เยาวเรศ รักษาเก้าอี้ ประธานสภาสตรีฯอีกสมัย
โดย Thairath วัน จันทร์ ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 06:23 น.
เสียมั้ย อย่างนี้มันเสียมั้ย!!!...อุตส่าห์เขียนลุ้นไว้ล่วงหน้า นึกว่างานนี้จะมีเฮให้เซอร์ไพรส์ เกือบวินาทีสุดท้ายคุณหญิงณัฐิกา อังอุบลกุล ผู้เคยหลีกทางให้ เยาวเรศ ชินวัตร เมื่อ 3 ปีก่อนก็มาย้ำรอยประวัติศาสตร์เดิมอีก ด้วยการประกาศกลางที่ประชุมใหญ่สภาสตรีฯ ครั้งที่ 31 ณ โรงแรมเดอะ แกรนด์ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 49 ว่า ไม่ขอลงเลือกตั้งสมัยนี้ ด้วยเหตุผลที่แจกแจงออกมาว่า คุณเยาวเรศ ประธานสภาสตรีฯ มีความประสงค์ที่จะสานงานและภารกิจที่คั่งค้างต่ออีกวาระหนึ่ง นอกจากนี้ ตนเองก็อยากเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ไม่มีความขัดแย้งกันภายในองค์กร!! กระจายกันทำงานดีกว่า แต่สมัยหน้าหากทุกคนยังมีความเชื่อมั่น และเปิดโอกาส เพราะการเป็นประธานติดกันได้เพียงแค่สองสมัยเท่านั้น ซึ่งตัวเองก็พร้อมและยินดีเสมอ!! นี่ยังไม่รวมไปถึงผู้ได้รับโหวตอีก 2 คนจากคณะกรรมการชุดใหม่ 19 คน ที่ต่างก็ยกตำแหน่งให้ คุณเยาวเรศ ชินวัตร ได้บารมีเบ่งบานเป็นประธานสภาสตรีฯต่อในสมัยที่ 23 ตามความเหมาะสมแบบไม่ต้องหาเสียงให้เปลืองน้ำลาย (ตามที่พิธีกรว่าไว้!!)
ในจำนวนคณะกรรมการอำนวยการชุดใหม่ทั้ง 19 คนที่ได้รับเลือกเข้ามาจากผู้แทนองค์กรสมาชิกที่ส่งลงแคนดิเดททั้งหมด 35 คน มีขอบายในวินาทีสุดท้าย 7 คน แยกเป็นส่ง จม.ถอนตัว 2 คน ได้แก่ คุณหญิงณัฐิกา อังอุบลกุล กับ ท.ญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ซึ่งอ้างว่ายังมีงานทางการเมืองคั่งค้างอยู่และอาจต้องเตรียมลงสมัคร ส.ส.ด้วย ส่วนอีก 5 คนที่สละสิทธิ์โดยไม่เข้าประชุม ได้แก่ กาญจนา สื่ออยู่ยง (สวญ.นครสวรรค์), นางพรทิพย์ คร้ามใจ (สวญ.อุดรฯ), มนทิกาน หล่อวิจิตร (ส.ศิษย์วังหลังฯ), สุมาลี พูลศิริกุล (สวญ.นครพนม) และ ดร.อนงค์วิชญา สาริบุตร (ส.สตรีสมุทรปราการ) การเลือกตั้งครั้งนี้การนับคะแนนเริ่มขึ้นและสิ้นสุดลงอย่างเรียบง่าย ภายในชั่วโมงเศษๆเท่านั้น!! ผู้ได้รับคะแนนเสียงมากสุดถึง 120 คะแนนคือ เยาวเรศ ชินวัตร และกรรมการที่ได้รับเลือกเข้ามาร่วมทีมจะเป็นคนหน้าใหม่เสียส่วนใหญ่ถึง 13 คน
นางเยาวเรศ ชินวัตร เผยว่า ตนเองก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือตื่นเต้นเหมือนเลือกตั้งสมัยแรก อาจเป็นเพราะทำงานให้กับองค์กรการกุศลต่างๆมานานกว่า 20 ปีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ตำแหน่งนี้เท่านั้น ตอนแรกก็ไม่คิดจะทำต่อแล้ว ตั้งใจว่าจะไปช่วยงานด้านธุรกิจกับลูกๆ แต่เมื่อคณะกรรมการชุดเก่าอยากให้เราทำงานต่อก็เลยแบ่งสัดส่วนให้กับครอบครัว 70% ที่เหลือเป็นการทำงาน งานที่ยังคั่งค้างและอยากสานต่อให้เสร็จนั้น เป็นโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ซึ่งมีอายุงาน 2 ปี แต่นี่ทำไปได้เพียงปีครึ่ง เป็นโครงการช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบภัยสึนามิ สำหรับผลงานที่ตัวเองภูมิใจสมัยแรกก็คือเรื่องที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้วันที่ 1 ส.ค. ของทุกปีเป็นวันสตรีไทย และนโยบายในการทำงานครั้งนี้จะยึดตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ให้ช่วยแก้ไขความรุนแรงในสตรีไทยบางกลุ่ม ทั้งการทำร้ายด้วยกันเอง หรือถูกทำร้ายข่มเหงรังแก...
และในช่วงค่ำก่อนหน้าวันลงคะแนนเลือกตั้งคณะกรรมการอำนวยการชุดใหม่ สภาสตรีแห่งชาติฯได้จัดงาน หกทศวรรษ...เย็นศิระเพราะพระบริบาล โดยเชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มาเป็นองค์ปาฐก ในหัวข้อเรื่อง ปรัชญาพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งองค์ปาฐกได้ย้ำถึงพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม ซึ่ง ดร.สุเมธกล่าวว่า ยังจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ นับแต่วันแรกที่ได้เข้าถวายตัว พระองค์ท่านตรัสว่า ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์กับผู้อื่น
นอกจากนี้ ดร.สุเมธยังกล่าวถึง ทศพิธราชธรรม ที่ใครๆก็รู้ว่ามีทั้งหมด 10 ข้อ แต่.. ผมสงสัย และขอถามต่อว่ามีใครบ้างที่ตอบได้ว่ามีอะไรบ้าง ด้วยทศพิธราชธรรมเป็นหลักการบริหารที่ในหลวงทรงปฏิบัติ และไม่เฉพาะในหลวงเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับนักบริหารทั่วไปด้วย เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่ใครๆก็สามารถทำได้ เพียงแต่ให้จริงจังและมุ่งมั่น สิ่งที่พระองค์เคยตรัสในวันขึ้นครองราชย์ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม คุณธรรม จริยธรรม ทศพิธราชธรรมและความยุติธรรม พระองค์ทรงสร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับแผ่นดินไม่ใช่สำหรับวันนี้ แต่ถึงลูกหลานด้วยเจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างแรงกล้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงตัดสินพระทัยอะไร ยังทรงมองเห็นถึงปัญหาในระยะยาว ดังนั้น ก่อนลงมือทำทุกครั้งต้อง รู้ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหา และเมื่อเข้าใจปัญหา จากนั้นก็ต้องเข้าถึงปัญหา เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาไปโดยพร้อมกันได้...60 ปีที่ว่านี้ สมาชิกสภาสตรีฯ ในที่นี้อาจมีอายุไม่ถึง!! แต่ตลอด 60 ปีที่พระองค์ทรงงานนั้น ผมไม่เคยเห็นท่านทรงหยุดพักในวันใดเลย ท่านทรงทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด.
http://news.sanook.com/social/social_08769.php