เทพชัย หย่อง
เพราะฝีมือ 'ทักษิณ' แท้ๆนักการทูตยังต้องทะเลาะกัน นายกฯ ทักษิณของเราโกอินเตอร์ไปแล้วครับกับการสร้างความแตกแยก เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่คนไทยเท่านั้นที่ต้องทะเลาะกันเองเพราะเรื่องการเมือง
แม้แต่คนในวงการทูตในบ้านเราก็ยังมองตากันไม่สนิททุกครั้งที่ต้องพูดถึงการเมืองไทย
จะบอกว่านักการทูตแตกออกเป็นสองเสี่ยง เพราะฝีมือของผู้นำไทยก็คงไม่ผิด
พูดง่ายๆ ก็คือ บรรดานักการทูตทั้งหลายในกรุงเทพฯ ตอนนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเหมือนคนไทยที่เป็นเจ้าบ้านไม่มีผิด
ฝ่ายหนึ่ง คือนักการทูตที่รักทักษิณแบบสุดๆ ผู้นำไทยจะทำอะไร ดูจะเข้าตากรรมการไปเสียหมด อีกฝ่ายหนึ่งพอจะจัดให้เป็นประเภท 'พันธมิตรนักการทูตเพื่อประชาธิปไตย' ก็น่าจะได้ คือเป็นพวกเห็นไส้เห็นพุงทักษิณ ท่านรักษาการนายกฯ จะทำอะไรดูมันขัดหูขัดตาไปหมดพูดไปแล้วไม่น่าเชื่อ นักการทูตที่ยืนเคียงข้างคุณทักษิณ ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของประเทศตะวันตกที่ถือได้ว่าอยู่ในขั้นพัฒนาแล้วทั้งทางด้านการเมืองและสังคม บางประเทศมีภาพของการเป็นแม่แบบของประชาธิปไตยด้วยซ้ำ
นักการทูตในกลุ่มนี้ไม่คิดอะไรมาก ถ้าคุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยของท่านได้คะแนนเสียงจากชาวบ้านในการเลือกตั้ง ก็ถือว่าทุกอย่างเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยแล้ว
เพราะฉะนั้น ท่านทูตทั้งหลายถึงต้องเกาหัวแกรกๆ ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมคุณทักษิณถึงไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ ทั้งๆ ที่พรรคของท่านก็ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงแบบท่วมท้นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
และก็ยอมรับไม่ได้ที่พรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้ง แถมสื่อมวลชนและนักวิชาการ ตลอดจนชาวบ้านในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ ยังเห็นดีเห็นงามไปกับขบวนการ 'โนโหวต' ด้วย ข้อกล่าวหาทั้งหลายที่มีต่อคุณทักษิณไม่สำคัญ ไม่ว่าเป็นเรื่องคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน การเล่นพรรคเล่นพวก การแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือแม้แต่การขายหุ้นในชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์โดยไม่จ่ายภาษีแม้แต่บาทเดียว
ตราบใดที่คุณทักษิณได้คะแนนเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง ก็ถือว่าท่านมีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
ถ้าจะพูดสั้นๆ ก็คือ นักการทูตกลุ่มนี้มอง 'รูปแบบ' ของประชาธิปไตย (นั่นก็คือการเลือกตั้ง) เป็นสำคัญ ส่วนเนื้อหาที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องรอง
ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่สวนทางกับนักการทูตอีกด้านหนึ่งโดยสิ้นเชิง
นักการทูตกลุ่มที่สองนี้ ส่วนใหญ่มาจากประเทศกำลังพัฒนา และหลายประเทศกำลังเผชิญ หรือเคยผ่านพ้นวิกฤติการเมืองเหมือนกับที่บ้านเรากำลังประสบอยู่
คือเป็นประเทศที่มีผู้นำสไตล์ 'ประชานิยม' ปกครองประเทศแบบกึ่งเผด็จการ ปฏิเสธระบบการตรวจสอบ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ในเรื่องของคอร์รัปชัน แต่เอาคนยากจนเป็นฐานการเมืองด้วยนโยบายเอาอกเอาใจ ทั้งแจกทั้งแถม
ผู้นำประเภทนี้มาสไตล์เดียวกันหมด คือสร้างภาพของการเป็นผู้นำของคนยากไร้ ไม่ยอมฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยละโอกาสที่จะสร้างกระแสชาตินิยมด้วยการแสดงตัวว่าข้าไม่ง้อประเทศมหาอำนาจหรือต้องขอใครกิน
เลือกตั้งทุกครั้งไม่ต้องห่วง ระดมกลไกและอำนาจทุกอย่างในมือและใช้ทุกวิถีทางที่จะเกาะเก้าอี้ไว้ การเลือกตั้งจึงเป็นเครื่องมือพยุงอำนาจเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกลไกของการสร้างความเป็นประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นในสายตาของนักการทูตเหล่านี้ การบริหารประเทศในสไตล์ 'ซีอีโอ' ของคุณทักษิณจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรเลย แถมยังเป็นวิธีการที่น่าเป็นห่วงด้วยซ้ำ เพราะนับวันก็ยิ่งจะพาประเทศไทยลงเหว
เพราะประเทศที่เคยมีผู้นำแบบนี้เจ๊งมามากต่อมากแล้ว หลายประเทศในละตินอเมริกามีให้เห็นเป็นตัวอย่าง มีผู้นำประเภทชูธงประชานิยม แรกๆ ชาวบ้านก็หลงใหลได้ปลื้ม กว่าจะรู้ตัวประเทศชาติก็มีหนี้สินท่วมหัวจนเกือบเอาตัวไม่รอด ระบบการเมืองก็แทบล้มครืน ประชาชนแตกแยก จนกลายเป็น 'รัฐล้มเหลว' เหมือนที่อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เคยเตือนไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน
ถ้าคนไทยทุกวันนี้คุยเรื่องการเมืองกันไม่ได้ เพราะแค่เอ่ยปากก็ทะเลาะกันแล้ว นักการทูตก็เหมือนกันครับ เริ่มตั้งวงเมาท์เรื่องการเมืองไทยเมื่อไร ก็เป็นอันต้องวงแตกทุกครั้ง เพราะถือหางกันคนละข้าง ทางออกของท่านทูตทั้งหลายก็คือการแยกวงคุย เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจบานปลายกลายเป็นเรื่องพิพาทระหว่างประเทศอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักการทูตตะวันตกหลายประเทศ ชื่นชอบทักษิณเป็นพิเศษก็คือบรรดา 'เมกะโปรเจค' ที่ผู้นำไทยเคยโปรยเป็นยาหอมไว้ ทำเอาทั้งนักธุรกิจและนักการทูตน้ำลายหกไปตามๆ กัน
แต่มีคำถามหนึ่งที่นักการทูตค่ายนิยมทักษิณตอบไม่ได้ก็คือ สมมติว่าผู้นำของประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ โทนี แบลร์ของอังกฤษ หรือประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าช่วยครอบครัวขายหุ้นในบริษัทโทรคมนาคมให้กับประเทศคู่แข่ง ประชาชนยังจะยอมให้ผู้นำที่ว่านั่งเสนอหน้าอยู่ในบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิ่ง ในกรุงลอนดอน หรือในทำเนียบขาว ต่อไปหรือไม่ บางทีฝรั่งที่ว่าก้าวหน้านักหนาในเรื่องประชาธิปไตย ก็มีดับเบิลสแตนดาร์ดได้เหมือนกัน http://www.nationweekend.com/2006/09/08/NW14_451.php?SecId=NW14&news_id=21539239