ท่ามกลางกระแสผลักดันทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ และ สำนักงาน กลต. ให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลอย่างเข้มงวด
ก็น่าแปลกใจนักว่าบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลธรรมมาภิบาล และรางวัล The Best CEO อันดับหนึ่งในปี
กลับกลายมาเป็นบริษัทที่มีข้อครหาฉาวโฉ่ที่สุดรองลงมาจากกลุ่มชิน แถมยังเป็นบริษัทที่มีอายุเป็นร้อยปี
และเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีข้อครหารุนแรงว่ามีส่วนร่วมในการเอื้อประโยชน์ให้กับ Deal Shin ของเทมาเสค
เรามาศึกษากันว่าธรรมาภิบาลของเขาเป็นแบบไหน.........
รายงานการตรวจสอบทรัพย์สิน อดีตนายกฯ ในคดีซุกหุ้นของ ป.ป.ช.ปี 43 ระบุชัดว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2543 นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และประธานคณะกรรมการ บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนเป็นชินคอร์ป) สั่งซื้อหุ้นบริษัทชินวัตรฯ จาก น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี หนึ่งใน "คนรับใช้" ที่รวยที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 164 บาท มูลค่ารวม 738 ล้านบาท ผ่าน บงล.ภัทรธนกิจ
เรื่องนี้ นายบรรณพจน์ให้การไว้ต่อ ป.ป.ช.ว่า ไม่ได้เป็นผู้ซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าว แต่คุณหญิงพจมานเป็นคนแบ่งหุ้นให้ โดยคุณหญิงสั่งให้ขายหุ้นในชื่อของ น.ส.ดวงตา และคุณหญิงเป็นผู้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นแทนบรรณพจน์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อโบรกเกอร์ได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว ก็ออกเช็คสั่งจ่ายค่าหุ้นให้แก่ น.ส.ดวงตา เป็นเช็คขีดคร่อม A/C Payee Only แต่แทนที่ น.ส. ดวงตา จะนำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของตนตามระเบียบและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เช็คขีดคร่อมระบุชื่อผู้รับ ต้องนำไปเข้าบัญชีผู้รับเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนมือ หรือเอาไปเข้าบัญชีผู้อื่นไม่ได้ ) กลับกลายเป็นว่านางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิง เป็นผู้นำเช็คที่ระบุชื่อ น.ส.ดวงตาดังกล่าวไปเข้าบัญชีในชื่อคุณหญิงพจมานที่ธนาคารไทยพาณิชย์
แปลกใจจริงๆ ว่าทำไมธนาคารถึงปล่อยให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งผิดระเบียบธนาคารและผิดกฏหมาย ทั้งยังเป็นจำนวนถึง 738 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการนำเช็คเข้าในลักษณะนี้นับครั้งไม่ถ้วน แสดงให้เห็นถึงการจงใจทำของคุณหญิงที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทยพาณิชย์ โดยมีธนาคารอำนวยความสะดวกในการทำผิดกฏหมายให้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องเกิดจากไฟเขียวจากเบื้องสูงของธนาคารแน่นอน ลำพังผู้จัดการสาขาไม่มีวันกล้าทำ และธนาคารได้กระทำการไปโดยไม่นึกถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ธนาคารอย่างร้ายแรง และเป็นการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ง่าย และที่น่าละอายที่สุดคือนาย วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคาร ยังมีหน้ามาถามอย่างเคืองๆว่า ธนาคารผิดตรงไหน ธนาคารไม่ผิดหรอก แต่คุณนั่นแหละที่ผิด ผิดทั้งกฏหมายและจรรยาบรรณ หากคนอน่างคุณไม่ออกนอกรีดนอกรอยถึงขนาดนี้ คุณก็อาจก้าวไปได้ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศได้ในอนาคตอันไม่ไกลเลย ทำไมถึงพ่ายแพ้ต่อเงินตราและประโยชน์ทางการเมือง หน้าไม่อายจริงๆ
และก็ขอฝากไปถึง ตลาดหลักทรัพย์ กับ สำนักงาน กลต ด้วย ผมสงสัยว่ามาตรฐานของการวัดธรรมาภิบาลในการประกวดกันที่ตลาดหลักทรัพย์คงจะเสื่อมถอยแล้ว น่าจะรีบๆทวงรางวัลคืน อย่าไปเกรงอกเกรงใจบริษัทที่เสื่อมเสียขนาดนี้ อย่าฟันแต่บริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีลิ่วล้อทางการเมืองหนุนหลัง กล้าทำไหมละ ทำได้รีบทำก่อนที่บริษัทอื่นๆ เขาจะบอกศาลากับธรรมาภิบาลลวงโลกของท่านไปด้วย เดี๋ยวปีต่อไปมีการแจกรางวัล ใครได้รางวัลขึ้นมาเขาจะตีโพยตีพายว่า ผมทำอะไรผิดหรือ ถึงให้ผมได้รางวัลอัปยศอดสูชิ้นนี้
และขอขอบคุณ ดร.วุฒิพงศ์ เพรียบจริยวัฒน์ สหายผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง และยังรู้จักจะกลับมาทำงานเพื่อชาติทดแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัว โดยยอมกลืนเลือดในช่วงที่ผ่านมาหลายปี เพื่อต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมในสังคมเครือข่ายประชาชนหยุดระบอบทักษิณ ดร. วุฒิพงษ์ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง "วิชิต สุรพงษ์ชัย" ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้แสดงจุดยืนและแถลงนโยบายการทำธุรกิจต่อสังคมอย่างโปร่งใส กรณีปล่อยกู้ให้นอมินีต่างชาติที่ขัดต่อกฎหมาย ณ สำนักงานใหญ่ เมื่อวันก่อน