ธิติพันธ์ เชื้อบุญชัยคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
"..เกณฑ์ที่มองกันไว้กว้างๆ คือ ผู้มาเป็นสมัชชาแห่งชาติต้องไม่เป็นสมาชิก
พรรค และเป็นคนที่ไม่ได้เสนอตัวเองเข้ามา.."
"ตอนที่คุยร่วมกับท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ และคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และ
นิติศาสตร์ 4 สถาบัน ก็ไม่ได้มีการคุยรายละเอียดว่า สมัชชาแห่งชาติ 2,000
คน จะสรรหาจากกลุ่มใด แต่ละกลุ่มจะมีสัดส่วนเท่าไหร่ รวมถึงใครเป็นผู้
เสนอรายชื่อมา
แต่พูดกันคร่าวๆ ว่า ให้มาจาก 76 จังหวัด และนึกไปถึงลักษณะเหมือนการ
สรรหาสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่รูปแบบนี้มองกันว่า มี
การบล็อคโหวตอยู่เหมือนกัน
ดังนั้น เกณฑ์ที่มองกันไว้กว้างๆ คือ ผู้มาเป็นสมัชชาแห่งชาติต้องไม่เป็น
สมาชิกพรรค และเป็นคนที่ไม่ได้เสนอตัวเองเข้ามา รวมถึงเป็นคนที่โดดเด่น
ในแต่ละพื้นที่ลักษณะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน และพูดกันกว้างๆ ว่า อาจแบ่ง
ได้เป็น 4 กลุ่ม คือภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคสังคม ได้แก่ องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชน ฯลฯ และภาค
สถาบันการศึกษา
ผมมองว่า การแบ่งกลุ่มแบบนี้ใช้ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนผู้ที่เป็นผู้เสนอรายชื่อ
อาจเป็นกลุ่มที่มีกฎหมายรองรับ เช่น สภาทนายความ แพทยสภา เป็นต้น
แต่สัดส่วนการเสนอก็ไม่ได้พูดกันชัดเจน
ส่วนการเลือกกันเองให้เหลือ 200 คน จากนั้น คมช.จะคัดเลือกบุคคลตาม
บัญชีรายชื่อให้เหลือ 100 คน เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นการย่อ
สัดส่วนลงมาจากสมัชชาแห่งชาติ สุดท้ายต้องได้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
100 คน ที่มีความหลากหลาย ซึ่งใน 100 คน ก็จะไปเลือกกรรมาธิการยก
ร่างรัฐธรรมนูญ 25 คน ตรงนี้ต้องหลากหลายและไม่ใช่เป็นนักเทคนิคทาง
กฎหมายเพียงอย่างเดียว"
พรชัย เทพปัญญาผอ.วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
"..การทำประชามติถือเป็นความเพ้อเจ้อของระบบนี้.."
"กรอบแนวคิดในการกำหนดโมเดลสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ส่วนตัว
ไม่เห็นด้วยกับรูปแบบที่นำเสนอ เพราะการเปิดให้มีสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ
2,000 คน โดยมีที่มาที่ไปที่ไม่ชัดเจน อาจมีรายการคุณขอมา และที่คิด
เช่นนั้นเพราะ 1.ปัญหาเทอะทะ 2.การ นำบุคคลต่างที่มาอาจไม่ได้บุคคลใน
ความต้องการที่แท้จริง จึงเห็นว่าสมัชชาแห่งชาติควรมีบทบาทแสดง
ความเห็น พูดคุยถึงตัวเนื้อหาสาระที่ต้องแก้ไข ส่วนบทบาทการยกร่างฯ
ควรตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาชุดหนึ่งจากผู้ เชี่ยวชาญต่างๆ
จำนวน 25-30 คน จะเหมาะสมที่สุด
แต่เมื่อมองถึงโมเดลที่ถูกกำหนดขึ้นจากการสรรหาสมาชิก 2,000 คน
ผมว่า ขั้นแรก สมาชิก 2,000 คน ควรมีอำนาจหน้าที่ในการพูดคุยสรุป
สาระปัญหาของรัฐธรรมนูญว่า มีประเด็นใดที่เห็นควรแก้ไขบ้าง เพื่อ
เป็นการกำหนดทิศทาง โดยให้ 2,000 คน แบ่งกลุ่มแยกกันไปทำ
ประชาพิจารณ์กันในแต่ละกลุ่ม
เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อกำหนดประเด็นที่ควรแก้ไข อาทิ การสังกัด
พรรค 90 วัน ยังควรมีอยู่หรือไม่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อควรมีหรือไม่
รวมทั้งการกำหนดคุณสมบัติปริญญาตรี เป็นต้น
เมื่อรวบรวมประเด็นได้แล้วใน 1 หรือ 2 เดือน ก็นำเสนอต่อ
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะกรรมการร่างฯให้แต่งตั้งโดย
สภานิติบัญญัติ เน้นจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จำนวนไม่เกิน 25-30
คน
เมื่อประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่คณะกรรมการยกร่างก็ให้
คณะกรรมการยก ร่างฯ พิจารณาอีกชั้นและดำเนินการยกร่างฯ ก่อน
ส่งร่างรัฐธรรมนูญเสนอกลับเข้าสู่สภานิติบัญญัติ จากนั้นนำร่างฯไป
ทำประชาพิจารณ์โฟกัสกรุ๊ป (Focus Group) เฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละด้าน
วิธีดังกล่าวจะได้สาระสำคัญทางเนื้อหามากกว่า ไม่ใช่ต้องเป็นหน้าที่
เฉพาะของสภาร่างฯ 100 คน ผมมีข้อสังเกตที่ควรปรับคือ การทำ
ประชามติทั่วประเทศ ต้องยอมรับว่าทำยากมาก เพราะถ้าประชาชน
ไม่เห็นด้วยก็เป็นอันว่าร่างฯต้องล้มหมด จึงไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธี
ประชามติ เพราะแม้แต่ประเทศที่เจริญแล้ว ก็ไม่ใช่วิธีการดังกล่าว
ปัญหาคือการพยายามทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมด ต้องใช้เวลา และไม่ใช่ว่าประชาชนทั้งหมดจะสร้างความ
เข้าใจได้ ต้องยอมรับว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่รู้
รัฐธรรมนูญ ต้องยอมรับความจริง ไม่ได้เป็นการดูถูก เป็นไปไม่ได้ ใน
ส่วนการทำประชามติจึงเป็นความเพ้อเจ้อของระบบนี้
นอกจากนั้น ผมไม่อยากให้ปฏิเสธพรรคการเมืองในการมีส่วนร่วม
ร่างรัฐธรรมนูญ ต้องยอมรับว่า กติกาต่างๆ ผู้มาใช้คือพรรคการเมือง
นักการเมือง ฉะนั้นเราควรให้มีโอกาสพวกเขาแสดงความเห็น หรือมี
ส่วนร่วม ต้องหาจุดที่ประนีประนอมระหว่างผู้ร่างฯกับผู้ใช้กติกา แต่
ลักษณะที่ผู้เขียนไม่ได้ใช้ ผู้ใช้ไม่ได้เขียนจะส่งต่อและเกิดปัญหา และ
ต่อไปจะมีปัญหาตามมานครินทร์ เมฆไตรรัตน์คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"..หากยังมีคนห่วงเรื่องคนของระบอบเดิมจะแทรกซึมเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ
ก็จะมี คมช. มาช่วยดูขั้นสุดท้าย.."
"สำหรับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 เรื่อง สมัชชา
แห่งชาติ ที่ให้มีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเองเพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อผู้
สมควร ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี
ที่มาจากการสรรหาบุคคล ที่ต้องคำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่างๆในภาครัฐ
ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการ จากภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม
นั้น เป็นข้อเสนอของฝ่ายวิชาการที่ได้เข้าไปให้ความเห็นในการยกร่าง
รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 เพราะ เมื่อเป็นสมัชชาแล้ว ต้องมี
สมาชิกที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นใน
ส่วนของระดับท้องถิ่นเสนอขึ้นมา แต่คิดว่าจะต้องไม่มีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
การเมืองเข้ามา
คนที่วิจารณ์ว่าทำไมในรัฐธรรมนูญจึงไม่เขียนรายละเอียดไว้ในเรื่องการสรร
หาว่าจะมาจากส่วนไหนเท่าไหร่ หรือการให้ คมช.คัดเลือกบุคคลตามบัญชี
รายชื่อที่สมัชชาแห่งชาติเลือกกันมา 200 คน ให้เหลือ 100 คน เพื่อเป็น
สมาชิกร่างรัฐธรรมนูญนั้น คิดว่าหากยังมีคนห่วงเรื่องคนของระบอบเดิมจะ
แทรกซึมเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะมี คมช.มาช่วยดูในขั้นสุดท้าย ก่อนนำ
ความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ผมมองว่าถูกต้องแล้วที่
คมช.เข้ามาดูในขั้นสุดท้าย ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับขั้นแรก แต่ควรให้ทุก
ภาคส่วนมีส่วนร่วมกันในขั้นแรก
http://www2.nesac.go.th/document/show12.php?did=06100028