื่น
ก็ไม่เคยถ่ายโอนทรัพยากรกลางมาแบ่งปันให้เขาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของนักการเมือง
ต้องทุจริตคดโกงงบประมาณมาปรนเปรอหัวคะแนนเองต่างหาก
และด้วยเหตุดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลชั่วคราวจะต้องทำในประการที่สองก็คือ การทำโครงการ
ประชานิยมที่ทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียมหรือดีกว่ากลุ่มคนที่ได้เปรียบ
อยู่แล้ว ประชานิยมที่แท้จริงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มุ่งหมาย
เพียงกวาดคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเท่านั้น
แต่จุดมุ่งหมายใหญ่คือทำให้คนระดับล่างมีกำลังจะพัฒนาตนเอง โดยการเพิ่มขีดความ
สามารถของเขาในการพัฒนา
นโยบายประชานิยมที่แท้จริงสำหรับเมืองไทย จึงต้องประกอบด้วย
1. การปฏิรูปที่ดิน เพื่อกระจายทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ให้ถึงมือผู้ที่มี
ความสามารถจะใช้ประโยชน์ การเก็งกำไรที่ดินจะไม่มีวันได้ผลตอบแทนคุ้ม เพราะ
จะต้องเสียภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และเสียภาษีรายได้ในรูปกำไรจากที่ดินในการ
ซื้อขายอย่างหนัก
2. การกระจายอำนาจต้องหมายถึง การให้อำนาจแก่ประชาชนหรือองค์กรประชาชนมี
ส่วนในการตัดสินใจอนุรักษ์, ใช้ประโยชน์ และจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น
3. การเปิดโอกาสทางการศึกษาที่ฟรีจริงๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรียกว่า
บำรุงการศึกษา, ห้องสมุด, สมาคมศิษย์เก่า, วัสดุอุปกรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
4. ทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครบวงจร มีการบริหารจัดการเพื่อให้
โรงพยาบาลสามารถให้บริการที่ดีและเท่าเทียมกันได้จริง ในขณะที่ทำให้ในโรงงาน,
ชุมชน, เมือง, และประเทศของเราทั้งประเทศเป็นทำเลที่มีสุขภาพอย่างแท้จริง
หรือประกาศและบังคับใช้นโยบายสังคมสุขภาพแก่ทุกฝ่ายในประเทศไทย
5. ต้องให้ความคุ้มครองแรงงานแก่แรงงานทุกประเภท เพราะงานจ้างกลายเป็นแหล่ง
รายได้หลักของประชาชนทั่วไปเสียแล้ว
ฯลฯ
สรุปก็คือ "ประชานิยม" จอมปลอมของคุณทักษิณต้องถูกตอบโต้ด้วยประชานิยมแท้จริง
นั่นคือมาตรการทางกฎหมาย, ทางสังคม และทางการเมืองที่จะสร้างความเป็นธรรมขึ้น
ในสังคม เพื่อให้คนเสียเปรียบซึ่งเป็นเหยื่อของ "ประชานิยม" จอมปลอมได้มีโอกาส
เงยหน้าอ้าปากในสังคมนี้
การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพประชาชนด้วยความระแวงต่อการท้าทายอำนาจ เป็นมาตรการที่
ให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากความอึดอัดปะทุขึ้นมาเมื่อไร จะกลายเป็นเหตุนองเลือด
ที่น่าเศร้าสลด และเปิดโอกาสให้นักการเมืองแบบคุณทักษิณกลับเข้ามารวบอำนาจใหม่
เพราะประชาชนไม่มีโอกาสได้เรียนรู้และร่วมกำกับนโยบาย "ประชานิยม" ที่จะมีผลดีต่อ
ตนโดยตรง จึงง่ายที่จะหลงไปกับการโป้ปดมดเท็จของนักการเมืองแบบนั้น
ที่มา มติชน วันที่ 09 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10439http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act05091049&day=2006/10/09