เมื่อ2055ปีมาแล้ว จูเลียส ซีซาร์ เป็นใหญ่เหนือโรม มีทั้งพวกที่รักและคนที่เกลียด พวกที่ร่วมปล้นจะรัก แต่คนที่ถูกปล้นก็จะเกลียดชัง คับแค้น จูเลียส ซีซาร์ เอาทรัพย์สินและอำนาจรัฐมาเป็นของตัวเอง คดโกง ไร้ศีลธรรม
จิตคดโกงประชาชน ของผู้มีอำนาจที่ไร้ศีลธรรมไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่ากี่พันปีล่วงเลยผ่านมา
เมื่อ 2055 ปีที่แล้ว วันที่ 10 มกราคม49 ปีก่อนคริสตกาล (ค.ศ.) แม่ทัพภาคของกรุงโรม จูเลียส ซีซาร์ อายุ 51 ปี ซึ่งถูกส่งไปปกครองด้านตะวันตกของสาธารณรัฐโรมันที่แคว้นโกล (ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน) ได้ยกกองทหารข้ามแม่น้ำรูบิคอน (RUBICON) ที่กั้นระหว่างภาคเหนือกับกรุงโรม
ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของโรมนั้น แม่ทัพคนใดนำทหารข้ามแม่น้ำรูบิคอน เข้ากรุงโรม ถือว่าผิดกฎหมายเป็นกบฏต่อรัฐ
ก่อนหน้านั้น 10 ปี จูเลียส ซีซาร์ เป็นแม่ทัพภาคที่นำทหารโรมันปล้นประชาชนตามเมืองแถบยุโรปตะวันตกปัจจุบันมากกว่า 800 เมือง จนตนเองและลูกน้องมีรายได้ร่ำรวยมหาศาล ทำลายชนเผ่ามากกว่า 300 เผ่า มีคนถูกฆ่าตายมากกว่า 3 ล้านคน และร่ำรวยจากการจับคนขายเป็นทาสได้มากกว่า 1 ล้านคน
ปอมเปย์ กงสุล(CONSUL)ผู้มีอำนาจปกครองจากการเลือกตั้งตามวาระของสภาสูงและสมาชิกสภาสูงของโรมไม่ไว้วางใจในความซื่อตรง จึงปลดจูเลียส ซีซาร์ จากประจำการ และเรียกตัวกลับกรุงโรม
จูเลียส ซีซาร์ ไม่พอใจ เริ่มการมีอำนาจด้วยการทำผิดกฎหมาย ก่อสงครามกลางเมืองจนได้ชัยชนะเหนือกงสุลปอมเปย์ และได้รับเลือกตั้งเป็นกงสุลแทน ตามวาระ(วาระละ 1 ปี)
ก่อนหน้านั้นจูเลียส ซีซาร์เคยเป็นผู้บริหารการคลัง เคยล้มละลาย เป็นนักการเมือง นักพูดในสภาสูง ฉลาด โลภ โหดร้าย ความเมตตาที่เคยทำต่อศัตรู คือยอมให้ศัตรูได้ถูกเชือดคอก่อนถูกตรึงกางเขน
เมื่อจูเลียส ซีซาร์ เข้ามาเป็นใหญ่ในโรมโดยผิดกฎหมายหลายประการก็ไม่สามารถลงจากตำแหน่งตามวาระได้เพราะอาจถูกดำเนินคดี จึงใช้นโยบายเอาใจชาวกรุงโรมเช่นการยกเลิกหนี้สิน 1 ใน 4 ของชาวโรม ทำสงคราม ปล้นทรัพย์สินประชาชนแคว้นต่างๆมาแจกพรรคพวกในกรุง จัดสนามแข่งขัน เอาเชลยเป็นหมื่นๆ คนมาฆ่ากันให้ประชาชนกรุงโรมดูเป็นงานรื่นเริง
ใช้วิธีสืบข่าว อุ้มฆ่า ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตน บั่นทอนสถาบันที่เคารพ และสภาสูงให้หมดความหมาย ใช้อำนาจเผด็จการผิดกฎหมาย แต่งตั้งคนของตนเป็นกงสุล และเป็นผู้ปกครอง (Magistrates) จำนวนมากด้วยตนเอง
ซึ่งตามกฎหมายจะต้องได้รับเลือกตั้งจากสภาสูงของโรมเท่านั้น ในที่สุดได้ให้พวกฝ่ายตนผลักดันให้เป็นผู้เผด็จการสูงสุดตลอดชีวิต (Dictator Perpetuus) มีฐานะอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง
5 ปีหลัง จูเลียส ซีซาร์ ได้เป็นใหญ่ ในวันที่ 15 มีนาคม 44 ปี ก่อน ค.ศ.จูเลียส ซีซาร์ ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีใครจากภายนอกโรมล้มได้ กลับถูกกลุ่มสมาชิกสภาสูงคนใกล้ชิด และบรูตัส หลานชายที่ไว้ใจ รู้ความลับ ซึ่งเห็นว่า จูเลียส ซีซาร์กำลังทำตัวเป็นกษัตริย์ และทำลายระบอบปกครองสาธารณรัฐ ได้รุมกันแทง จูเลียส ซีซาร์ มากกว่า 25 แผล จนสิ้นชีวิตในสภา
กลุ่มก่อการเรียกพวกตนเองว่า ผู้กอบกู้เพื่อการกำจัดทรราชย์ไม่ใช่การฆ่า (Tyranicide, not murder คนโรมันยุคนั้นยอมรับแต่เฉพาะเทพจูปิเตอร์เท่านั้น ที่เป็นกษัตริย์)
ก่อนสิ้นชีวิต จูเลียส ซีซาร์ มองบรูตัสแล้วถามว่า เจ้าด้วยหรือ บรูตัส ลูกข้า
จูเลียส ซีซาร์สิ้นชีวิตเมื่ออายุ 56 ปี
หลังจากนั้นชาวโรมันก็ยังต้องพบกับสงครามกลางเมือง 2 ฝ่ายแย่งอำนาจต่อสู้กันจนล้มตายจำนวนมากเป็นเวลานานถึง 15 ปี
จูเลียส ซีซาร์ มีทั้งพวกที่รักและคนที่เกลียด พรรคพวกที่ร่วมปล้นจะรัก แต่คนที่ถูกปล้นก็จะเกลียดชัง คับแค้น จูเลียส ซีซาร์ หลงเอาทรัพย์สิน และอำนาจรัฐมาเป็นของตัวเองใช้แต่ความฉลาด โหดร้าย คดโกง โดยไม่มีศีลธรรม
แบ่งแยกผู้คนในบ้านเมืองเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย เสียดายที่จูเลียส ซีซาร์ ไม่มีโอกาสเข้าถึงพระพุทธเจ้า หรือ พระเยซู หรือ ศาสดา(นบี) มุฮัมมัด
พระเยซูซึ่งเกิดที่นั่น หลังยุคของ จูเลียส ซีซาร์ 44 ปีนั้น เสียสละใช้ทุนชีวิตคือความตายของตนถ่ายบาปให้เป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่ากับประชาชน ไม่มีอำนาจ ไม่มีเงิน แต่ทำให้คนในโลกมีศีลธรรม รัก ศรัทธา บูชา ยาวนานไม่สิ้นสุด
ประวัติศาสตร์ของทุกชนชาติ ได้เตือนเราว่า ถ้าสังคมใดปล่อยให้มีการปกครองโดยผิดศีลธรรม โหดร้าย ผิดกฎหมาย คดโกงต่อเนื่อง หลังจากยุคนั้นสังคมก็จะยังคงทุกข์ยากอีกยาวนาน เช่นเดียวกับเผด็จการคอรัปชั่นของประธานาธิบดีมาร์คอส ในประเทศฟิลิปปินส์
เราคนไทยกำลังเผชิญกับขบวนการการแปลงทรัพย์สินโทรคมนาคม ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ(ประชาชน)ให้กลายเป็นหุ้นของคนกลุ่มเดียว ด้วยการใช้อำนาจบริหารเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทีวี ให้ได้ประโยชน์ในอนาคตเพิ่มจากเดิม มากกว่า 20,000 ล้านบาท ทำให้ได้รับการยกเว้นภาษีรายได้กิจการดาวเทียมมากกว่า 16,000 ล้านบาท ได้สัมปทานที่ได้เปรียบผู้อื่นมากกว่า 20,000 ล้านบาท ฯลฯ
อธิปไตยและเงินที่ประชาชนคนไทยจะต้องจ่ายในอนาคตได้ทำให้ราคาหุ้นที่ถืออยู่ 15,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ที่แล้ว เพิ่มเป็น 73,000 ล้านบาทหรือเพิ่ม 487 เปอร์เซ็นต์ แต่ต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้น 73,000 ล้านบาทนี้ ก็ต้องการกำไรเพิ่มอีกอย่างน้อยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นในช่วง 20ปีข้างหน้า ต่างชาติก็ต้องเอาเงินคืนจากคนไทยรวมเป็นเงินมากกว่า 500,000 ล้านบาทจากทรัพย์สินประชาชนคนไทยเองโดยคนไทยไม่มีทางขัดขืน
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้บอกเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ว่า ถ้าไม่ขจัดที่เหตุ ประเทศก็จะถูกพาไปสู่การล้มละลายทั้งทางเศรษฐกิจ จิตใจ อธิปไตย วัฒนธรรม และศีลธรรมอย่างไม่มีทางฟื้น
ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาใน Washington File จาก เว็บต์ usinfo.state.gov ต่อไปนี้คงพอจะอธิบายได้ว่าอธิปไตยของประเทศได้เปลี่ยนเป็นราคาหุ้นที่สูงขึ้นของคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างไร
ในวันที่ 30 ธันวาคม 2003 นั้น ประธานาธิบดี บุช ได้ประกาศกำหนดให้ประเทศไทยเป็นพันธมิตร Major Non NATO ที่สำคัญของอเมริกา ( เพื่อร่วมสู้กับผู้ก่อการร้ายศัตรูของอเมริกา) ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีสิทธิ์ (เสียสิทธิ์)รวมถึง
1.มีคลังอาวุธสงครามของอเมริกาในประเทศไทยได้ (-- to have US-owned War Reserve Stockpiles on its territory outside of U.S. military installations; )
2.จะได้รับผลประโยชน์จากการเร่งรัดให้ได้รับใบอนุญาตซื้อเทคโนโลยี อุปกรณ์ และระบบดาวเทียมทางธุรกิจ(จากอเมริกา) (--to benefit from expedited processing of export licenses of commercial satellites their technologies, components, and system.) (
http://WWW. usinfo.state.gov กด Search Non NATO เรียงวันที่ย้อนหลังประมาณ หน้า 8 วันที่ 31ธันวาคม2003)
ข้อตกลงนี้ไม่ได้ผ่านรัฐสภาไทยครับ ข้อแลกเปลี่ยนทางอธิปไตยนี้ทำให้คนไทยต้องเสี่ยงเข้าร่วมในการต่อสู้กับศัตรูของอเมริกาในเรื่องซึ่งเราไม่ได้เกี่ยวข้องเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ทำให้ราคาหุ้นธุรกิจโทรคมนาคมของบางคนสูงขึ้นเพื่อนำไปขายต่อเท่านั้น
การเป็นผู้บริหารประเทศต้องมีศีลธรรม ไม่ละเมิดกฎหมายทำให้ทุกคนร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมออมดิน ออมน้ำ ออมป่า ออมทรัพย์สินประชาชน ไว้เป็นทุนเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องแปลงทุนเงินให้เป็นทรัพย์สินของประชาชน ไม่ใช่แปลงทรัพย์สินของประชาชนไปเป็นทุนหุ้นของตนเอง
เราคงต้องร่วมขจัดเหตุแห่งทุกข์อย่างที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี แนะนำ และเริ่มเศรษฐกิจพอเพียง ที่พอเหมาะ พอดี สมดุลกันอย่างจริงใจเสียที
แถม
http://www.bangkokbiznews.com/2006/02/01/w000_73288.php?news_id=73288
