ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
31-01-2025, 06:28
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ถอดโมเดล..สมัชชาแห่งชาติ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ถอดโมเดล..สมัชชาแห่งชาติ  (อ่าน 1090 ครั้ง)
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« เมื่อ: 18-10-2006, 11:49 »

จับตา..ฤๅษีแปลงสาร ถอดโมเดล..สมัชชาแห่งชาติ 


ภารกิจ ใหญ่ของบ้านเมืองช่วงเวลา 1 ปี นับจากนี้เป็นต้นไป เห็นจะหนีไม่พ้นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่ง
รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 100 คน โดยมีที่มาจากสมัชชาแห่งชาติ 2,000
คน เลือกกันเองให้เหลือ 200 คนก่อนที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะเลือกให้เหลือ 100 คนต่อไป 
 
อย่าง ไรก็ดี แค่เริ่มต้นก็มีความสับสนอยู่มากพอสมควรว่า สมัชชาแห่งชาติ 2,000 คน จะมาจากภาคส่วนใดเพื่อให้
เป็นไปตามหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุด 
 
เพราะ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 20 กำหนดไว้กว้างๆ ว่า ให้มีสมัชชาแห่งชาติ อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีจำนวน
ไม่เกิน 2,000 คน โดยให้คำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ จาก
ภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม 
 
ความยากในเรื่องนี้จึงอยู่ที่ จะออกแบบโมเดลการสรรหาอย่างไรให้ลงตัวที่สุด..! 
 
ก่อน หน้านี้ หัวเรือใหญ่ด้านกฎหมายของ คมช. นำโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มองโมเดลการสรรหาไปในทำนองเดียวกับ
การสรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ 
 
ซึ่งใช้วิธีเลือกตัวแทนจากองค์กรที่มาจดทะเบียนกับสภาที่ปรึกษาฯไว้ 
 
แต่ จากการหารือร่วมกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ 4 สถาบัน ช่วงวันแรกๆ หลังการรัฐประหาร 19
กันยายน ที่ประชุมเป็นห่วงเรื่องการ "บล็อคโหวต" ว่าจะได้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามามากเป็นพิเศษ 
 
คณาจารย์รุ่นใหม่นำ โดยนายวรรณธรรม กาญจนสุวรรณ อาจารย์รัฐศาสตร์ มสธ. นายบรรเจิด สิงคเนติ อาจารย์คณะ
นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงเสนอโมเดล ที่ว่ากัน
ว่า "รับได้" กันทั้ง 2 ฝ่ายระหว่าง คมช.และนักวิชาการ โดยสมัชชาฯมาจากสมาชิก 2 ประเภท ประกอบด้วย
 
1.คมช.เสนอชื่อบุคคลมีความรู้ความสามารถด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ 480 คน
 
2.ตัว แทนสมัชชาระดับจังหวัด จังหวัดละ 20 คน (76 จังหวัด เท่ากับ 1,520 คน) โดยใน 20 คน ของแต่ละ
จังหวัดมาจาก 5 กลุ่มที่สำคัญ ประกอบด้วย กลุ่มภาคประชาสังคม ที่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองไม่น้อยกว่า 5 ปี 6
คน, กลุ่มภาคธุรกิจเอกชน 3 คน, กลุ่มนักวิชาการในระดับสถาบันอุดมศึกษา 5 คน, กลุ่มสมาชิกองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นและท้องที่ 4 คน สุดท้ายกลุ่มเยาวชน ผู้นำศาสนา จำนวน 2 คน โดยเปิดโอกาสให้สมัครและเสนอชื่อ
บุคคลในแต่ละกลุ่ม ก่อนจะให้บุคคลในแต่ละกลุ่ม "เลือกกันเอง" ตามสัดส่วนที่กำหนด โดยมีกฎว่า "ห้ามเลือกข้าม
กลุ่ม"
 
หากใช้วิธีดังกล่าว แต่ละกลุ่มต้องผ่านการจับเข่าคุยกันจนได้บุคคลซึ่งทุกคนยอมรับโดยประจักษ์ ภาพในจินตนาการ
คือ ต้องการได้คนที่เป็นปราชญ์ชุมชนจริงๆ เช่น คนอย่างนายประยงค์ รณรงค์ (ผู้คว้ารางวัลแมกไซไซสาขาพัฒนา
ชุมชนปี 2547) เข้ามาเป็นสมัชชาฯ 
 
หลังจากนั้นการเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน ก็จะใช้หลักการ "ห้ามเลือกข้ามกลุ่ม" เช่นกัน โดยสมาชิกคนหนึ่ง
เลือกได้ 3 คน วิธีนี้เป็นการคงบทบาทคุณค่าของกลุ่ม ไม่ให้มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามามากไป 
 
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ โมเดลดังกล่าว เนื้อหาบางส่วนถูกทำให้ "บิดเบี้ยว" ไป โดย คมช.จะตั้งคณะกรรมการกำกับ
ดูแลการสรรหาสมัชชาแห่งชาติ (คดส.) ประกอบด้วย ตัวแทนจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับผิดชอบการคัด
สรรสมาชิกสมัชชา แห่งชาติ โดยจะเป็นผู้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เป็นแกนหลักในการเลือกกลุ่มตัวแทน
ต่างๆ ในสังคม ที่ยึดโยงโมเดลการสรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
โดย การสรรหาสมัชชาฯระดับจังหวัด แม้จะยังยึดสัดส่วนว่า 20 คนของแต่ละจังหวัดต้องประกอบไปด้วยภาคส่วน
ใดบ้าง แต่การเลือก จะเป็นการหยิบตัวแทนจากองค์กรทั่วประเทศประมาณ 9,000 องค์กร ที่มาขึ้นทะเบียนกับสภา
ที่ปรึกษาฯ ซึ่งเป็นองค์กรอาชีพกระจายอยู่ในแต่ละจังหวัด 
 
แม้จะดูเผินๆ ว่า การสรรหาแบบนี้ จะได้ตัวแทนกลุ่มต่างๆ ในสังคมเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ใช่ 
 
เพราะ กลุ่มอาชีพที่จดทะเบียนกับสภาที่ปรึกษาฯ มักเป็น "กลุ่มจัดตั้ง" เสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น เป็นพวกกลุ่มแม่บ้าน
กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน ฯลฯ
 
ขณะที่ "ปราชญ์ชุมชน" ก็มีการรวมกลุ่มอีกแบบหนึ่งในรูปกลุ่มประชาสังคมที่ไม่ได้จดทะเบียน 
 
และ ยังมีปัญหาอีกว่า องค์กรที่เคยจดทะเบียนกับสภาที่ปรึกษาฯ สามารถเป็นตัวแทนของภารกิจนี้ได้หรือไม่ เพราะ
เป้าหมายของสภาที่ปรึกษาฯ อยู่ที่เศรษฐกิจและสังคม 
 
ขณะที่ภารกิจครั้งนี้คือ การร่างรัฐธรรมนูญ 
 
เรื่อง นี้จึงมีเสียงคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการที่เคยเสนอโมเดล โดยเฉพาะการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น
แกนการสรรหา เป็นการสรรหาระบบคำสั่ง แบบบนลงล่าง (top-down) ไม่ใช่ล่างสู่บน (bottom-up) ซึ่ง
แม้จะ "ระดม" หาสมัชชาฯ 2,000 คนได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ไม่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากอาจมี
การระดมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในพื้นที่อยู่แล้วเข้ามาเป็นสมัชชาฯ
 
ยิ่ง ไปกว่านั้น การเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน แนวทางที่กุนซือกฎหมายของ คมช.วางไว้คือ ให้สมัชชา 1 คน
เลือกได้ 3 ชื่อ และยังเลือกข้ามกลุ่มกันได้ 
 
จุดนี้ถูกมองว่าจะเป็น "เค้าลางแห่งความหายนะ" เพราะอาจทำให้เกิดการรวมกลุ่มบล็อคโหวต และตัวแทน 200 คน
นั้นอาจไปกระจุกตัวที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นการลดบทบาทคุณค่ากลุ่มลง 
 
ท้าย ที่สุด การเลือกจาก 200 คนให้เหลือสภาร่างรัฐธรรมนูญ 100 คน เป็นอำนาจของ คมช.ล้วนๆ แต่ในเมื่อไม่มี
เกณฑ์อะไรที่เป็น "มาตรวัด" ถึงความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์ในสังคม 
 
จึงได้แต่เสียวแทนว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สังคมตั้งความหวัง จะถดถอยไปกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 หรือไม่..?


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pol01181049&day=2006/10/18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2006, 11:53 โดย Cherub Rock » บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 18-10-2006, 12:04 »

จะว่าไป ทางสาธารณะสุข หรือ สสส. เค้ามี สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเคยร่วมกันทำ "พรบ.สุขภาพแห่งชาติ" อยู่แล้ว

ตอนนี้กำลังทำเรื่อง "สมัชชาสุขภาพกับเศรษฐกิจพอเพียง" จะประชุมกันปลายเดือนนี้

ทำไมไม่เลือก เอา"สมัชชาสุขภาพ" เป็นตัวตั้ง...แล้วปรับกันที่ตรงนั้น

เรื่อง "สมัชชาประชาชน" ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเชื่อร้อยกันมาตลอด และที่สำคัญ "สมัชชาสุขภาพ" คือ "ตัวจริง" ที่เสียสละกันมา

ในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.) ก็ทำกันมาตลอด

ลอง ๆ ดูที่นี่ก็ได้...เค้าไม่ได้ทำเฉพาะเรื่อง "สุขภาพทางกาย" เท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" ด้วย

http://www.hsro.or.th/?show=view&doc=642
บันทึกการเข้า

Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #2 เมื่อ: 18-10-2006, 15:11 »

ตัวแทนสมัชชาระดับจังหวัด จังหวัดละ 20 คน
มาจาก 5 กลุ่มที่สำคัญ ประกอบด้วย

1.กลุ่มภาคประชาสังคม ที่มีการขับเคลื่อนทางการเมืองไม่น้อยกว่า 5 ปี 6 คน
2.กลุ่มภาคธุรกิจเอกชน 3 คน
3.กลุ่มนักวิชาการในระดับสถาบันอุดมศึกษา 5 คน
4.กลุ่มสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและท้องที่ 4 คน
5.เยาวชน ผู้นำศาสนา จำนวน 2 คน



ผู้นำศาสนาทำไมน้อยจัง แถมโดนรวมกับเยาวชนอีก 


บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
พระพาย
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 679



« ตอบ #3 เมื่อ: 18-10-2006, 16:54 »

อ่า... แล้วนักวิชาการเขาบอกหรือไม่ครับว่า ปราชญ์ชาวบ้านที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ หรือกลุ่มพัฒนาที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ จะคัดเลือกกันอย่างไร? จะรู้ได้อย่างไรว่ามีกลุ่มนั้นอยู่? จะตรวจสอบได้อย่างไรว่าคนนั้นพัฒนาอะไรอยู่จริง?

คือถ้าไม่มีวิธีการที่แน่ชัด ปฏิบัติได้... ค้านไปก็เสียแรงเปล่าครับ
บันทึกการเข้า

คลิป นปก บุกทำเนียบชนพันธมิตร
http://pirun.ku.ac.th/~g4685035/01mob.asf
กระทู้ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดร่วมคัดคัดกรณีปราสาทพระวิหาร นำโดยคุณ *bonny http://forum.serithai.net/index.php?topic=28065.0
และเอกสารยื่นคัดค้านกระทรวงต่างประเทศไทยและกัมพูชา  http://www.savefile.com/files/1629973
กระทู้สรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://forum.serithai.net/index.php?topic=28392.0
ใบปลิวขนาด 2 หน้าสรุปประเด็นปราสาทพระวิหาร โดยคุณ Jerasak http://www.savefile.com/files/1626944

แม่น้ำร้อยสายล้วนต้นกำเนิดเดียวกัน... จากสายฝน จากภูเขา ที่ซึ่งคล้ายเจตนารมณ์แห่งฟ้า
เสรีไทยเวบบอร์ด http://forum.serithai.net/
We Open Mind http://www.weopenmind.com/board/index.php
อรุณสวัสดิ์ http://www.arunsawat.com/board/index.php
ที่ทำการเสี่ยวอีสาน[
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #4 เมื่อ: 18-10-2006, 18:02 »

ธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย
คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"..เกณฑ์ที่มองกันไว้กว้างๆ คือ ผู้มาเป็นสมัชชาแห่งชาติต้องไม่เป็นสมาชิก
พรรค และเป็นคนที่ไม่ได้เสนอตัวเองเข้ามา.."

"ตอนที่คุยร่วมกับท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ และคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และ
นิติศาสตร์ 4 สถาบัน ก็ไม่ได้มีการคุยรายละเอียดว่า สมัชชาแห่งชาติ 2,000
คน จะสรรหาจากกลุ่มใด แต่ละกลุ่มจะมีสัดส่วนเท่าไหร่ รวมถึงใครเป็นผู้
เสนอรายชื่อมา

แต่พูดกันคร่าวๆ ว่า ให้มาจาก 76 จังหวัด และนึกไปถึงลักษณะเหมือนการ
สรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่รูปแบบนี้มองกันว่า มี
การบล็อคโหวตอยู่เหมือนกัน

ดังนั้น เกณฑ์ที่มองกันไว้กว้างๆ คือ ผู้มาเป็นสมัชชาแห่งชาติต้องไม่เป็น
สมาชิกพรรค และเป็นคนที่ไม่ได้เสนอตัวเองเข้ามา รวมถึงเป็นคนที่โดดเด่น
ในแต่ละพื้นที่ลักษณะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน และพูดกันกว้างๆ ว่า อาจแบ่ง
ได้เป็น 4 กลุ่ม คือภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคสังคม ได้แก่ องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชน ฯลฯ และภาค
สถาบันการศึกษา

ผมมองว่า การแบ่งกลุ่มแบบนี้ใช้ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนผู้ที่เป็นผู้เสนอรายชื่อ
อาจเป็นกลุ่มที่มีกฎหมายรองรับ เช่น สภาทนายความ แพทยสภา เป็นต้น
แต่สัดส่วนการเสนอก็ไม่ได้พูดกันชัดเจน

ส่วนการเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน จากนั้น คมช.จะคัดเลือกบุคคลตาม
บัญชีรายชื่อให้เหลือ 100 คน เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นการย่อ
สัดส่วนลงมาจากสมัชชาแห่งชาติ สุดท้ายต้องได้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
100 คน ที่มีความหลากหลาย ซึ่งใน 100 คน ก็จะไปเลือกกรรมาธิการยก
ร่างรัฐธรรมนูญ 25 คน ตรงนี้ต้องหลากหลายและไม่ใช่เป็นนักเทคนิคทาง
กฎหมายเพียงอย่างเดียว"


พรชัย เทพปัญญา
ผอ.วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

"..การทำประชามติถือเป็นความเพ้อเจ้อของระบบนี้.."

"กรอบแนวคิดในการกำหนดโมเดลสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนตัว
ไม่เห็นด้วยกับรูปแบบที่นำเสนอ เพราะการเปิดให้มีสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ
2,000 คน โดยมีที่มาที่ไปที่ไม่ชัดเจน อาจมีรายการคุณขอมา และที่คิด
เช่นนั้นเพราะ 1.ปัญหาเทอะทะ 2.การ นำบุคคลต่างที่มาอาจไม่ได้บุคคลใน
ความต้องการที่แท้จริง จึงเห็นว่าสมัชชาแห่งชาติควรมีบทบาทแสดง
ความเห็น พูดคุยถึงตัวเนื้อหาสาระที่ต้องแก้ไข ส่วนบทบาทการยกร่างฯ
ควรตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาชุดหนึ่งจากผู้ เชี่ยวชาญต่างๆ
จำนวน 25-30 คน จะเหมาะสมที่สุด

แต่เมื่อมองถึงโมเดลที่ถูกกำหนดขึ้นจากการสรรหาสมาชิก 2,000 คน
ผมว่า ขั้นแรก สมาชิก 2,000 คน ควรมีอำนาจหน้าที่ในการพูดคุยสรุป
สาระปัญหาของรัฐธรรมนูญว่า มีประเด็นใดที่เห็นควรแก้ไขบ้าง เพื่อ
เป็นการกำหนดทิศทาง โดยให้ 2,000 คน แบ่งกลุ่มแยกกันไปทำ
ประชาพิจารณ์กันในแต่ละกลุ่ม 
เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อกำหนดประเด็นที่ควรแก้ไข อาทิ การสังกัด
พรรค 90 วัน ยังควรมีอยู่หรือไม่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อควรมีหรือไม่
รวมทั้งการกำหนดคุณสมบัติปริญญาตรี เป็นต้น

เมื่อรวบรวมประเด็นได้แล้วใน 1 หรือ 2 เดือน ก็นำเสนอต่อ
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะกรรมการร่างฯให้แต่งตั้งโดย
สภานิติบัญญัติ เน้นจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จำนวนไม่เกิน 25-30
คน

เมื่อประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่คณะกรรมการยกร่างก็ให้
คณะกรรมการยก ร่างฯ พิจารณาอีกชั้นและดำเนินการยกร่างฯ ก่อน
ส่งร่างรัฐธรรมนูญเสนอกลับเข้าสู่สภานิติบัญญัติ จากนั้นนำร่างฯไป
ทำประชาพิจารณ์โฟกัสกรุ๊ป (Focus Group) เฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละด้าน

วิธีดังกล่าวจะได้สาระสำคัญทางเนื้อหามากกว่า ไม่ใช่ต้องเป็นหน้าที่
เฉพาะของสภาร่างฯ 100 คน ผมมีข้อสังเกตที่ควรปรับคือ การทำ
ประชามติทั่วประเทศ ต้องยอมรับว่าทำยากมาก เพราะถ้าประชาชน
ไม่เห็นด้วยก็เป็นอันว่าร่างฯต้องล้มหมด จึงไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธี
ประชามติ เพราะแม้แต่ประเทศที่เจริญแล้ว ก็ไม่ใช่วิธีการดังกล่าว
ปัญหาคือการพยายามทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมด ต้องใช้เวลา และไม่ใช่ว่าประชาชนทั้งหมดจะสร้างความ
เข้าใจได้ ต้องยอมรับว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่รู้
รัฐธรรมนูญ ต้องยอมรับความจริง ไม่ได้เป็นการดูถูก เป็นไปไม่ได้ ใน
ส่วนการทำประชามติจึงเป็นความเพ้อเจ้อของระบบนี้

นอกจากนั้น ผมไม่อยากให้ปฏิเสธพรรคการเมืองในการมีส่วนร่วม
ร่างรัฐธรรมนูญ ต้องยอมรับว่า กติกาต่างๆ ผู้มาใช้คือพรรคการเมือง
นักการเมือง ฉะนั้นเราควรให้มีโอกาสพวกเขาแสดงความเห็น หรือมี
ส่วนร่วม ต้องหาจุดที่ประนีประนอมระหว่างผู้ร่างฯกับผู้ใช้กติกา แต่
ลักษณะที่ผู้เขียนไม่ได้ใช้ ผู้ใช้ไม่ได้เขียนจะส่งต่อและเกิดปัญหา และ
ต่อไปจะมีปัญหาตามมา



นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

"..หากยังมีคนห่วงเรื่องคนของระบอบเดิมจะแทรกซึมเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ
ก็จะมี คมช. มาช่วยดูขั้นสุดท้าย.."

"สำหรับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 เรื่อง สมัชชา
แห่งชาติ ที่ให้มีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเองเพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อผู้
สมควร ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี
ที่มาจากการสรรหาบุคคล ที่ต้องคำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่างๆในภาครัฐ
ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ จากภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม
นั้น เป็นข้อเสนอของฝ่ายวิชาการที่ได้เข้าไปให้ความเห็นในการยกร่าง
รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 เพราะ เมื่อเป็นสมัชชาแล้ว ต้องมี
สมาชิกที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นใน
ส่วนของระดับท้องถิ่นเสนอขึ้นมา แต่คิดว่าจะต้องไม่มีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
การเมืองเข้ามา

คนที่วิจารณ์ว่าทำไมในรัฐธรรมนูญจึงไม่เขียนรายละเอียดไว้ในเรื่องการสรร
หาว่าจะมาจากส่วนไหนเท่าไหร่ หรือการให้ คมช.คัดเลือกบุคคลตามบัญชี
รายชื่อที่สมัชชาแห่งชาติเลือกกันมา 200 คน ให้เหลือ 100 คน เพื่อเป็น
สมาชิกร่างรัฐธรรมนูญนั้น คิดว่าหากยังมีคนห่วงเรื่องคนของระบอบเดิมจะ
แทรกซึมเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะมี คมช.มาช่วยดูในขั้นสุดท้าย ก่อนนำ
ความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ผมมองว่าถูกต้องแล้วที่
คมช.เข้ามาดูในขั้นสุดท้าย ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับขั้นแรก แต่ควรให้ทุก
ภาคส่วนมีส่วนร่วมกันในขั้นแรก


http://www2.nesac.go.th/document/show12.php?did=06100028
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #5 เมื่อ: 20-10-2006, 19:50 »

อย่างไรก็ตาม ที่กำลังเป็นที่จับตา และมีน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงใยเพิ่มขึ้นทุกที นั่นก็คือ กระบวนการสรรหา "สมัชชาแห่งชาติ" 2,000 คน เพื่อมาสู่ขบวนการคัดเลือกให้เหลือ 100 คน ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถารวร อันเป็นความคาดหวังสูงสุด ว่า ควรจะนำพาประเทศไทยไปสู่การปฏิรูปการเมืองรอบที่ 2 ไม่ต้องเผชิญกับ "วิกฤตที่สุดในโลก" อีก

เดิมนั้นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กลุ่มนักวิชาการไปทำตุ๊กตาการเลือกสรรสมัชชาแห่งชาติ มาเสนอเพื่อที่จะให้คลอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

ท่าทีดังกล่าว ทำให้ภาพของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ดูดี และแสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะทำให้การคัดสรรสมัชชาแห่งชาติ เป็นไปอย่างกว้างขวาง

ซึ่งกลุ่มนักวิชาการ ก็ได้ร่วมกันเสนอตุ๊กตาไปหลายแบบ

แต่ล่าสุดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติดูเหมือนจะเลือกแนวทางของตนเอง โดยการให้ตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการสรรหาสมัชชาแห่งชาติ ขึ้นมา

คณะกรรมการชุดนี้ ประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน ตัวแทนสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาชีพต่างๆ ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และนักวิชาการ เพื่อคัดสรรสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 2,000 คน จากทั่วประเทศ

แสดงให้เห็นการยึดมั่นอยู่ในกรอบ "ราชการ" อย่างมาก โดยเฉพาะการพึ่งพิงกลไกของกระทรวงมหาดไทย

ตรง นี้นำไปสู่ความห่วงใยของนักวิชาการ เพราะสังคมไทยมีบทเรียนหลายครั้งต่อหลายครั้ง ที่เมื่อกระบวนการสรรหาผ่านระบบราชการโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เราแทบจะหลับตามองเห็นว่า บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกมาจะมีหน้าตาอย่างไร


ถึงจะบอกว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มประชาชนต่างๆ

แต่ก็เป็นประชาชนที่ "จัดตั้ง" หรือสังกัดกับฝ่ายราชการ ซึ่งไม่มีความหลากหลายและไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมอย่างกว้างขวางมากกว่า

จึงเริ่มมีเสียงคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการ โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยเสนอโมเดลให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

โดยประเด็นที่ห่วงใยกันมาก คือการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นแกนการสรรหา เป็นการสรรหาระบบคำสั่ง แบบบนลงล่าง (top-down) ไม่ใช่ล่างสู่บน (bottom-up) ซึ่งแม้จะ "ระดม" หาสมัชชาฯ 2,000 คนได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ไม่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องจากอาจมีการระดมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในพื้นที่อยู่แล้วเข้ามาเป็นสมัชชาฯ

สภาพนี้จะเป็นปัญหามากต่อการร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเมื่อตัวแทนประชาชนไม่หลากหลายจริง รัฐธรรมนูญก็ไม่อาจสะท้อนภาพของที่แท้จริงของการเมืองที่เราต้องการได้

และยิ่งในขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกสมัชชา 2,000 คน ให้เหลือ 100 คน เป็นการตัดสินใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความคาดหวังจะเห็นความหลากหลาย เป็นไปได้ยากยิ่ง

เมื่อไม่หลากหลาย รัฐธรรมนูญก็อาจจะสะท้อนเฉพาะ "ภาพ" ของผู้ที่อิทธิพลอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือ "กระบวนอมาตยาภิวัตน์" นั่นเอง

ขณะเดียวกัน อาจมีผู้มองในแง่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือ นอกเหนือจากความคับแคบของมุมมองที่ผูกพันอยู่กับ "ข้าราชการ" แล้ว ยังมีความวิตกกังวลว่า การร่างรัฐธรรมนูญ อาจจะมุ่งเอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ ทั้งในแง่บุคคลและระบอบอมาตยาธิปไตย

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ความคาดหวังที่จะได้เห็นรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ก็เป็นเรื่องยาก


http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=MDQwOTIwMTA0OQ==&srcday=MjAwNi8xMC8yMA==&search=no
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #6 เมื่อ: 20-10-2006, 20:17 »

วันนี้ (20 ต.ค.) สำหรับการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการสรรหาสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (กดส.) ที่มีพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นประธานที่รัฐสภา ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 5 ชุด ประกอบด้วย

1.คณะอนุกรรมการให้คำแนะนำและวินิจฉัยการดำเนินการขององค์กรหรือบุคคล มีนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย เป็นประธาน
2.คณะอนุกรรมการสังเกตการณ์การสรรหาผู้แทนของกลุ่มหรือภาค มีนายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน
3.คณะอนุกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้แทนกลุ่ม และจัดทำบัญชีรายชื่อเสนอ คมช. มีนางอรมา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ มีนายสุพจน์ ไข่มุกด์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เป็นประธาน และ
5.คณะอนุกรรมการการงบประมาณและการเงิน มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
หน้า: [1]
    กระโดดไป: